ความพ่ายแพ้เรือโคลงเคลง | มีเกียรติ แซ่จิว

ความพ่ายแพ้เรือโคลงเคลง | มีเกียรติ แซ่จิว

 

หากโลกจะอนุญาตให้โอกาสผมแก้ตัวอีกสักครั้ง ผมอยากขอใช้โอกาสนั้น…

“ออกมาแล้วไม่ประสบความสำเร็จมันแย่เนอะ”

“ก็ไหนบอกว่าได้ทำก็ดีแล้วไง”

สนทนากันคำสองคำผมวางสายจากเพื่อนเก่า

ตั้งแต่พี่ชายเสียเมื่อสองปีก่อน หนึ่งปีหลังจากนั้นผมลาออกจากงานประจำ ประจวบเหมาะในช่วงเวลาเดียวกับน้องสาวซื้อบ้านใหม่แถวจังหวัดนนท์ แม่จึงย้ายไปอยู่กับน้อง “เป็นห่วงน้องเป็นผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียว” และกลายเป็นผมที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวนับแต่นั้น

นี่ก็ปาเข้าปีที่สามแล้วตั้งแต่ลาจากชีวิตมนุษย์เงินเดือน เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น แถมพายุทอร์นาโดยังกระหน่ำซ้ำ งานฟรีแลนซ์ที่ทำรายได้ต่อชิ้นก็ลดฮวบตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ล้มแล้วยังแทบจมดิน โอภาปราศรัยปรับทุกข์กับอาจารย์ผู้ช่ำชองยุทธจักรเดินทางเจ็ดย่านน้ำท่านหนึ่ง

“ลดผมไป 500”

“ผมเหลือพันเดียว หักภาษีเหลือ 950”

“เฮ้ย ทำไมลดโหดจัง”

จากนั้นอาจารย์ก็ให้ทางเลือกมาสองทาง ผมมองนิ้วชี้กับนิ้วกลาง มองมวนยาเส้นที่คาบคาปากอาจารย์ “กลับไปหางานทำหรือไม่ก็ลุยต่อ” เขียนมันต่อไป แกว่างั้น หงึกหน้ารับฟัง แต่ใจห่อเหี่ยวหมดแรงไปเยอะทีเดียว การต้องอยู่ตัวคนเดียวในบ้านที่เคยมีพี่น้องร่วมกัน เหงา วังเวง บอกไม่ถูก สนทนาอยู่กับตัวหนังสือ ฝึกทักษะการอยู่คนเดียว อ่านออกเสียงให้ตัวเองฟัง ไม่อยากลืมถ้อยคำ หล่อเลี้ยงน้ำลายชโลมลิ้นไม่ให้เหม็นบูดไปมากกว่านี้

“สองสามหมื่นมารับพันสองพัน โง่หรือฉลาดวะ เฮ้ย แค่นี้ก่อน ลูกค้ามาแล้ว ขายของก่อนค่อยคุยกัน”

ดี โทร.ไปให้ไอ้หมูมันด่าเล่น เพื่อนชื่อหมู ขายข้าวขาหมู สืบทอดกิจการต่อจากพ่อมัน ยิ่งตอนนี้ขายทางเดลิเวอรี่อีกทาง งดหน้าร้าน พิษโควิดดูท่าไม่กระเทือนซาง ไม่กระทบขาประจำเจ้าเก่า บารมีพ่อมันสะสมไว้ไอ้หมูเลยใช้ชีวิตแบบหมูๆ หลังเรียนจบรับช่วงต่ออยู่หน้าเขียงอาบเหงื่อแทนพ่อ

“เรียนเป็นพิธีเอาเพื่อนเอาฝูงเอาสังคมพอเว้ย” มันว่างั้น

ผมไม่เคยอุดอู้อยู่บ้านได้นาน ต้องหน้าฉาบแดด แมสก์ปิดปากออกจากบ้านไปฝังตัวอยู่ในห้องสมุด ผจญรถติด ฝ่าฝุ่นควันคละคลุ้ง เจือกลิ่นเหงื่อหลังเวลาเลิกงานกว่าจะกลับถึงบ้าน ถอดแมสก์ออกหายใจสะดวกขึ้นเป็นกอง ตอกไข่ลงกระทะดาวกินกับข้าวสวยสำเร็จที่ซื้อมาจากเซเว่นปากทาง อิ่มแปล้ไปหนึ่งมื้อ จากนั้นอาบน้ำขึ้นบ้าน แต่ก็นอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมากดดูยูทูบเรื่อยเปื่อย

