10 ปี ในการพบ ระหว่าง ‘แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง’ กับ ‘ลี้คิมฮวง’

บทความพิเศษ

 

10 ปี ในการพบ

ระหว่าง ‘แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง’

กับ ‘ลี้คิมฮวง’

 

ซงซัวเป็นสถานที่ซึ่งลี้คิมฮวงเคยมาบ่อยครั้ง ในตอนนี้เนื่องจากเป็นสถานการณ์พิเศษมันจึงมิได้เดินไปตามเส้นทางใหญ่ กลับลัดเลาะไปตามเส้นทางสายน้อยด้านหลัง

แม้ทำเช่นนี้แต่ยังกินเวลาชั่วสามยามเศษจึงสามารถเห็นความโอ่อ่าโอฬารของเสียวลิ้มยี่

มองแต่ไกล เห็นกำแพงสูงใหญ่โอบวัดโอ่อ่าภาคภูมิไว้ โบสถ์ศาลาคับคั่ง เรียงราย มิทราบมีอยู่กี่ชั้นกันแน่

ความยิ่งใหญ่ภาคภูมินับเป็นอันดับ 1 ของแผ่นดินอย่างเต็มปากเต็มคำ

เมื่อมันเข้าวัดทางด้านหลัง แลเห็นบนพื้นหิมะมีเจดีย์ใหญ่ๆ เล็กๆ มากหลายราวกับป่า นี่ย่อมเป็นป่าเจดีย์อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเสียวลิ้มยี่

ใต้เจดีย์ล้วนเป็นอัฐิอังคารของชนชั้นเจ้าสำนักหรือเจี้ยงเล่าอาวุโส

บรรดาไต้ซือเหล่านี้ยามมีชีวิตมากด้วยเกียรติภูมิ เกรียงไกร กระเดื่องไปทั้งแผ่นดิน แต่เมื่อมรณภาพไหนเลยได้พื้นที่มากกว่าผู้อื่นแม้เพียงเซียะหนึ่ง

มิว่าผู้ใดเมื่อมาถึงต่างบังเกิดความรู้สึกปรารถนาทอดทิ้งโลกียวิสัย

มาอยู่ในอาณาจักรอันสงบแห่งนี้ อย่าว่าแต่ลี้คิมฮวงที่เบื่อหน่าย ชิงชัง ลาภยศ ชื่อเสียง มานานปี

 

เมื่อเป็นการเดินทางเข้าวัดเสียวลิ้มยี่ในสภาพและสถานการณ์พิเศษอย่างยิ่งยวด ลี้ชิ้มฮัวจึงต้องดำรงตนอย่างมากด้วยความระมัดระวังเบื้องหน้าคำถาม

“บุกรุกเขตหวงห้ามของเสียวลิ้มยี่ ประสกไม่รู้สึกลำพองเกินไปหรือ”

“ซิมไบ๊ไต้ซือได้รับบาดเจ็บ ข้าพเจ้าคุ้มครองส่งกลับมารักษา ขออนุญาตเข้าพบเจ้าอาวาสวัดท่าน” เป็นคำตอบ เป็นคำอธิบาย

จำเป็นต้องเสียเวลาระยะหนึ่งในการรายงานเพื่ออนุมัติคำขอ

ระหว่างรอคอยลี้ชิ้มฮัวยืนมือไพล่หลังอยู่ใต้ชายคากุฏิ ทอดตามองหลังคาโบสถ์พระประธานที่ห่างไป ในลมหนาวบังเกิดเสียงสวดมนต์ดังแว่วมา

แผ่นฟ้า แผ่นดิน เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเคร่งขรึม ลึกลับ

ปรากฏเงาร่างเจ้าอาวาสวัดเสียวลิ้มยี่ กับแป๊ะเฮี่ยวเซ็งหยุดยืนในระยะห่างจากลี้ชิ้มฮัว 10 ก้าว มาตรว่าจะได้ยินชื่อเซี่ยวลี้ท้ำฮวยมานานแต่จนบัดนี้ค่อยได้พบ ท่านคล้ายคิดไม่ถึงว่าอาคันตุกะซอมซ่อที่เกียจคร้านแต่งามสง่า อ้างว้างแต่เคร่งขรึมผู้นี้

คือ ผู้กล้า ผู้พเนจร คนเสเพล ที่มีนามกระเดื่อง เลื่องแผ่นดิน

 

ภายในความคิดคำนึงของเจ้าอาวาสวัดเสียวลิ้มยี่สมควรพิจารณา สำนวนแปล ว. ณ เมืองลุงระบุว่า หลวงจีนชราคล้ายคิดไม่ถึง บุคคลที่มีบุคลิกเกียจคร้าน งามสง่า เคร่งขรึมและเยือกเย็น ยังเปี่ยมด้วยกลิ่นอายตำราและว้าเหว่ เงียบเหงา

คือ วีรบุรุษเสเพลที่มีชื่อลือกระเดื่องทั้งแผ่นดิน

หลวงจีนชราเพ่งพิจารณาโดยละเอียด มิยอมปล่อยผ่านพ้นสายตาแม้แต่ส่วนสัดหนึ่ง โดยเฉพาะ 2 มือผอมเรียว

