โฉมหน้า ที่เป็นจริง โฉมหน้า เล้งโซ่วฮุ้น ปรากฏ ณ เบื้องหน้าลี้คิมฮวง

ในที่สุด ความจริงก็ค่อยๆ คลี่คลาย ขยายตัวและแผ่แบอยู่ ณ เบื้องหน้า ไม่ว่าจะเป็นลิ่มซีอิม ไม่ว่าจะเป็นลี้คิมฮวง

มีเพียงแต่เล้งโซ่วฮุ้นเท่านั้นที่ยังไม่ยอมรับ

ไม่เพียงเมื่อลิ่มซีอิมก้าวถอยหลังด้วยความสะเทือนใจจากลี้คิมฮวงที่ว่า “ท่านจะเป็นหรือตายเกี่ยวข้องใดกับข้าพเจ้า”

แต่เมื่อล้มไปอยู่ในอ้อมกอดของเล้งโซ่วฮุ้น

ลิ่มซีอิมเมื่อเห็นมือของมัน สติแจ่มใสขึ้นได้ทันที กล่าวเสียงเย็นชา “ยกมือของท่านออกไป ขอให้ท่านนับแต่นี้จงอย่าได้กระทบข้าพเจ้า”

ใบหน้าเล้งโซ่วฮุ้นพลันกระตุกถี่เร็ว

คล้ายดั่งถูกโบยอย่างหนักหน่วงไปแส้หนึ่ง ในที่สุด มือของมันคลายออกช้าๆ เพ่งตามองลิ่มซีอิมพลางกล่าว

“ท่านทราบหมดสิ้นแล้ว”

สภาพการณ์จึงดำเนินไปอย่างที่ลิ่มซีอิมสรุปออกมาอย่างรวบรัดยิ่งว่า “ในโลก ไม่มีเรื่องราวที่สามารถปกปิดผู้คนได้ตลอดกาล”

กล่าวสำหรับลี้ชิ้มฮัวเองก็ยอมรับ

“ขณะที่ท่านโอบแขนข้าพเจ้า ปล่อยให้ฉั้งฉิกจี้สกัดจุดข้าพเจ้า เพียงแต่ ข้าพเจ้าแม้ทราบกลับไม่ได้โทษว่าท่าน”

จึงมีแต่เล้งเซ่าฮุ้นเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าลิ่มซีอิมรู้ ลี้คิมฮวงรู้

หากถามว่าระหว่างลิ่มซีอิมกับลี้คิมฮวงใครเมื่อรับรู้แล้วก็สามารถตัดสินใจและเดินหน้าด้วยความเฉียบขาดและแน่วแน่มากกว่ากัน

ตอบได้เลยว่าเป็นลิ่มซีอิม

เบื้องหน้าคำกล่าวของเล้งเซ่าฮุ้นที่ว่า “ท่านกล่าวไม่ผิด เราเพราะเพื่อครอบครัวนี้เพราะเพื่อบุตรชายเรา พวกเราความจริงอยู่อย่างปกติสุข ท่านพอมาถึงทุกประการล้วนเปลี่ยนแปลงไป

เราความจริงเป็นประมุขสถานที่นี้ แต่ท่านพอมาถึงเรารู้สึกว่าคล้ายเพียงเป็นแขกในที่นี้ เราความจริงมีบุตรชายที่ดีงามคนหนึ่งแต่ท่านพอมาถึงก็ทำร้ายมันร่อแร่ปางตาย”

ลี้ชิ้มฮัวทอดถอนใจด้วยความรันทด “ท่านกล่าวไม่ผิด ข้าพเจ้าไม่สมควรมาจริงๆ”

กระนั้น เมื่อเล้งโซ่วฮุ้นพลันโอบลิ่มซีอิมจนแนบแน่นอีกครั้ง ร้องเสียงแหบพร่า “แต่ที่สำคัญสุด ยังคงเพราะท่าน ข้าพเจ้าคืนทุกสรรพสิ่งให้แก่มันก็มิเป็นไร แต่ข้าพเจ้าไม่อาจสูญเสียท่าน”

วาจาไม่ทันจบความน้ำตาของมันพลอยหลั่งไหลจนอาบหน้าไปบ้างแล้ว

ลิ่มซีอิมพริ้มตาลง น้ำตาหลั่งไหลดุจไข่มุกขาดจากสาย “หากท่านยังมีน้ำใจคิดเห็นแก่ข้าพเจ้าสักน้อยนิด ท่านก็ไม่ควรกระทำดังนี้”