เที่ยงคืนกว่าจะได้ปิดตานอน

 

แรกๆ แม่โทร.มาถามอยู่เป็นระยะว่าอยู่คนเดียวได้ไหม บอกอยู่ได้ไม่ต้องเป็นห่วง หัวเราะเอิ๊กอ๊ากว่าเงียบ สบายดี แต่ในใจอยากร้องตะโกนออกมาดังๆ อยากให้แม่กลับมาอยู่บ้าน ทำกับข้าวให้กินเหมือนทุกวัน

เช้านี้ก็เหมือนเช่นทุกเช้า ตื่นนอน 6 โมง ออกไปเดินแกว่งแขนแกว่งขารับแดด วิ่งไม่ไหวแล้ว เหตุเมื่อกลางปีไปช่วยยกตู้หนังสือการ์ตูนที่ปล่อยขายไปทั้งตู้ขึ้นท้ายรถกระบะ พอช่วยกันนับ หนึ่ง สอง เท่านั้นแหละ เสียงดังแปลบปลาบแล่นราวไฟฟ้าช็อตดังจื๊ด เจ็บปวดแปลบลามลงขา

หมอเอ็กซเรย์ ผลออกมาเป็นหมอนรองกระดูก ได้ยามากิน หมอสั่งห้ามยกของหนัก ห้ามวิ่ง หยุดไปก่อนเลยช่วงนี้ ทิ้งช่วงยาวมาข้ามปี จึงค่อยกล้าออกแดดออกมาวิ่งเหยาะๆ สลับเดิน พอให้ร่างกายได้เหงื่อ หัวใจได้สูบฉีด ครั้นจะวิ่งเร็วรอบวังสวนจิตรฯ ฮึดให้ได้ 3 รอบต่อเนื่องเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้คงจะไม่ได้แล้ว

กลับเข้าบ้านมาพร้อมข้าวเหนียวสองห่อ หมูปิ้งสามไม้เป็นอาหารเช้า อาบน้ำเสร็จ กิน เปิดวิทยุฟังคลื่นที่ได้ยินแต่เพลงโฆษณากล่อมบรรเลง ‘ตื่นก็กินกาแฟ เที่ยงก็กินกาแฟ ถึงตอนเย็นก็กินกาแฟ’ แม้จะเบื่อโฆษณาสะกดจิต แต่ก็เปิดทิ้งไว้ มีเสียงดังสักหน่อยก็ยังดีกว่าปล่อยบ้านให้เงียบ สารภาพตามตรงว่า ผมเหงา

ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าทำไมเราจึงไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่รัก หรือเรามาผิดทางและดันทู่ซี้จะไปต่อ…

อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งก็สู้อุตส่าห์มีเมตตาทักมาว่าจะให้รับผิดชอบงานสัมภาษณ์เหมือนที่เคยทำตอนอยู่ที่คณะ แกช่างใจดีที่โปรยความหวังหอบใหญ่มาให้ แต่เกือบปีเข้าแล้วที่แกเงียบหายดังเป่าสาก เหมือนว่าไม่เคยพูดคุยกัน พยายามทำความเข้าใจชอนไชเข้าในจิตใจไอ้ฟักตอนไปเอาเงินที่ฝากไว้กับครูใหญ่แต่โดนตะเพิด บอกไม่เคยรับฝาก มันช่างเจ็บปวดรวดร้าว เข้าใจเลยไอ้ฟัก กูก็หัวอกเดียวกับมึงแล้วล่ะตอนนี้

พลิกดูสมุดฝากธนาคาร ร่อยหรอระรวยรินเหลือเกิน ของสะสมประดามีก็ขายกินจนสมใจมาริเอะ คอนโด จัดบ้านครั้งเดียวจนแทบจะหายเกลี้ยงหมดบ้าน ไม่เดินสะดุดเตะข้าวของระเกะระกะเหมือนแต่ก่อน เพราะไม่มีเหลือให้เตะ ม้วนวิดีโอกองพะเนินที่เคยตั้งสูงเกือบชิดชนเพดาน ลดหลั่นเหลือไม่ถึงหัวเข่า ตู้กระจกบรรจุเครื่องเล่นและตลับเกมยุค ’90 และตู้หนังสือไม้อัดแน่นการ์ตูนเก่าคลาสสิควับหายไปทั้งสองตู้