2 มือนี้มีอานุภาพพิสดารเยี่ยงไรแน่

หากแม้มีดสั้นอันตีจากเหล็กธรรมดาไปอยู่ใน 2 มือนี้เมื่อใด ต้องกลายเป็นอาวุธอันเลอเลิศปานปาฏิหาริย์ได้เมื่อนั้น

เมื่อมองผ่านสำนวนแปล น.นพรัตน์ ก็สำคัญ

เจ้าอาวาสวัดเสียวลิ้มยี่ดูลี้ชิ้มฮัวโดยละเอียด ไม่ยอมคลาดจากส่วนสัดใด โดยเฉพาะมือที่ซูบเซียวและเรียวยาวคู่นั้น

มือคู่นี้ที่แท้มีมนตร์ขลังอันใด

เหตุใดมีดที่ตีจากเหล็กธรรมดาเล่มหนึ่ง เมื่อตกอยู่ในมือคู่นี้จึงกลายเป็นอาวุธพิสดารถึงเพียงนั้น

แล้ว “แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง” มีมุมมองใดต่อ “ลี้คิมฮวง”

 

อย่าลืมเป็นอันขาดว่าก่อนหน้านี้ ภายในลานโบสถ์เงียบวังเวง เกล็ดหิมะละลายอยู่บนใบไผ่ ในส่วนลึกของป่าไผ่เป็นกุฏิอันประณีตสวยงาม

มองเข้าไปเห็น 2 คนกำลังเดินหมากรุก

ผู้อยู่ด้านซ้ายเป็นชายชรา ผอมแห้ง เตี้ยเล็ก ประกายตาคมวาว จมูกงองุ้มราวปากเหยี่ยว จนทำให้ผู้คนลืมความเตี้ยเล็กของร่าง เพียงรู้สึกว่ามันมีอำนาจและพลังยิ่งใหญ่สุดเปรียบประมาณ

ทั่วแผ่นดินยุคนี้ ผู้มีเกียรติได้นั่งเดินหมากรุกกับซิมโอ้วไต้ซือ เจ้าสำนักเสียวลิ้มยี่นอกจากแป๊ะเฮี่ยวเซ็งผู้นี้แล้ว

น่ากลัวไม่มีเรื่องราวใดสามารถบันดาลให้ทั้ง 2 หยุดเดินหมากรุกลงกลางคันได้

แต่พอได้ยินนาม “ลี้คิมฮวง” ทั้ง 2 ถึงกับผุดลุกขึ้นยืนอย่างลืมตัว เป็นความสนใจใน 2 ส่วนประสานเข้ากับด้วยกัน

1 คืออาการของซิมไบ๊ไต้ซือซึ่ง “สาหัส”

1 ย่อมเป็นตัว “ลี้คิมฮวง” ซึ่งยืนมือไพล่หลังรอคอยอยู่ใต้ชายคา เหม่อมองดูโบสถ์พระประธานอันใหญ่โตโอฬาร

ท่าทีของ “แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง” จึงสมควรให้ความสำคัญ

 

ตามสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง แป๊ะเฮี่ยวเซ็งเคยพบลี้คิมฮวงมาตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน รู้สึกว่าใน 10 ปีที่ผ่านพ้นลี้คิมฮวงไม่มีความเปลี่ยนแปรใดๆ

และก็คล้ายเปลี่ยนแปรไปมากหลายแล้ว

อาจบางที ตัวของลี้คิมฮวงไม่มีใดเปลี่ยนแปร ที่เปลี่ยนแปรมีแต่หัวใจเท่านั้น คล้ายดังเปลี่ยนเป็นยิ่งเกียจคร้าน ยิ่งหนักแน่นและยิ่งว้าเหว่

มิว่าอยู่รวมกับผู้คนมากมายเพียงใด ยังคงโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่นั่นเอง

ขณะที่ น.นพรัตน์ ถอดความออกมาได้ว่า เมื่อ 10 ปีก่อนแป๊ะเฮี่ยวเซ็งเคยพบกับลี้ชิ้มฮัวแล้ว รู้สึกว่า 10 ปีมานี้ลี้ชิ้มฮัวคล้ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใด

และคล้ายเปลี่ยนไปมากนัก

ที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ ว. ณ เมืองลุง ใช้คำว่า “เปลี่ยนแปร” ขณะที่ น.นพรัตน์ ใช้คำว่า “การเปลี่ยนแปลง”

สะท้อนความลึกซึ้งระหว่าง “ความ” กับ “การ”

และที่สำคัญมากยิ่งกว่านั้น คือ ท่าทีที่แตกต่างกันระหว่าง ซิมโอ้วไต้ซือ เจ้าอาวาส กับ แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง ณ เบื้องหน้าลี้คิมฮวง

หากจับ “อาการ” ตั้งแต่เบื้องต้นก็อาจจะมองเห็น “ความนัย”

 