เล้งโซ่วฮุ้นสวนคำทันที

“ข้าพเจ้าก็ทราบไม่สมควรทำดังนี้แต่ข้าพเจ้ากลัวอย่างยิ่ง กลัวจริงๆ ข้าพเจ้ากลัวท่านตีจากข้าพเจ้าไป เนื่องเพราะท่านแม้ไม่บอกแต่ข้าพเจ้าก็ทราบว่าท่าน ท่านมิได้ลืมมันข้าพเจ้าเพียงกลัวว่าท่านจะกลับไปที่มันอีกครั้ง”

ลิ่มซีอิมพลันกระโดดขึ้น ส่งเสียงดังๆ

“คลายมือท่านออกไป ท่านมิเพียงมือสกปรกเท่านั้น หัวใจยิ่งสกปรกจนโสมม ท่านเห็นข้าพเจ้าเป็นคนเช่นไร ท่านเห็นมันเป็นคนเช่นไร”

นางโถมลงกับพื้น ร่ำไห้สุดเสียงด้วยความเจ็บช้ำ

“หรือท่านลืมไป ข้าพเจ้า อย่างไรก็เป็นภรรยาของท่าน”

เล้งโซ่วฮุ้นยืนตะลึงลานอยู่กับที่ คล้ายเป็นร่างสลักจากตอไม้ไปแล้ว มีแต่น้ำตาเท่านั้นที่ยังหลั่งไหลไม่ขาดสาย

“นี่เป็นความผิดของผู้ใด” เป็นคำถามจากลี้คิมฮวง

ถามว่าเป็นเพราะเล้งโซ่วฮุ้นวางแผนไว้แต่ต้น กระนั้นหรือ ถามว่าเป็นเพราะเล้งโซ่วฮุ้นตกกระไดพลอยโจนไปกับสถานการณ์ กระนั้นหรือ

อาจเป็นไปได้

แต่ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับก็คือ เหตุปัจจัยอะไรทำให้เกิดกรณี “โจรดอกเหมย” ออกมาสร้างความปั่นป่วนในยุทธจักร

หากไม่มีสถานการณ์จาก “โจรดอกเหมย”

ย่อมไม่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในยุทธจักร แม้แต่ละคนจะตกอยู่ในความงุนงงเป็นอย่างยิ่ง

เนื่องจาก “โจรดอกเหมย” เป็นเรื่องเมื่อ 30 ปีก่อน

กระนั้น ความเสียหายในยุทธจักรยิ่งนับวันยิ่งแผ่ขยายและกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวง

ไม่ว่าต่อชีวิต ไม่ว่าต่อ “ผู้คน”

ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็จากสถานการณ์ “โจรดอกเหมย” นั้นเองทำให้ลี้คิมฮวงบังเกิดความห่วงหาอาทร

เกรงว่าลิ่มซีอิมจะตกอยู่ในอันตราย

 

มีความน่าสงสัยมากมายต่อกรณี “โจรดอกเหมย” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อลี้คิมฮวงถูกป้ายหม้อดำจากบรรดาจอมยุทธ์ผู้มากด้วยคุณธรรม

มันรู้ทั้งรู้ว่าตัวมันเองไม่ใช่และไม่มีทาง

น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า เหตุใดจอมยุทธ์ผู้มากด้วยชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็นฉั้งฉิก ไม่ว่าจะเป็นเตียเจียเอี้ย ไม่ว่าจะเป็นสมณะจากเสียวลิ้มยี่

ล้วนปักใจเชื่อว่าเป็นมัน

ยิ่งการเดินทางมาอย่างเร่งร้อนของทิเต็กซิงแซพร้อมกับขลุ่ยเหล็ก ยิ่งมีเป้าหมายเพื่อล้างแค้นให้กับยู่อี่ (สมปรารถนา) อันเป็นที่รัก

แม้ “เซี่ยวลี้ปวยตอ” จะระบุบทที่ 17 ว่า “เผยโฉมที่แท้จริง”

แต่ความหมายของ “โฉม” ในที่นี้มิได้หมายถึง “โจรดอกเหมย” หากแต่หมายถึงโฉมที่แท้จริงของเล้งเซ่าฮุ้น

ความน่าสนใจจึงอยู่ที่ “ลิ่มเซียนยี้” มากกว่า

 

ถามว่าเหตุปัจจัยใดทำให้การเข้ามาปรากฏของ “กิมซีกะ” น่าสนใจกระทั่งเกิดการตามล่าอย่างหิวกระหายขึ้น

