‘ปักกิ่งไม่อิงนิยาย’ : แขกคนแรก

แขกคนแรก | ฉานต้าหลง

ความจริงผมไม่อยากเรียกที่นี่ว่าบ้านใหม่สักเท่าไหร่ มันเป็นเพียงห้องพักห้องหนึ่งในคอนโดชานกรุงปักกิ่ง ผมมาเช่าอาศัยเป็นที่หลับนอน เวลาออกจากที่ทำงานจะได้มีที่มีทางให้ได้กลับ พูดง่ายๆเอาไว้ซุกหัวนอน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เวลาแจ้งทางการว่าคนต่างชาติคนนี้มาทำงานที่นี่ และอาศัยอยู่ที่ไหนจะได้ง่ายต่อการตรวจสอบ ว่างั้น…

ถ้าไม่นับว่ามันเป็นห้องที่เปลี่ยวเหงาตามอารมณ์ของผู้อยู่แล้ว ถือว่าคอนโดที่นี่ใช้ได้ทีเดียว ตึกสูงใหญ่ 25 ชั้น ปลูกสร้างเรียงรายเป็นรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบ ผมไม่แน่ใจว่ามีกี่ตึก แต่คะเนดูน่าจะสัก 20 หลังเห็นจะได้ ด้านในทำเป็นสวนสาธารณะ แบ่งเป็นหลายโซน อาทิ สนามเด็กเล่น ลานวิ่งและที่ออกกำลังกาย ลานกิจกรรม สนามบาสเก็ตบอล ฯลฯ ส่วนด้านนอกจะเป็นร้านค้าหลากหลายตั้งแต่ร้านขายเสื้อผ้า ร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ จนกระทั่งโรงอาบน้ำและตัดขนสุนัข

ชาวปักกิ่งนิยมเลี้ยงสุนัขตัวเล็ก อาทิ พุดเดิ้ล เชาเชา หน้าตูบ ทอเรีย ฯลฯ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเกี่ยวพันกับพื้นที่ใช้สอย พวกเขาอยู่ตึก อพาร์ตเมนต์หรือคอนโด จะเลี้ยงสุนัขตัวใหญ่อย่างอัลเซเชี่ยล หรือร็อคไวเลอร์คงลำบาก ที่สำคัญตึกที่เขาเรียกว่าบ้านก็อนุญาตให้เลี้ยงสุนัขได้ ไม่เหมือนบ้านเราถ้าอยู่คอนโดต้องแอบเลี้ยง ตกเย็นนอกจากพ่อแม่คนเฒ่าคนแก่จูงลูกจูงหลานออกมาเดินเล่นกันแล้ว มักจะเห็นภาพหนุ่มสาวคนเฒ่าคนแก่จูงสุนัขตัวจิ๋วออกมาเดินเล่นด้วย ผมไม่เคยเห็นภาพสุนัขถ่ายเรี่ยราดตามทางเดินในคอนโด แต่จะพบเห็นเป็นประจำเวลาเดินที่สนามหญ้าต้องระวังให้ดี เพราะเจ้าสุนัขตัวน้อยอาจจะวางกับดักไว้ตรงไหนก็ได้

ร้านค้าอีกประเภทหนึ่งที่มีมากรอบๆคอนโดก็คือ ร้านนายหน้ารับซื้อขายและเช่าบ้าน ตั้งแต่เช้าจรดเย็นพนักงานขายหนุ่มสาว ทุกคนมักจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีกรมท่า ออกมายืนเรียกลูกค้า บางคนนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ มองเห็นภาพป้ายราคาและรูปภาพห้องพักติดโชว์อยู่หน้าร้านเต็มไปหมด  ผมเองได้ที่พักพิงก็หาจากบริษัทนายหน้าเหมือนกัน

ลำพังเพื่อนในหน่วยภาษาไทยเขาไม่รู้หรอกว่าห้องไหนว่าง สภาพดีหรือไม่ดี เขาพาเรามาที่บริษัทนายหน้าก่อน พวกนี้จะถามความต้องการของเรา อาทิ ต้องการกี่ห้องนอน กว้างยาวขนาดเท่าไหร่ ต้องการเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง จากนั้นพาเราไปดูห้อง ถ้าถูกใจก็ตกลงทำสัญญากัน มาตราฐานของที่นี่ จ่ายล่วงหน้า 3 เดือน มัดจำ 1 เดือน และค่านายหน้าคิดจากราคาค่าเช่า 1 เดือน พวกเขารับไปสบายๆ

