ศัตรู สองรายทาง แชม้อชิ่ว อีเข่า ปรากฏตัว ทวงแค้น ลี้คิมฮวง

นอกเหนือจากซิมไบ๊ไต้ซือและศิษย์วัดเสียวลิ้มยี่ นอกเหนือจากชั้งชิกที่ร่วมในการคุมตัวลี้คิมฮวงไปยังวัดเสียวลิ้มยี่

ยังมีหลาย “อาคันตุกะ” ที่รอคอยตลอดสองรายทาง

เห็นได้จากระหว่างการโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อนระหว่างชั้งชิกกับลี้คิมฮวง มือของชั้งชิกยังมิได้กดลงไปในจุดใบ้ของลี้คิมฮวง

พลันได้ยินม้าพ่วงพีร้องสนั่นหวั่นไหว สารถีตวาดดังสับสน

รถม้าที่วิ่งอย่างรวดเร็ว พลันมาหยุดลงโดยกะทันหัน ผู้คนในรถต่างกระดอนขึ้นจากที่นั่งจนศีรษะแทบกระแทกกับเพดาน

เมื่อชะโงกออกไปทางหน้าต่าง ปากชั้งชิกกลับหุบสนิทแน่น

ที่ข้างทางซึ่งมีหิมะสุมหนามีคนยืนตัวตรงอยู่ผู้หนึ่ง มือขวาของมันคว้าปลอกม้าไว้ ม้าพ่วงพีแผดร้องพลางกระโดดโลดเต้นพลาง

แต่มือของมันกลับคล้ายเป็นท่อนเหล็ก แน่วนิ่งไม่เคลื่อนไหว

 

ที่ข้างทางซึ่งสุมด้วยหิมะปรากฏคนผู้หนึ่งยืนตัวตรง มือขวารวบคว้าสายบังเหียนของม้าเทียมรถไว้ ม้าพ่วงพีแผดเสียงร้อง ยกขาหน้าขึ้น

มือของมันกลับคล้ายหล่อหลอมจากเหล็ก ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

คนผู้นี้สวมชุดยาวสีเขียว แขนเสื้อกว้างใหญ่ โชยพัดพลิ้ว ชุดยาวนี้ไม่ว่าสวมใส่บนร่างผู้ใดก็ออกจะยาวเกินไป

แต่เมื่อสวมบนร่างมันยังคลุมไม่ถึงหัวเข่า

คนชุดเขียวมีความสูงจนน่าตระหนก บนศีรษะพานสวมหมวกทรงที่ประหลาดพิกลใบหนึ่ง

ดูไปคล้ายต้นไม้เหี่ยวโกร๋นต้นหนึ่ง

มือข้างหนึ่งสามารถเหนี่ยวรั้งม้าที่ห้อตะบึงเอาไว้ได้ พละกำลังเช่นนี้เป็นที่น่าตระหนกจริงๆ

แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่ากลับเป็นดวงตา

นั่นถึงกับไม่คล้ายเป็นดวงตาของผู้คน ดวงตาของมันกลับเป็นสีเขียว ลูกตาเป็นสีเขียว ตาขาวก็เป็นสีเขียว ยามกะพริบก็เปล่งแสงวูบวาบราวไฟปีศาจกลางสุสานร้าง

ศีรษะของฉั้งฉิกเพิ่งยื่นออกไปก็หดรั้งกลับมา ริมฝีปากซีดขาว

 

เมื่อซิมไบ๊ไต้ซือถามว่า “ที่เบื้องนอกมีคนรึ” ฉั้งฉิกรับคำดังอืมม์ ซิมไบ๊ไต้ซือขมวดคิ้วพลางถามว่าเป็น “ผู้ใด”

“อีเข่า” เป็นคำตอบจากฉั้งฉิก

“ที่แท้มาหาข้าพเจ้าเอง” ลี้ชิ้มฮัวยืนยันพร้อมกับรอยยิ้ม

คล้อยหลังคำถามจากซิมไบ๊ไต้ซือที่ว่า “แชม้อชิ่ว (มืออสูรเขียว) อีเข่า ก็เป็นสหายของท่านหรือ”