ยามนี้ห้องกลายเป็นเซนว่างเปล่าไม่ต่างกับห้องของสตีฟ จ็อบส์

 

คราวหนึ่งแม่กลับบ้านมาเยี่ยม เห็นบ้านโล่งถนัดตาก็ถามถึงเพื่อนร่วมทางแต่เด็กผมหายไปไหนแล้ว ก็บอกไปตามตรงแต่เลี้ยวอ้อมหน่อยว่าอยู่คนเดียวเลยจัดบ้านครั้งใหญ่ อันที่จริงไม่อยากให้แม่ต้องมาคอยห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะโตจนผมหงอกไปหลายหย่อมแล้ว จำต้องโกหกแม่ไปใหญ่โตว่ารายได้จากงานฟรีแลนซ์ยังประทังชีพได้สบายบรื๋อ พร้อมฮัมเพลงเรียกรอยยิ้มจากแม่ว่า “ไม่ต้องห่วงฉัน”

ไม่รู้นับจากนี้จะไปทางไหนต่อ มองล่วงหน้าไปหลายเดือนพานให้ห่อเหี่ยวใจ พอคิดมากเข้าก็กลับมาเปิดหนังดู เยียวยาหัวใจด้วยหนังเก่า ดูเสร็จก็นั่งคิดต่อว่าจะเขียนแง่มุมไหนออกไปให้พอมีสาระกระตุกต่อมคิดได้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่รีวิวเรื่อยเฉื่อยเฉอะแฉะน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงอยู่อย่างเดียว ก็ช่วงนี้นี่แหละที่กินเวลาเขียนต่อเนื่องไปอีกสองวันกว่าจะเข็นงานออกมาได้สักชิ้น กองขนมช็อกโกแลตเกลื่อนห้อง บางเรื่องก็หนักหน่วงสาหัสหืดขึ้นคอเอาเหมือนกัน แต่ก็ยังดีที่พอมีรายได้พอจ่ายค่าประกันสังคม ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ส่วนค่ากินก็ลดเหลือ 2 มื้อต่อวันพอประทังไปก่อน

ยังพอมีเหลือเก็บจากการขายของรักของหวงที่ยังดึงยืดยานยืนระยะมาได้ มองโลกในแง่ดีบำเรอใจว่าดีที่มีบ้านเป็นของตัวเอง ดีที่ได้ใช้เวลาอยู่กับการอ่านหนังสือ ดีที่ใช้เล่นมุขตลกกับพ่อแม่คนรักได้ว่า ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบหรี่ ไม่มีสังคม ไม่มีงานทำ ทั้งสองหัวเราะฮาครืน คงนึกว่าอำเล่น แต่นั่นคือเรื่องจริงที่ต้องยิ้มรับแม้ขื่นขม

โทษตัวเอง รับผิดชอบในทางที่เลือกตัดสินใจ ก็ต้องยอมรับสภาพที่เป็นตอนนี้ให้ได้ หลังชนฝาแล้วยังคิดว่ามีประตูกลพลิกไปอีกด้านให้ได้เจอโอกาสใหม่ๆ ในชีวิตอีกหรือไง ไม่มีใครรู้โชคชะตาฟ้าลิขิตว่าจะขีดลากเส้นให้ไปทางไหน อยู่ที่เราเองกำหนดว่าจะหยุดล้มลงยอมพ่ายตรงนี้หรือไปต่อ

ผมหยิบหนังสือมาอ่าน เปิดหนังดู เยียวยาชั่วโมงอันอ่อนล้ากับเวลาที่เดินเชื่องช้ากว่าตาจะปิดหลับลงไปอีกวัน ไม่ร้องไห้ หัวเราะ คุยสนุกตอนแม่โทร.มา พรุ่งนี้ไปหาคนรักที่บ้านแต่เช้า อยากแค่เห็นรอยยิ้มแล้วกลับบ้านมานั่งเขียนงานต่อ ไม่ง่าย แต่ต้องไปต่อ คิดแค่นี้ อย่าท้อ

ผมยังนอนลืมตามองเพดาน มองลูกแกะกระโดดทีละตัวสองตัวอยู่บนนั้น ลูกแกะตัวที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…ผมหลับไปตอนไหนไม่ใคร่จะจดจำ

 