เริ่มจากคำพูด หากมีคนทำร้ายซือตี๋และศิษย์ของท่าน ท่านยังจะเกรงอกเกรงใจต่อมันถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

อันเป็นคำถามในลักษณะ “ปลายเปิด”

ยังตามมาด้วย “นอกจากเซี่ยวลี้ท้ำฮวยแล้ว ยังมีผู้ใดทำร้ายซิมไบ๊ไต้ซือได้”

เมื่อประสบกับคำถามของลี้ชิ้มฮัว “หากข้าพเจ้าทำร้ายซิมไบ๊ไต้ซือ ไฉนยังคุ้มครองส่งคนกลับมา”

“นี่คือความฉลาดปราดเปรื่องของท่าน” เป็นบทสรุป

พร้อมกับคำอธิบาย “ไม่ว่าผู้ใดทำร้ายองครักษ์พิทักษ์กฎของเสียวลิ้มยี่ เกรงว่าหลังจากนี้ไม่มีวันสงบสุข สำนักเสียวลิ้มยี่ทั้งฝ่ายเหนือและใต้จำนวน 3,000 ต้องไม่ปล่อยปละละเว้นมัน ขุมกำลังนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าดูแคลน

แต่ท่านเมื่อคุ้มครองส่งซิมไบ๊ไต้ซือกลับมา ผู้อื่นมิเพียงไม่ระแวงสงสัยว่าเขาได้รับบาดเจ็บในเงื้อมมือท่าน ยังไม่เพ่งเล็งสงสัยว่าท่านคือโจรดอกเหมย ท่านทำร้ายคนยังให้ศิษย์สำนักเสียวลิ้มยี่สำนึกขอบคุณท่าน

ความสูงส่งของฝีมือนี้แม้แต่เรายังเลื่อมใสยิ่ง”

 

คําพูดแต่ละคำพูดของแป๊ะเฮี่ยวเซ็งเกิดขึ้นเมื่อซิมโอ้วไต้ซือเดินหายเข้าไปในกุฏิเพื่อรอดูอาการของซิมไบ๊ไต้ซือว่าเป็นอย่างไร

เพียงวาจาไม่กี่คำลี้คิมฮวงก็บรรลุ

ลี้คิมฮวงหัวร่ออีกครา แหงนหน้ากล่าว “แป๊ะเฮี่ยวเซ็งเป็นสัพพัญญูที่รอบรู้ทุกเรื่องราวทุกเหตุการณ์จริงๆ มิน่าเล่า ค่ายสำนักใหญ่ๆ เล็กๆ บู๊ลิ้มทุกแห่งหน ต่างต้องการคบท่านเป็นมิตร เป็นสหายกับท่านนับว่ามีคุณประโยชน์ไม่น้อยจริงๆ”

แป๊ะเฮี่ยวเซ็งถึงกับหน้าไม่เปลี่ยนแปร ยังคงกล่าวต่อไป “ที่ข้าพเจ้ากล่าว เป็นวาจายุติธรรมดอก”

กระนั้น การตั้งข้อสังเกตของลี้คิมฮวงก็สำคัญ

“แต่เสียดายท่านกลับลืมความสำคัญไปเรื่องหนึ่ง ซิมไบ๊ไต้ซือยังไม่ตาย ท่านย่อมทราบว่าตัวท่านถูกผู้ใดทำอันตราย เมื่อถึงเวลานั้นซิงแซยังมิใช่ต้องกลืนวาจาที่เปล่งออกมากลับไปอีก”

แป๊ะเฮี่ยวเซ็งถอนหายใจกล่าว “หากข้าพเจ้าเดาไม่ผิดพลาด โอกาสที่ซิมไบ๊ไต้ซือจะกล่าวคำพูดได้ น่ากลัวมีไม่มากแล้ว”

พลันได้ยินซิมโอ้วไต้ซือตวาดเสียงเกรี้ยวกราด “หากซือตี๋อาตมามิใช่เป็นอันตรายกับฝีมือท่าน เป็นผู้ใดลงมือทำร้ายกัน”

มิทราบหลวงจีนชราเดินกลับมาแต่เมื่อใด ใบหน้าเคร่งเครียดเย็นชาด้วยโทสะ

แม้ว่าในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ลี้คิมฮวงจะหันไปกล่าว “หรือไต้ซือดูไม่ออกว่า ซิมไบ๊ไต้ซือถูกฝีมืออำมหิตของผู้ใด”

ซิมโอ้วไต้ซือมิได้ตอบคำถามนี้แต่หันไปร้อง “ชิกซือตี๋” (ศิษย์ผู้น้องคนที่ 7)

 

นี่คือ “โจทย์”ใหม่ที่ลี้คิมฮวงต้องเผชิญประสบเมื่อแบกสังขารของซิมไบ๊ไต้ซือขึ้นเขาซงซัวพบกับซิมโอ้วไต้ซือ เจ้าอาวาสเสียวลิ้มยี่

ไม่เพียงแต่มี “แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง” ยังมี “ชิกซือตี๋” เข้ามาอีกรูป