คุณจางหนุ่มชาวจีนในหน่วยภาษาไทยประจำสถานีวิทยุนานาชาติจีนพาผมมาที่บริษัทนายหน้า เข้าๆออกๆอยู่สองสามเจ้าถึงได้ห้องที่ถูกใจ ห้องที่ผมพักเป็นห้องเดี่ยว ขนาดพอกับห้องแถว 1 ห้อง เรียกว่าพ่อแม่ลูกอยู่กันได้สบาย มีห้องน้ำ ห้องครัวเล็กๆและมุมซักผ้าแยกต่างหาก ดูแล้วเป็นสัดส่วนดี ที่สำคัญมีเฟอร์นิเจอร์พร้อมทั้งตู้เตียงโต๊ะ โซฟา ทีวี ตู้เย็น แอร์ เครื่องซักผ้า โทรศัพท์ และไมโครเวฟ เรียกว่าเอากระเป๋าเข้ามาวาง จัดข้าวของเข้าที่ก็อยู่ได้เลย

ตอนเข้ามาดูห้องครั้งแรก ผมพบอาเจ๊เจ้าของห้อง อายุอานามของแกน่าจะประมาณ 40ใกล้ๆ 50 เห็นจะได้ อาเจ๊ร่างท้วม ผิวสองสี พูดทักทายผมเป็นภาษาบ้านเกิด แล้วจากนั้นแกก็หันไปคุยกับนายหน้า คุยกับคุณจาง โดยไม่สนใจผมสักเท่าไหร่ สักพักคุณจางหันมาถามว่า

“อาจารย์จะให้ทำอะไรเพิ่มเติมอีกไหมครับ” ผมเดินดูรอบๆ เห็นผ้าม่านตรงหน้าต่างระเบียงติดไม่เรียบร้อย เดินเข้าไปในครัว ประตูห้องครัวลูกบิดเสีย และเครื่องซักผ้าเสียบกับปลั๊กไฟไม่ได้ต้องหาปลั๊กสามตามาต่อ ผมบอกความต้องการให้คุณจางทราบ คุณจางหันไปทางอาเจ๊ แกยิ้มและพูดต่อ

“เดี๋ยวแกจะจัดการให้ครับ พรุ่งนี้เข้ามาอยู่ได้เลยนะ” คุณจางว่า

วันรุ่งขึ้นผมนำข้าวของเข้ามาเก็บที่ห้อง วันนี้ห้องดูสะอาดขึ้นและสิ่งที่บอกไปก็ซ่อมแซมเรียบร้อย ผมพึงพอใจกับห้องนี้ ตกลงใจไปทำสัญญากันที่บริษัทนายหน้า ขณะกำลังดูเขาเขียนสัญญากันอยู่ นึกขึ้นได้ว่าลืมถามเรื่องสำคัญไป

“เออ คุณจาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ที่นี่ดูยังไงและจ่ายที่ไหนครับ” คุณจางหันไปคุย สักพักแกหันมาบอกว่า

“ฝากจ่ายที่เจ๊ได้ครับ แกจะไปจ่ายให้เอง ค่าน้ำ ค่าแก๊ส ค่าโทรศัพท์ ใช้ไปเท่าไหร่จ่ายเท่านั้น ส่วนค่าไฟต้องจ่ายล่วงหน้า เขาคิดเป็นหน่วยนะครับ”

“แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่า อะไรจะหมดหรือใกล้หมดครับ” คุณจางหันไปทางอาเจ๊อีก

“ค่าน้ำ ค่าแก๊ส ค่าโทรศัพท์จะมีบิลมาเสียบ เวลาบิลมาอาจารย์บอกผม ผมจะโทรบอกเจ๊ให้แกไปเอา บ้านแกอยู่ใกล้ๆนี่เอง ส่วนค่าไฟ ถ้าใกล้หมดเจ้าหน้าที่เขาจะมีแผ่นกระดาษติดไว้ใกล้ๆกับมิเตอร์ว่าเหลือกี่หน่วย เราไปซื้อเพิ่ม ก็บอกผมเหมือนเดิม และผมจะโทรบอกเจ๊เองครับ จะได้สะดวกดี” คุณจางว่ายิ้มๆ พอแกพูดจบอาเจ๊มองมาที่ผมแล้วก็ยิ้ม