บ้านคนรักผมอยู่เทเวศร์ไม่ไกลจากแถวสวนจิตรลดาที่ผมอยู่ บ้านเก่าสองชั้น อยู่กับพ่อแม่วัยเกษียณและน้องชายหัวเกรียนวัยมัธยมที่เกรียนได้ใจ ชอบยกมือไหว้ผมส่งๆ ตอนเจอกัน ผมมารอเจอเธอแต่เช้า พ่อเธอเปิดประตูมารับหนังสือพิมพ์เจอหน้าผม ชวนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปซื้อโจ๊กกับปาท่องโก๋หน้าตลาดด้วยกัน

ผมไม่ได้นัด อยู่ๆ อยากเจอจึงแวะมาหา เธอแต่งตัวทำงานลงมาเจอผมก็แปลกใจ เห็นผมนั่งโต๊ะอาหารกินโจ๊กกับปาท่องโก๋ร่วมกับพ่อแม่ของเธออยู่ ผมยิ้มดีใจตอนเจอเธอจนน้ำตาเกือบไหลออกมา เธอถามผมว่ามาได้ไง เธอนั่งกินโจ๊กหมูสองสามคำ แต่ผมวิดหมดชาม ก่อนไหว้ลาพ่อแม่แล้วเดินออกมาพร้อมเธอ

เธอพูดน้อยคำจนผมคิดกลิ้งไปหลายป้ายรถเมล์ นั่นสิ ตกงาน ล่องลอย หลักยึดไม่มี จะไปดูแลลูกสาวเขาได้ยังไง แต่ก่อนคิดแค่ว่าฟรีแลนซ์ที่หนึ่งแล้วค่อยขยับขยายเขียนอย่างอื่นเพิ่มเติม แต่พอโควิดระบาดหนัก ค่าต้นฉบับลดจนเรือโคลงเคลง หมายถึงเรือน้อยๆ ในหัวใจผมมันโคลงเคลงหวั่นไหว มรสุมลูกนี้หนาหนัก ไม่ใช่แต่ผมคนเดียว แต่ล้มต่อกันเป็นโดมิโน ผมเห็นคนในวงการบันเทิงขนของมาไลฟ์ขาย พ่อค้าแม่ค้า พนักงานตัวเล็กตัวน้อย ธุรกิจการท่องเที่ยวพับพังพาบเพราะพิษโควิดเขย่าฐานเศรษฐกิจพังครืน

อย่าว่าแต่ตั้งตัวเลย หลายคนชักหน้าไม่ถึงหลัง บ้างเป่าสมองลาโลกหลับนิรันดร์ เมื่อไร้สิ้นหนทางออก…ผมพอจะเข้าใจถ้าเธอกำลังคิดเรื่องนี้อยู่

“ไม่เป็นไรนะ เข้าใจ” ผมบอกเธอ แต่เธอไม่ทันฟัง แท็กซี่มาจอดพอดี เธอหันมองหน้าผมบอกไปด้วยกัน

จากบ้านเธอไปราชเทวี ปกติเธอจะนั่งรถเมล์ต่อเดียว แต่นี่เธอเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ คงไม่อยากโหนรถเมล์ ผมวาบคิดจนถึงตอนนี้ ผมยังไม่มีอะไรเลยสักอย่าง รถสักคันก็ยังไม่มี ที่บ้านมีแต่กองหนังสือกับผลงานที่ภาคภูมิใจเมื่อมีงานตีพิมพ์ลงนิตยสารการเมืองรายสัปดาห์ หนังสือรวมเรื่องสั้นของตัวเองหนึ่งเล่มตลอดระยะเวลาเกือบสิบปีที่มุ่งมั่นทำงานเขียนระหว่างที่ทำงานประจำไปพร้อมกัน แต่พอออกมาเขียนงานเต็มเวลากลับเขียนงานผลิตผลงานออกมาได้น้อยอย่างน่าใจหาย ผมแทบไม่เหลืออะไรนอกจากแม่และคนรักที่คบหากันมาตั้งแต่มหาวิทยาลัย

“ไม่ต้องคิดอะไรมาก ยังเหมือนเดิม” เธอว่า และบอกให้ผมตั้งใจทำสิ่งที่อยากทำต่อไป แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวหรือเหนื่อยเกินไปก็พักไปทำอย่างอื่นก่อน “ไม่เห็นเลสเตอร์เหรอ ยังไปขายแฮมเบอร์เกอร์เลย” เธอล้อผมกับหนังเรื่อง American Beauty ที่เคยตีตั๋วดูด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน

“ทำไมถึงยังทำงานที่เดิม” ผมอยากรู้ ไม่เคยถาม ตลอดระยะเวลาหลายปี น่าจะเกิน 15 ปี เราสองคนอีกปีสองปีก็จะขึ้นเลขสี่กันแล้ว เธอทำงานที่แรกหลังเรียนจบและไม่เคยเปลี่ยนงานเลยจนถึงตอนนี้ ไม่มีคำตอบ เธอก้มตอบไลน์ คงจะเป็นลูกค้า เธอเคยบอกทุกวันนี้ติดต่องานทางไลน์เยอะขึ้น ส่งเอกสารทางไลน์เสียเป็นส่วนใหญ่ รถยังคงติดเหมือนเช่นทุกเช้าวันทำงาน มิเตอร์ขึ้นไป 60 กว่า คนขับแท็กซี่เงียบกริบราวกับใช้บริการรถโดยสารไร้คนขับ ดีเหมือนกัน นั่งเบาะหลังพูดคุยกันสองคน แอร์เย็นฉ่ำจนอยากหลับ ผมนั่งกอดอก เธอยังคงก้มหน้าตอบไลน์ไม่เสร็จ เผลอหลับไปตอนไหน เธอสะกิดปลุกบอกถึงแล้ว

ผมกลับเข้าบ้านเอาเกือบสิบโมง เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บ้านสีฟ้าสองชั้นหลังเก่า ชั้นล่างเป็นปูนมีสองห้อง หนึ่งห้องแม่นอนกับน้องสาว หนึ่งห้องนั่งเล่นไว้นั่งนอนดูทีวี ตู้ของสะสมสองตู้ของผมก็วางไว้ชั้นล่าง ส่วนชั้นบนเป็นไม้มีสองห้องนอน หนึ่งห้องพี่ชายที่เคยอยู่กันเป็นครอบครัว แต่ตั้งแต่พี่ชายเสีย หลานคนหนึ่งไปอยู่หอมหาวิทยาลัย หลานอีกคนภรรยาพี่ชายเอาไปอยู่ด้วยที่ต่างจังหวัด อีกหนึ่งคือห้องผม ส่วนห้องน้ำมีชั้นล่างกับชั้นบนอย่างละห้อง

ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือ ดูหนัง เขียนหนังสือ ไม่ก็นอน แต่เช้านี้ผมไม่อยากทำกิจวัตรเดิมๆ ผมนั่งลงโซฟาครุ่นคิดว่าถ้าเราไม่ทำตามที่กล่าวมาแล้ววันๆ เราจะทำอะไร “เดลิเวอรี่ไง” คราวหนึ่งไอ้หมูเคยปรารภเช่นนั้น ส่วนอาจารย์ยอดวรยุทธ์อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งของผมแกก็บอกว่า “เขียน เขียนและเขียน” ผมรื้อแหวกพงหญ้าทางความคิดก็หาสบช่องทางออกไม่เจอ ยามนี้ How-to เล่มไหนก็ช่วยไม่ได้ วิดพื้นสามสิบครั้งต่อเนื่องก็ยังไม่สาแก่ใจ ผมนอนแผ่หลา หายใจหอบถี่ ร่างกายคล้ายกลายเป็นมัมมี่ตายซากอยู่ในโลงศพ ครุ่นคิดถึงความตายราวใกล้แค่เอื้อม ทำไมแค่ความคิดมันจึงน่ากลัวได้ขนาดนี้

“อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด” เข้าใจแล้ว แต่ผมก็ยังหาทางออกไม่เจอ ยังติดวนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ตอนนี้คนรักคงทำงานอยู่กับเพื่อนร่วมงาน แล้วตอนนั้นตอนที่ผมทำงานอยู่ ผมกำลังทำอะไรอยู่ หัวเราะกับเพื่อนร่วมงาน โกรธเกลียดเพื่อนร่วมงานชอบนินทา เครียดกับปัญหาที่เข้ามา แต่ในทุกปัญหาก็ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น เพื่อนร่วมงานบางคนก็เข้ามาช่วย สุดท้ายก็ทำงานกันเป็นทีม งานสำเร็จลุล่วง มีวันที่ดีและวันที่ทะเลาะกันบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ยังได้ยินเสียงของทุกคนเวลานั่งทำงาน ยังมีเพื่อน มีสังคม สิ้นเดือนเงินเดือนออกไปหาร้านนั่งดื่มกินกัน เฮฮาสนุกสนาน ไม่สิ้นหวังอยู่คนเดียวเหมือนอย่างในตอนนี้