ลี้ชิ้มฮัวยิ้มพลางกล่าว

“น่าเสียดายที่สหายผู้นี้ก็เฉกเช่นกับสหายอื่นของข้าพเจ้า ต้องการศีรษะของข้าพเจ้า”

อย่าได้แปลกใจหากเมื่อซิมไบ๊ไต้ซือลงจากรถและยืนยันด้วยวาจาอันเป็นสัจจะว่า “ในรถนอกจากฉั้งฉิกเอี้ยแล้ว ยังมีประสกแซ่ลี้ท่านหนึ่ง”

“ประเสริฐ ท่านมอบตัวลี้ชิ้มฮัวออกมา เราจะปลดปล่อยท่านไป”

“อาตมาคิดนำตัวผู้แซ่ลี้กลับเสียวลิ้มยี่จุดประสงค์เพื่อตัดสินลงโทษ ประสกกับพวกเราเมื่อมีเป้าหมายศัตรูเดียวกันก็ไม่สมควรสกัดขัดขวาง”

“ท่านมอบตัวลี้ชิ้มฮัวออกมา เราจะปลดปล่อยท่าน”

 

มันกล่าวไปกล่าวมายังคงเป็นวาจาประโยคนี้ มิว่าผู้อื่นกล่าวเช่นไร มันล้วนทำหูทวนลม ไม่สนใจ ใบหน้าขาวซีดของมันคล้ายเป็นใบหน้าของซากศพ ไม่มีความรู้สึก

“หากอาตมาไม่รับปาก จะเป็นอย่างไร”

“นั่นก็ต้องฆ่าท่านก่อน ค่อยฆ่าลี้ชิ้มฮัว”

มือซ้ายของมันปล่อยห้อยตลอดเวลา แขนเสื้อที่ยาวพลิ้วไสว คลุมมือของมันไปจนหมดสิ้น

ในตอนนี้มือมันพลันยื่นออกมา

แลเห็นประกายสีเขียววูบขึ้น ตะปบใส่ใบหน้าซิมไบ๊ไต้ซือ นั่นคือ แชม้อชิ่ว ที่ชนชาวนักเลงพอได้ยินก็อกสั่นขวัญฝ่อ

ซิมไบ๊ไต้ซือตวาดด้วยโทสะ

ที่ด้านหลังมีเงาสีเทา 4 สายโถมปราดมา พอซิมไบ๊ไต้ซือถลันหลบการตะปบพ้น หลวงจีนจีวรสีเทาอีก 4 รูปก็ล้อมอีเข่าไว้

“ประเสริฐมาก เรามีความต้องการได้รู้เห็นพยุหล้อฮั่นติงของเสียวลิ้มยี่มานานแล้ว”

ในเสียงแผดหัวร่ออันกราดเกรี้ยวน่าหวาดกลัว แชม้อชิ่วของมันก็ยื่นออก ควันสีเขียวสายหนึ่งพุ่งมาแล้วระเบิดเบาๆ กลายเป็นควันกลุ่มใหญ่

แผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง

 

ซิมไบ๊ไต้ซือหน้าแปรเปลี่ยนไป ร้องโพล่งขึ้น “รีบกลั้นลมหายใจไว้” ท่านเพียงเตือนภัยต่อศิษย์ในสังกัดกลับลืมเลือนตัวเอง

คำ “รีบ” พอกล่าว รู้สึกมีกลิ่นคาวหอบหนึ่งพวยพุ่งเข้าปาก

ซิมไบ๊ไต้ซือตีลังกากลางอากาศทอดหนึ่ง พุ่งปราดออกไป 3 วา จากนั้นทรุดนั่งขัดสมาธิกับพื้น

ใช้พลังการฝึกปรือหลายสิบปีรีดเร้นควันพิษสายนี้ออกมา

หลวงจีนเสียวลิ้มยี่ทั้ง 4 รูปขยับกายวูบ ยืนเรียงรายขวางอยู่เบื้องหน้าซิมไบ๊ไต้ซือ ในสถานการณ์เช่นนี้เหล่าหลวงจีนเสียวลิ้มยี่คำนึงถึงซิมไบ๊ไต้ซือก่อน