คำตอบเพราะความวิเศษของ “เกราะใยทอง”

หากใครได้ “เกราะใยทอง” ไปสวมใส่ นั่นหมายถึง ไม่อาจมีใครทำอันตรายตรงทรวงอกอันเป็นที่ตั้งของหัวใจได้

เพราะนั่นคือเป้าหมายที่ “โจรดอกเหมย” จู่โจม

หากดูการสนทนาระหว่างลี้คิมฮวงกับคนใน “อาภรณ์เขียว” ท่ามกลางซากศพ ณ เรือนแรมร้างแห่งหนึ่งนั้นได้

ก็จะเข้าใจ

เข้าใจในความปรารถนาอย่างยิ่งยวดของคนใน “อาภรณ์เขียว” ถึงกับพร้อมจะเอากระบี่วิเศษของอิ่วเล้งเซ็ง และหัตถ์อสูรเขียวของอีเข่ามาแลก

นี่คือความสงสัยในใจของ “ลี้คิมฮวง”

 

เมื่อมันเดินทางมายังคฤหาสน์เมฆเรืองโรจน์ด้วยความจำเป็นเนื่องจากมันมีส่วนในการลงโทษอั้งไฮ้ยี้อย่างเล้งเซี่ยวฮุ้น

มันจึงทราบว่า ณ ที่แห่งนี้มีโฉมสะคราญนาม “ลิ่มเซียนยี้”

ไม่เพียงแต่นางเป็นน้องร่วมสาบานกับลิ่มซีอิม หากแต่เล้งโซ่วฮุ้นและลิ่มซีอิมยังเชื้อเชิญให้นางเข้ามาพำนัก

ทั้งยังพำนัก ณ ตึกน้อยหอมเย็น เรือนอันเคยเป็นของลี้คิมฮวงอีกด้วย

ความน่าประหลาดใจอย่างยิ่งยวดก็คือ โฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งบู๊ลิ้มกลับเป็นคนเดียวกับคนใน “อาภรณ์เขียว”

เคยเปลือยร่าง ณ เบื้องหน้ามันอีก

ความน่าประหลาดยิ่งกว่านั้น มันกลับพบว่าไม่ว่าศิษย์อันเป็นบุตรของอีเข่าเจ้าของหัตถ์อสูรเขียว ไม่ว่าอิ่วลั้งเซ็งเจ้าของกระบี่วิเศษ

ล้วนมีความสัมพันธ์เร้นลับกับ “ลิ่มซีอิม” ที่อยู่ในตึกน้อยหอมเย็น

ท่ามกลางเสียงร่ำลือดังกึกก้อง “เมื่อคืนก่อนโจรดอกเหมยไปยังตึกน้อยหอมเย็นเพราะเพื่อเสาะหานาง ประจวบกับฉิ้งเต้งอยู่ที่นั่นกลับรับเคราะห์กรรมแทนนาง”

จึงนำไปสู่บทสรุปตั้งแต่ยังไม่ได้พบกัน

“เมื่อคืนก่อนเป็นบุตรชายของฉิ้งเฮ้างี้ คืนนี้เป็นศิษย์ของอสูรเขียวอีเข่า ดูท่าลิ่มเซียนยี้นางนี้มีเวลาว่างไม่มากนัก สายตาก็ไม่เลว คนที่นัดพบล้วนเป็นบุตรหลานของทายาทของยอดฝีมือ”

ในนี้ย่อมหมายรวมเอา “ลี้คิมฮวง” ที่นางมี “นัดหมาย” ด้วย

 

กล่าวสำหรับลี้คิมฮวงแม้จะยังไม่กระจ่างในพฤติกรรมของลิ่มเซียนยี้ว่าดำเนินไปอย่างไรและมีเป้าหมายใดในทางการเมือง

แต่ก็ถือว่ามีความกระจ่างมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

เพียงแต่มันยังต้องการพิสูจน์ ยังต้องการตรวจสอบหลายเรื่องราวก่อนที่จะไปสู่บทสรุปในบรรทัดสุดท้าย

ทั้งมันยังไม่รู้ว่าอาฮุยหายไปอย่างไร้ร่องรอยและอยู่ที่ใด

ทั้งมันยังอยู่ระหว่างการเดินทางร่วมไปกับซิมไบ๊ไต้ซือ ผู้พิทักษ์กฎ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่วัดเสียวลิ้มยี่อันมากด้วยเกียรติภูมิสูงเด่น