…ผมคิดถึงเสียงของทุกคนและอยากได้มันคืนกลับมา

 

ผมหยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดเศษฝุ่นในห้องนั่งเล่น ตามมาด้วยห้องแม่ ทำความสะอาดห้องพี่ชายและห้องของตัวเอง นำผ้าชุบน้ำบิดจนสะอาดมาเช็ดถูพื้น ตามซอกมุมต่างๆ ของบ้านทั้งชั้นล่าง ชั้นบน เหงื่อท่วมตัวดีพอๆ กับตอนเดินรับแดดยามเช้า จากนั้นหยิบลังเก่าๆ ที่แม่เคยพับเก็บไว้มากางออก แปะเทปที่ก้นลัง นำข้าวของบางส่วนจากห้องแม่และห้องพี่ชายมาเก็บให้เข้าที่เข้าทางแล้วเขียนระบุข้างกล่องกำกับไว้

หมดไปครึ่งวันโดยที่ผมไม่ทันได้ดูเวลา เวลาเดินเร็วกว่าที่ผมคิด เสื้อยืดตราห่านสีขาวเปียกโชก หน้าตามอมแมมจากการรื้อปัดกวาดทำให้ผมลืมเหนื่อย ลืมเรื่องที่ครุ่นคิด อยู่ๆ ก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมกลับมานั่งพักที่โซฟาห้องนั่งเล่นอีกครั้ง คราวนี้ผมกลับยิ้มและมีความสุขขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ในมือของผมมีอัลบั้มภาพเก่าๆ ที่เจอตอนทำความสะอาดห้องพี่ชาย

ในภาพมีรูปเราสามพี่น้องและแม่ แต่ไม่มีพ่อ แต่พวกเรายิ้มแย้ม มีความสุข ตอนนั้นไปเที่ยวเขาดินวนา เราสามคนยังเด็ก พี่ชายห่างจากผม 5 ปี น้องสาว 3 ปี เรายังคงรักกันมากกว่าตอนที่โตและโลกเหวี่ยงไหวเราจากกันไปคนละทิศละทาง สังคมเพื่อนของแต่ละคน หน้าที่การงานของแต่ละคน ความรักที่มีให้กันลดน้อยลงเรื่อยๆ จนเราแทบจะไม่พูดคุยกัน นั่นสิ ขาดหายไปตอนไหน มีแม่คนเดียวที่คอยเป็นศูนย์กลาง

เช้าวันถัดมา ผมเกิดนึกถึงแม่ขึ้นมา คงจากอัลบั้มที่เปิดดูเมื่อวาน ผมแวะซื้อนิตยสารการเมืองรายสัปดาห์ในตลาดเจ้าประจำ เปิดดูหน้าสารบัญ พลิกเปิดดูเลขหน้าเดิมๆ ว่าจะปรากฏผลงานของตัวเองหรือไม่ จะเดินยิ้มแก้มปริหรือไหล่ห่อคอตกเดินกลับบ้านปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร

ผมม้วนนิตยสารเล่มดังกล่าว จากนั้นโบกเรียกรถแท็กซี่บอกเส้นทางให้ไปส่งหมู่บ้านแถวบางพลัด

 

แม่แปลกใจที่เห็นคนลงจากแท็กซี่มาเป็นผม คงงงว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่มา นี่ก็ข้ามปีเลยทีเดียวกว่าผมจะมาหาแม่อีกครั้ง แม้แม่จะโทร.มาคุยเล่นบ้าง แวะมาเยี่ยมเยียนบ้างเดือนละครั้งสองครั้ง มาทีก็เข้าครัวทำอาหารเอาไว้ให้ผมกินจุใจ ส่วนใหญ่แม่จะทำเอาไว้ให้เป็นหม้อไว้อุ่นกิน ไม่ว่าจะแกงไก่ แกงเขียวหวาน ไข่พะโล้ จับฉ่าย ต้มจืดกระดูกหมู ไม่ก็ผัดไทยให้กิน บางครั้งก็ทำสปาเกตตีแฮมไข่ของโปรดของผม