“ครับ… ขอบคุณครับ” ผมยิ้มตอบ จากนั้นทั้งคู่หันไปคุยกันต่อ แล้วมองมาทางผม

“เออ…อาจารย์ครับ เจ๊ว่า ไฟฟ้าจะหมดแล้ว คงต้องซื้อไว้ก่อนสัก 100 หรือ 200 หยวนนะ เดี๋ยวอยู่ไปไม่กี่วันไฟดับเอา”

“ได้ครับ” ผมหยิบเงินออกมา 200 หยวน ส่งให้เจ๊ แกพยักหน้ายิ้มๆ เราทำสัญญาเช่ากัน 1 ปี ผมจ่ายเหนาะๆ 10,000 หยวน เก็บสัญญาไว้คนละฉบับ จากนั้นเราต่างแยกย้ายกันไป

คุณจางกับผมเดินกลับไปที่ทำงาน แกบอกว่า อาเจ๊คนนี้ท่าทางไว้ใจได้  ห้องนี้อาเจ๊ซื้อมาจากเจ้าของคนเก่าและยังไม่ได้เข้ามาอยู่เลย ผมเป็นผู้เช่ารายแรก แกอยู่ตึกเก่าทางฝั่งโน่น ฐานะแกไม่ดีเท่าไหร่ทำงานเป็นลูกจ้าง ตอนนี้เป็นหม้าย มีลูก 1 คน พอเก็บเงินซื้อคอนโดใหม่ได้ตั้งใจว่าจะเอาไว้อยู่ตอนแก่ แต่ตอนนี้เอามาให้เช่าก่อนจะได้มีรายได้ ผมฟังแล้วไม่ได้ว่าอะไร

ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องนี้ได้สิบกว่าวันแล้ว จัดข้าวของเรียบร้อย ห้องหับดูสบายตาน่าอยู่ และทุกอย่างก็สะดวกสบายพอควร เสียแต่ว่า อย่างที่บอก มันดูเปลี่ยวเหงาตามอารมณ์ของผู้อยู่ ผมตื่น 8 โมงกว่าออกไปทำงาน ทุ่มกว่าแวะทานข้าวที่โรงอาหารก่อนจึงเดินกลับบ้าน ที่ปักกิ่งกว่าฟ้ามืดเกือบ 2 ทุ่ม กลับมาถึงบ้านเปิดประตูห้องเข้ามาพบแต่ความว่างเปล่า ผิดกับเมื่อก่อนพอกลับมาถึงเจอหน้าลูกๆ ทานข้าวกัน เล่นด้วยกัน ตกดึกหน่อยออกไปรับภรรยาที่ร้านแล้วกลับบ้าน แต่วันนี้ ผมปลีกตัวเองมาทำงานที่นี่ ภาพที่ระลึกถึงนั้นเป็นอดีตที่ผมเพียรเฝ้ารอให้หวนกลับมา

พอมาถึงห้องผมจะเปิดไฟก่อนแล้วค่อยปิดประตู เดินไปรูดม่านตรงหน้าต่างระเบียงให้มองเห็นทิวทัศน์ภายนอก จากนั้นเดินไปเปิดหน้าต่างที่ครัวให้ลมพัดเข้ามาพอได้อากาศถ่ายเท สิ่งแรกที่ทำหลังจากนั้นคือโทรกลับบ้านคุยกับลูกและแม่ของผม ดึกหน่อยโทรหาภรรยาที่ร้านหนังสือ นอกนั้นก็ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย  อาบน้ำ ดูทีวี ฟังเพลง อ่านหนังสือ เขียนจดหมาย เขียนบันทึก จนกระทั่งหลับไป และตื่นมาเพื่อออกไปทำงานในเช้าวันใหม่

บางครั้งผมคิดเล่นๆว่า อยากให้เสียงกริ่งที่ห้องดังขึ้นสักที วันนั้นคงเป็นวันพิเศษ ผมเคยหวังเล็กๆว่าจะมีเพื่อนที่ทำงานแวะเวียนมาเยี่ยมมาดูห้องของผมบ้าง แต่นั้นเป็นเพียงความคิดชั่วขณะ เพราะต่างคนต่างมีภาระ มีครอบครัว เมื่อทำงานเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่มีอยู่วันหนึ่ง เหตุการณ์ไม่ปกติได้เกิดขึ้น