ทอดทิ้งลี้ชิ้มฮัวโดยไม่แยแส

แต่อีเข่ากระทั่งเหลือบแลยังไม่เหลือบแลหลวงจีนเหล่านั้น พุ่งขวับถึงหน้าประตูรถ ลี้ชิ้มฮัวยังเอนกายอยู่ภายในรถ

ฉั้งฉิกกลับหายสาบสูญไป

อีเข่าถลึงมองลี้ชิ้มฮัว ถามย้ำทีละคำว่า “ท่านเป็นคนฆ่าคูต๊ก ใช่หรือไม่”

ลี้ชิ้มฮัวรับคำดังอืมม์ อีเข่ากล่าวต่อไปว่า “ประเสริฐ ชีวิตของคูต๊กแลกกับชีวิตของลี้ชิ้มฮัว แม้ตายก็คู่ควร”

พลางตวัดมืออสูรเขียวขึ้นอีกครา

 

ด้านหนึ่ง แชม้อชิ่วของอีเข่าตวัดขึ้น ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง อีเข่าถลึงจ้องลี้คิมฮวงแสยะยิ้มกล่าว

“ท่านมีวาจาใดจะกล่าว”

ลี้คิมฮวงจ้องมองแชม้อชิ่วที่เป็นสีเขียวแวววาวของมัน พลางกล่าวช้าๆ “มีประโยคเดียว”

“วาจาใด รีบบอก”

ลี้คิมฮวงถอนหายใจ กล่าว “ท่านไยต้องมาหาที่ตาย”

มือของลี้คิมฮวงพลันสะบัด ประกายมีดวูบขึ้น อีเข่าตีลังกาปราดออกไปทันที บนพื้นหิมะมีโลหิตสีแดงเพิ่มขึ้นหย่อมหนึ่ง

มองดูร่างอีเข่าอีกครั้ง

ได้ห่างไกลไปหลายวาแล้ว ส่งเสียงแหบแห้ง “ลี้คิมฮวง ท่านจำไว้ เรา…”

กล่าวถึงตอนนี้เสียงของมันพลันชะงักงันลง

ลมหนาวคล้ายมีด กรีดเฉือน แผ่นดิน แผ่นฟ้า เวิ้งว้าง หนักอึ้ง ทุ่งร้างกลางหิมะกลับกลายเป็นเงียบ วังเวง

ราวสุสานร้าง

 

ไม่ว่าจะมองผ่าน มือของลี้คิมฮวงพลันสะบัด ประกายมีดวูบขึ้น อีเข่าตีลังกาปราดออกไปทันที บนพื้นหิมะมีโลหิตสีแดงเพิ่มขึ้นหย่อมหนึ่ง

ไม่ว่าจะมองผ่าน ลี้ชิ้มฮัวทอดถอนใจกล่าว

“ท่านไยต้องมาหาที่ตาย” มือของเขาสะบัดออกไป ประกายมีดวูบขึ้นแวบหนึ่ง อีเข่าก็หงายร่างตีลังกาออกไป

บนพื้นหิมะเพิ่มหยดโลหิตขึ้นหยดหนึ่ง

ท่ามกลางเสียงร้องอันแหบพร่าของอีเข่า “ลี้ชิ้มฮัวท่านจดจำไว้ เรา…” เอ่ยถึงตอนนี้สุ้มเสียงพลันชะงักหาย

ลมหนาวคล้ายคมมีด

แผ่นฟ้า แผ่นดิน แฝงกลิ่นอายฆ่าฟัน พื้นหิมะกลายเป็นเงียบงันราวความตาย พลันบังเกิดเสียงปรบมือดังขึ้น

ฉั้งฉิกมุดออกจากหลังตัวรถ ปรบมือกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

“ประเสริฐ ประเสริฐ เซี่ยวลี้ปวยตอ (มีดบินของลี้น้อย) ไม่เคยจู่โจมพลาดเป้า ยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆ”

เหมือนกับเป็นคำยกย่อง แต่ในคำยกย่องก็มีคำถาม

 

ไม่ว่าจะเป็นซิมไบ๊ไต้ซือ ไม่ว่าจะเป็นฉั้งฉิกต่างทอดตามองไปยังลี้คิมฮวงด้วยความแคลงคลางกังขา

ขนาดถูกจี้สกัดจุด มีดบินก็ยังไม่พลาดเป้า