แม่ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบเหมือนทุกครั้ง ผัดข้าวให้ผมกิน ผมกินข้าวผัดไข่หมูชิ้นเบ้อเริ่ม อร่อยเหาะกว่าดาวไข่ ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นไหนๆ พอกินเสร็จ แม่ก็ถามผมขึ้นว่าฉบับนี้เขียนเรื่องอะไร ผมยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องว่า เมื่อวานทำความสะอาดห้องแม่ ห้องพี่ชาย เจออัลบั้มภาพเก่าๆ ตอนไปเที่ยวเขาดินกัน แม่บอกจำได้ดีตอนนั้นยังเด็กๆ กันอยู่เลย ผมว่ามีคำถามมาถามแม่ แต่แม่ห้ามโกรธนะ แม่ว่าจะมาโกรธอะไรล่ะ ผมก็เลยถามตรงไปตรงมาว่า แม่เลี้ยงลูกคนเดียวตั้งสามคนได้ยังไงตอนนั้น

แม่ไม่มีท่าทีตกใจใดกับคำถาม ลูบหัวผมเหมือนผมยังเป็นเด็กตัวน้อยของแม่ทั้งที่ผมจะสี่สิบอยู่รอมร่อแล้ว และแม่เองก็หกสิบกว่าเข้าไปแล้ว แต่แม่ยังดูแข็งแรง เดินเหินได้สะดวกสบาย ไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ ริ้วรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลาของแม่บดบังวัยสวยสดใสในรูปไปแทบหมดสิ้น แต่แม่ก็คือแม่ แม่ยังคงเป็นเหมือนเดิมเสมอในสายตาของผมไม่เคยเปลี่ยน ผมจำใบหน้าของแม่ได้ชัด แต่พ่อกลับเลือนรางเต็มทน

“คนเป็นแม่น่ะ ยังไงก็ต้องเลี้ยงดูให้ตลอดรอดฝั่ง แม่คิดแค่นี้เอง”

“แม้ผมตอนนี้จะตอบแทนอะไรแม่ไม่ได้เลยก็ตาม” ผมพูดต่อ แต่แม่ก็ขัดขึ้น

“ไม่ว่าตอนนี้ลูกจะคิดอะไรอยู่ ขอให้ลูกรู้ไว้ว่าลูกยังมีแม่อยู่ ว่างๆ ก็มาเที่ยวเล่นหาแม่ได้ตลอด เหนื่อยก็พักลูก ไม่มีใครว่าอะไรลูกสักหน่อย”

ผมจุกจนพูดอะไรไม่ออก รู้ว่าน้ำตาคลอหน่วยอยู่ มันตื้นตันที่แม่ก็ยังเป็นแม่ แม่ยังคงสัมผัสได้ในทุกความรู้สึกที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้ ทุกครั้งที่แม่มาหาผมที่บ้าน แม้แม่จะไม่พูด แม้แม่จะฟังเรื่องโกหกพกลมของผม แต่แม่รู้ รู้ว่าผมกำลังดีใจหรือเสียใจ ใช่ บอกตามตรงผมเสียใจที่ไม่ประสบความสำเร็จดังหวัง ผมแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ผมไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหน แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะเดินไปในทางที่ไม่ดีหรือพาตัวเองไปสู่จุดสิ้นหวัง

คล้ายเรือในใจของผมมันหยุดโคลงเคลงไปชั่วขณะหนึ่ง ราวกับลมมรสุมท้องทะเลหยุดโหมกระหน่ำ แม่แตะบ่าลูบปลอบผมช้าๆ ผมเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้นกระเบื้องมันวับ น้ำตาหยดแหมะโดยไม่ตั้งใจ ผมอดทนได้ต่อทุกสิ่ง อดกลั้นไม่ให้น้ำตารินหลั่งมาได้ก็ตั้งหลายครั้ง ผิดหวังเสียใจ ผมพร้อมรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ แต่ตอนนี้ ตรงหน้าแม่ ผมอ่อนแอเหลือเกิน ไม่ไหว ไม่ไหว จนกระทั่งผมโอนอ่อนเข้าซบกอดแม่แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง

ผมเคยร้องไห้เสียงดังโดยไม่อายใครครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ตอนไหน

หรือเมื่อตอนแรกเกิดเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว จำไม่ได้ ผมจำไม่ได้แล้วจริงๆ

หากโลกจะอนุญาตให้โอกาสผมแก้ตัวได้อีกสักครั้ง ผมอยากขอใช้โอกาสนั้น… •