วันนั้นเป็นวันอังคาร ผมจำได้ดี ผมกลับถึงบ้านตามปกติ ไขกุญแจ และเปิดไฟปรากฏว่าไฟไม่ติด ลองกดสวิตซ์ซ้ำๆและไปกดที่อื่นก็ไม่ติดเหมือนกัน ไฟจะดับทั้งตึกคงไม่ใช่เพราะที่ระเบียงทางเดินยังใช้ได้ เอ… เพิ่งจ่ายค่าไฟไปตั้ง 200 หยวน เข้ามาอยู่ได้ยังไม่ถึงเดือนไฟจะหมดแล้วหรือ อะไรจะแพงขนาดนั้น ผมเดินไปที่ระเบียบ รูดม่านให้แสงสว่างที่เหลืออยู่น้อยนิดส่องเข้ามา หยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาคุณจาง คุณจางรับสาย ผมบอกเรื่องไฟฟ้าดับ แกบอกให้รอสักครู่จะติดต่ออาเจ๊ให้ ผมวางสายรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างระเบียงดูทิวทัศน์ของกรุงปักกิ่งเรื่อยเปื่อย คิดทำใจว่า วันนี้ได้อยู่มืดๆแน่

ไม่นานเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คุณจางโทรมาบอกว่า อาเจ๊ยังไม่ได้จ่ายค่าไฟ พรุ่งนี้จะไปจ่ายให้ แต่เดี๋ยวแกจะโทรบอกเจ้าหน้าที่ของตึกให้มาเปิดไฟให้ใช้ไปก่อน ไม่ต้องห่วง

“เขาจะเปิดให้หรือครับคุณจาง” ผมว่า รู้สึกไม่ชอบหน้าอาเจ๊ขึ้นมาตะหงิดๆ ลองแบบนี้เป็นที่บ้านเราคงไม่ได้แน่ มีหวังคืนนี้ผมได้อยู่มืดๆ

คุณจางเงียบเหมือนไม่แน่ใจ ก่อนตอบว่า “น่าจะได้นะครับ อาจารย์รอสักครู่ ถ้าไฟไม่มาโทรบอกผมอีกทีนะครับ”

“ครับ… ขอบคุณมากครับ”

“ไม่เป็นไรครับ” คุณจางวางสาย

ผมไม่รู้จะทำอะไรดี ลงนั่งจุมปุ๊กอยู่ที่เตียง นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงอาทิตย์ค่อยๆจางลง ในที่สุดลุกเดินไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา คิดว่าจะอาบน้ำก่อนมืดแล้วจะลงไปเดินห้างสรรพสินค้าข้างล่างสักหน่อย จะซื้อไฟฉายสักกระบอก และเทียนสักแท่งสองแท่ง เพราะคิดว่าคืนนี้อย่างไรเสียคงต้องทนอยู่มืดๆไปก่อน พรุ่งนี้อาเจ๊จ่ายค่าไฟก็มีไฟฟ้าใช้เหมือนเดิม จะโทรไปรบกวนคุณจางอีกก็ใช่เรื่อง

อาบน้ำเสร็จผมเปิดประตูห้องน้ำออกมาปรากฏว่าไฟติดแล้ว ผมเปิดประตูออกไปดู เห็นเจ้าหน้าที่ของตึกยืนอยู่ที่แผงมิเตอร์ไฟที่อยู่ริมสุดทางเดินด้านหนึ่ง ผมโบกมือให้เป็นการขอบคุณ แล้วปิดประตูล็อกกุญแจ

วันรุ่งขึ้นผมไปทำงานตามปกติ กล่าวขอบคุณคุณจางที่ช่วยเป็นธุระให้ เย็นวันนั้นผมกลับถึงห้องประมาณทุ่มกว่าๆ เข้าห้องมาเปิดไฟ แสงไฟสว่างขึ้นมา รู้สึกโล่งใจ ล็อคประตู โทรศัพท์กลับบ้านคุยได้สักประเดี๋ยวก็วางสาย โทรหาภรรยาที่ร้าน ถามไถ่ทุกข์สุขกันสักสองสามนาที กำลังจะเดินไปถอดผ้าอาบน้ำ เสียงกริ่งดังขึ้น ผมหยุดฟัง ไม่เชื่อหู เสียงกริ่งดังขึ้นอีก ทีนี้ดังสองสามครั้งติดๆกัน เอ…ใครมาหว่า คุณจางหรือเพื่อนที่ทำงานจะมาเป็นแขกที่ห้อง ผมเดินไปที่ประตู ส่องไปที่รูเล็กๆ มองออกไปข้างนอก

อ้าว… อาเจ๊นั่นเอง แกมาทำไม

“หนี่ห่าว” อาเจ๊กล่าวสวัสดีและยิ้ม ผมทักทายด้วยคำพูดเดียวกัน จากนั้นแกเดินเข้ามาในห้อง ส่งกระดาษเล็กๆให้ผมหนึ่งใบ ดูแล้วน่าจะเป็นบิลค่าไฟฟ้า จากนั้นแกพูดภาษาบ้านเกิดเมืองนอนของแกซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่อง เจ๊หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดแล้วพูดเข้าไปในสายแล้วส่งให้ผม คุณจางอยู่ในสาย บอกว่าอาเจ๊เอาบิลค่าไฟมาให้จ่ายเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวขอดูบ้านหน่อย และมีอะไรที่ต้องการให้เพิ่มเติมอีกไหม ผมบอกว่าไม่มีแล้ว และส่งโทรศัพท์ไปให้อาเจ๊อีกที แกรับไปคุยต่อแล้วก็วางสาย

อาเจ๊เดินเข้าไปในครัว เปิดดูห้องน้ำ เปิดตู้เย็น ดูรอบๆบ้านแล้วยิ้มหันมาพูดกับผมพร้อมกับยกนิ้วโป้งเหมือนจะบอกว่า ผมจัดบ้านได้สะอาดเรียบร้อยดี ผมยิ้มตอบ นึกว่าแกจะกลับ แกเดินไปนั่งจุมปุ๊กที่โซฟา และพูดอะไรต่อก็ไม่ทราบได้ ผมยืนงง อ้าว…ให้บิลแล้ว ดูบ้านแล้ว จะนั่งทำอะไร ผมไม่ว่าอะไรคิดว่าแกจะนั่งพักเหนื่อยสักประเดี๋ยวคงจะกลับ ผมเดินไปเปิดทีวี และไปนั่งอีกมุมหนึ่งของโซฟา ส่วนอาเจ๊ยังนั่งอยู่ที่เดิม บางทีก็หันมามองผมยิ้มๆ

ขณะดูทีวีฆ่าเวลา อาเจ๊พูดอะไรออกมาอีก หยิบมือถือขึ้นมากดและพูดสาย จากนั้นก็มองมาทางผมบ้าง ผมได้แต่ยิ้มพยักพเยิดไปตามเรื่อง เวลาผ่านไปพอสมควร ท่าทางเจ๊จะไม่ลุกง่ายๆ ผมอดรนทนไม่ไหวหยิบโทรศัพท์กดไปหาคุณจาง พอคุณจางรับสายผมพูดเสียงเบาเหมือนกลัวเจ๊จะได้ยิน

“คุณจางช่วยถามแกที มีธุระอะไรอีก ทำไมไม่กลับเสียที”

คุณจางเงียบก่อนจะพูดเสียงขำๆ “อ๋า…ช่างไฟฟ้ามาหรือยังนะครับ”

“เออ…ไม่มีนี่ครับ ช่างไฟ มาทำไม”

“อ้อ… อาเจ๊แกรอช่างไฟนะครับ จะเปิดมิเตอร์ให้อาจารย์ดูว่า ตอนนี้มีไฟฟ้าใช้กี่หน่วย พอดีตอนโทรคุยกันเมื่อกี้ผมลืมบอก”

“อ้อ…เหรอครับ ขอบคุณครับ” ผมวางสาย นึกขำอยู่ในใจ อาเจ๊มองมาทางผมเหมือนจะรู้ พูดอะไรออกมาแล้วชี้ไปทางประตู เฮ้ย…ไม่ได้เรื่องเลยเรา แขกมาบ้านทั้งทีไม่ทำหน้าที่เจ้าบ้าน ผมลุกเดินเข้าไปหยิบแก้วในครัว เปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วแล้วส่งให้เจ๊ แกทำท่าโบกมือจะไม่เอาแต่ก็รับมาดื่ม   แล้วเสียงกริ่งที่ประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง