ประกวดเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ : อมตะ

โดย สุรนาจ สุเมธลักษณ์

ความจริงผมรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นปีที่เท่าไหร่ที่ผมยังมีชีวิตอยู่ อย่าเดาเลย เอาเป็นว่ามันนานแสนนานมาแล้วก็แล้วกัน แต่นั่นแหละนะ

มันไม่นานถึงขนาดคุณไม่สามารถจินตนาการได้หรอก

ตอนเสียงผ่านลำโพงแหบพร่าบนรถไฟฟ้าประกาศชื่อสถานีถัดไปที่ผมจะลง ผมเพิ่งดึงแฟ้มออกจากกระเป๋า และเริ่มต้นอ่านรายงานประจำสัปดาห์ของหน่วยงานที่ผมสังกัด แม้มันจะเป็นแค่รายงานรวบรวมข่าวต่างประเทศธรรมดาๆ ที่มีเนื้อหาไม่เกินสี่บรรทัดของหน้ากระดาษเอสี่สีน้ำตาลด้วยตัวหนังสือขนาดสิบหกพอยต์ แต่มันก็ยังเป็นความลับสำหรับยายป้าที่พยายามแสดงสัญลักษณ์ความเป็นชาติด้วยการแต่งชุดไทยตัดเย็บด้วยผ้าไหมแพงระยับ

ผมของหล่อนฟูฟ่องเหมือนขนมปังค่อยๆ ขยายตัวตอนอยู่ในเตา หรือสายไหมที่ทำจากน้ำตาลเทียม ใบหน้า แก้ม คอ และถุงใต้ตา เป็นลอนคลื่นและโดดเด่นอย่างประหลาดแบบเดียวกับคนที่ผ่านการทำศัลยกรรมมาไม่ต่ำกว่าหกหน ซึ่งนั่งอยู่ข้างผม หล่อนกระตุกเล็กน้อยทุกครั้งที่หัวเข่าหรือท่อนขาของเราบังเอิญกระทบกัน

และมันก็ยังเป็นความลับสำหรับหญิงสาวหน้าตาดีไว้ผมม้ากัดสีทองในกระโปรงยีนส์สั้นจู๋ เสื้อยืดคอเต่าแขนกุดสีดำเด่นนูนด้วยหน้าอกขนาดมหึมา หรืออาจเป็นชั้นในฟองน้ำ แต่นั่นแหละ… ก็ยังคงน่าตื่นตา ซึ่งนั่งถัดออกไป

และก็ยังคงเป็นความลับสำหรับไอ้หอกผมยาวกระเซอะกระเซิง หนวดเครารกสะเปะสะปะ ชุดผ้าดิบที่ย้อมด้วยสีจากธรรมชาติเริ่มซีดจาง แววตาครุ่นคิด หรือบางที… อาจแค่เหม่อลอยจากอาการเมาค้าง หัวนิ้วโป้งตีนงอจิกอยู่ในรองเท้าแตะหูหนีบทำจากหนัง ซอกเล็บมือดำสกปรกกอดกุมอยู่กับมือเรียวเล็กและวางแปะอยู่บนต้นขาของหญิงสาวผมทองคนนั้น

และมันก็ยังเป็นความลับสำหรับไอ้ห่านี่ หรือไอ้หมอนั่น และไอ้ส้นตีนที่ยืนเบียดผู้หญิงทั้งที่รถว่างโล่ง ใช่และใช่ มันเป็นความลับสำหรับเกือบจะทุกคนบนรถไฟฟ้าขบวนนี้ ให้ถูก… มันเป็นความลับสำหรับเกือบจะทุกคนในประเทศอันแสนสงบสุขเฮงซวยนี่

ผมลากสายตา เจาะจงเฉพาะอักษรที่เน้นเป็นตัวหนา

“องค์การอวกาศโลกสูญเสียนักบินทั้งหมดในภารกิจสำรวจดวงจันทร์ยูโรปา ซึ่งเป็นดาวบริวารของดาวพฤหัสฯ ข้อมูลกระท่อนกระแท่นที่ส่งมามีภาพของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ขนาดใหญ่ใต้ผิวน้ำแข็ง”

“กลุ่มอนาธิปไตยใหม่ในยุโรปออกแถลงการณ์แสดงความรับผิดชอบต่อกรณีอาคารเก็บข้อมูลลูกค้าในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ระเบิดพร้อมกันหกแห่ง ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ธนาคารแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์ออกมายืนยันว่าไม่มีข้อมูลของลูกค้ารายใดได้รับผลกระทบ”

“มนุษย์โคลนนิ่งรายแรกที่ลักลอบสร้างขึ้นตั้งแต่อดีตสหภาพโซเวียตเสียชีวิตลงอย่างสงบเมื่อ 18.28 ตามเวลามาตรฐานกรีนิช ข้อถกเถียงด้านจริยธรรมยังไม่ยุติ เช่นเดียวกับกรณีปัญญาประดิษฐ์”

“โครงการเก่าแก่ที่มีชื่อว่าเซติแถลงข่าวการค้นพบสัญญาณมีรูปแบบบริเวณดาวเคปเลอร์-452บี ซึ่งมีชื่อเล่นว่าซูเปอร์เอิร์ธ ซึ่งภายในศตวรรษหน้าหากการเดินทางด้วยการวาร์ปประสบความสำเร็จ มันอาจจะกลายเป็นโลก 2.0”

ผมถอนใจเหนื่อยหน่าย พลิกอ่านอีกสองสามหน้า

“ขบวนการประชาชนที่เรียกว่าฮิปปี้ส์ยื่นเรื่องต่อศาลให้มีการลงประชามติแยกรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นประเทศ”

“นานาชาติยังคงแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศไทยภายหลังถอนตัวออกจากประชาคมอาเซียนและสหประชาชาติ”

“ประเทศแถบสแกนดิเนเวียประสบความสำเร็จในการทำการเกษตรแบบผสมผสาน ภายหลังธารน้ำแข็งละลายไปจำนวนมาก”

ผมปิดแฟ้ม ช่างแม่งและช่างแม่ง ตอนนี้ผมไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก ผมวางเท้าข้างที่ไขว่ห้างลงกับพื้น มองอย่างเอาเรื่องกับเด็กหนุ่มที่สักรูปหยดน้ำตาบนแก้มที่นั่งฝั่งตรงข้าม เมื่อมันหันไปทางอื่น ผมจึงค่อยๆ ลุก เดินหนักๆ ไปยืนใกล้ประตู พยายามเพ่งสายตาผ่านกระจกที่เป็นภาพโฆษณาเคลื่อนไหวและเต็มไปด้วยหมึกเขียนถ้อยคำหยาบคายหรือชื่อแก๊ง ข้างล่าง คนงานกำลังต่อเติมเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้น

ทางเดินเลียบแม่น้ำซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าเส้นทางสวยที่สุดในกรุงเทพฯ จมหายเหลือแค่เงารางๆ สะพานเหล็กเก่าถูกปิดเนื่องจากฐานรากกำลังจะพังเพราะน้ำเค็ม อาคารโบราณถูกทิ้งร้างกลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรม เสียงผ่านลำโพงดังขึ้นอีกครั้งก่อนประตูจะเปิด

ผมออกจากขบวนรถเป็นคนแรก แต่เดินลงบันไดเป็นคนสุดท้าย มีเสียงโวยวายแว่วมาจากด้านล่าง คงเป็นการจับกุมคนจรจัดหรือหาบเร่ มีบางคนวิ่งขึ้นมาทางผม

ผมมองมัน ไอ้คนสกปรกยากจนตัวเหม็น เบี่ยงหลบอย่างไม่ใส่ใจ แต่มันกลับชนผมเต็มแรงจนกระเป๋าตก ผมหันไปจ้องมันเขม็ง มันยิ้มเยาะอวดฟันเหลืองเหยเกพร้อมกับชูสองนิ้วกลาง ผมแตะด้ามปืนซิกเซาเออร์พี 226 ที่เอว ก่อนจะสูดลมหายใจลึก บอกตัวเองว่าใจเย็นๆ ใจเย็นๆ วันนี้หัวหน้าเรียกให้เข้ามาพบข้าราชการชั้นสูงในกระทรวง บางทีอาจจะมีข่าวดี

ผมปล่อยมือ

 

แม้จะไม่มาก แต่ก็ยังแปลก ที่ชายไทยท่าทางภูมิฐาน ผมสั้นเกรียน และสวมชุดซาฟารีสีดำพร้อมกับหิ้วกระเป๋าเอกสารเจมส์บอนด์จะมานั่งแออัดบนรถไฟชั้นสาม ที่เก้าอี้ยังเป็นไม้แข็ง ไม่มีเครื่องปรับอากาศ พัดลมเพดานติดเป็นบางตัวและส่ายเป็นบางตัว

แต่ตู้โดยสารชั้นหนึ่งกันไว้เฉพาะข้าราชการระดับสูงกับบุคคลที่ได้ชื่อว่ามีส่วนสำคัญสำหรับประเทศ และไม่มีชั้นสอง

อีกทั้งรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงจากซากฟอสซิลกลายเป็นแค่ของสะสม ปั๊มน้ำมันกับปั๊มแก๊สถูกยึดเป็นของรัฐเพราะวิกฤตพลังงานและถูกปิดลงจนเหลือไม่กี่แห่งตามสถานีรถไฟสำคัญๆ ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งได้ไม่เกินจังหวัดอยุธยา และผมไม่เสี่ยงกับรถยนต์พลังงานนิวเคลียร์ จึงต้องมานั่งเหงื่อท่วมริมหน้าต่างที่ลดบานได้ครึ่งเดียว

ฝั่งตรงข้ามเป็นครอบครัวประชาชนธรรมดา ที่ต้องยื่นเรื่องเดินทางข้ามจังหวัดและคงถูกเรียกตรวจตลอดทาง คนแม่ไม่กล้ามองหน้าผม ส่วนลูกสาวอีกสองคนทีแรกก็สนใจเสื้อผ้า กระเป๋า กับรองเท้าของผม แต่ผมเฉยๆ

ไม่นานนักพวกเธอก็หันไปสนใจนิตยสารบันเทิงที่ทางราชการทำแจกฟรี ประกวดนักร้อง ดาราคนใหม่ แต่งงาน หย่า อยู่แบบสามคน สี่คน หรือห้า ผัวเมีย ละครย้อนยุคที่ลงทุนสร้างมหาศาล และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของผลงานรัฐบาล

ผมเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผาก

“วันนี้ร้อนเป็นบ้าเลยนะครับ” อ้อ ชายหนุ่มที่นั่งข้างผมพยายามชวนคุย

ผมมองเขานิ่ง เสื้อผ้าเก่าแต่เรียบร้อยและสะอาด แก้มตอบ หนวดเคราเริ่มขึ้นเป็นตอ ใต้ตามีรอยคล้ำจางจากการอดนอน ผมเงียบ นึกถึงเมื่อเดือนก่อนที่ทีมวิจัยของรัฐออกมายืนยันว่าทะเลทรายทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ชายหนุ่มยิ้มเฝื่อน

ผมหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง แดดจัดเหมือนมีดวงอาทิตย์สองดวง หมู่บ้านร้าง โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ร่วมทุนกับจีนที่เกิดเหตุขัดข้องจนรังสีรั่วไหล

“นั่นใช่ไหมครับ โรงไฟฟ้าที่เป็นข่าว” ชายหนุ่มข้างๆ ยังพยายามชวนคุย

และผมเริ่มรำคาญ

 

ผมเลิกคิ้วมองหัวหน้าเป็นทำนองว่าทำไมไม่เข้าไปด้วยกัน เขาหงึกหน้า ผมจึงเงยมองกล้องวงจรปิด ก่อนจะเคาะประตูสองครั้ง

“เข้ามา” เสียงเข้มขลังดังฝ่ากำแพงออกมาจากข้างใน

ผมบิดลูกบิดประตูทองเหลืองหล่อลายบนบานไม้สัก โต๊ะทำงานขนาดใหญ่วางเด่นอยู่กลางห้อง ผมยืนตรงทำความเคารพชายร่างอ้วนที่นั่งบนเก้าอี้หนังหลังโต๊ะ ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงที่มักยืนข้างผู้ช่วยของผู้ช่วยของผู้ช่วยรัฐมนตรีตอนออกทีวี

“ตามสบาย” เขาพูด

ที่นั่งข้างๆ คือเลขาฯ สาวในชุดกระโปรงสั้นฟิต รองเท้าส้นเข็มสีดำมันวาว หน้าอกขนาดใหญ่ดันตะเข็บกระดุมเสื้อสีกากีจนโป่งเป็นช่อง แว่นตาประดับบนสันจมูก ผมมวยเรียบร้อยประดับริบบิ้น

มีชายในเครื่องแบบอีกสองคนนั่งตรงชุดรับแขกด้านขวาใต้รูปถ่ายของข้าราชการระดับสูงจับมือกับรัฐมนตรี ผมไม่ได้สนใจพวกเขานัก มองขาขาวของเลขาฯ สลับไขว่ห้างไปมาเหมือนเล่นเกม

ข้าราชการระดับสูงรับแผ่นกระดาษและอ่านชื่อกับนามสกุลรวมทั้งยศของผม ผมขานรับ มองเขาพลิกหน้ากระดาษโดยไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะหันหาชายสองคนบนโซฟา หนึ่งในสองคนผละหลังจากพนัก ประสานมือ จ้องหน้าผม

“สองวันก่อน” และพูด ผมฟัง

“เมื่อสองวันก่อนสายของหน่วยงานความมั่นคงได้รับการติดต่อจากหนึ่งในแกนนำของฝ่ายกบฏว่าจะมีการขอเข้ามอบตัว”

ผมขมวดคิ้ว

“ที่ผมต้องเรียกคุณมา เพราะหมอนั่นมันระบุจะเข้ามอบตัวกับคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น”

ผมอ้าปาก กับผม และคิด ทำไมต้องเป็นผม ผมเป็นแค่ข้าราชการต๊อกต๋อยที่ไม่เคยพยายามทำตัวโดดเด่น เลี่ยงงานได้เป็นเลี่ยง หลบได้เป็นหลบ โยนได้เป็นโยน วันไหนหากไม่เข้าออฟฟิศก็ออกไปใช้สิทธิพิเศษของข้าราชการที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เบ่งกินฟรี เก็บยอดโหลดหนังเถื่อนที่ไม่ผ่านกองเซ็นเซอร์ ส่วนลด 50 เปอร์เซ็นต์สำหรับใช้บริการซ่องชั้นสูง

“หากคุณทำสำเร็จ” ข้าราชการระดับสูงพูด “ผมอาจเสนอชื่อเลื่อนตำแหน่งให้คุณ อาจปูนบำเหน็จให้ตามสมควร แต่จริงๆ แล้วผมไม่อยากให้คุณคิดถึงเรื่องพวกนั้น อยากให้คุณทำเพื่อประเทศชาติ เข้าใจไหม”

ผมนิ่ง

“เข้าใจไหม” ข้าราชการระดับสูงย้ำ

“ครับผม”

“คุณต้องเริ่มงานพรุ่งนี้เลย และหากคุณไม่ใช้รถยนต์พลังงานนิวเคลียร์ คุณอาจต้องโดยสารรถไฟชั้นสาม ทางกระทรวงคาดว่าอาจไม่สามารถสำรองที่นั่งบนรถไฟชั้นหนึ่งได้ทัน ใช่ไหมคุณ” เขาหันไปถามเลขาฯ

“ใช่ค่ะท่าน” หล่อนตอบ

และมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ขณะนั่งแยกขาอย่างจงใจ

 

ผมมองทหารรถไฟตรวจเอกสารของครอบครัวฝั่งตรงข้าม อ่านค่าบาร์โค้ดที่สแกนจากต้นคอ และถามด้วยคำถามเดิมเป็นครั้งที่หกหรือสิบ ช่างเถอะ ผมไม่ได้สนใจ

“พี่ว่าไหม ที่เราต้องยุ่งยากและวุ่นวายอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะไอ้พวกห่านั่น” ชายหนุ่มข้างๆ ยังคงพยายามชวนคุยอีก

และไอ้พวกห่าของเขาก็หมายถึงกลุ่มกบฏทางภาคเหนือที่แผ่อิทธิพลได้หลายจังหวัด แม้รัฐบาลจะเข้มงวดจับกุมรวมทั้งใช้มาตรการทางทหาร ผมยังคงเงียบ มองภาพข้างทางมีหุ่นยนต์รูปควายทำงานในนาตามนโยบายปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีให้เข้ากับเอกลักษณ์ของชาติเมื่อหลายปีก่อน

ปัจจุบันที่ราบลุ่มภาคกลางส่วนใหญ่ใช้คนกับควายจริง เทคโนโลยีแบบนี้มีเฉพาะเขตพื้นที่สุ่มเสี่ยง แสดงว่ารถไฟใกล้ถึงสถานีสุดท้าย ผมเปิดคอนแท็กเลนส์ดิจิตอลผ่านทางนาฬิกาข้อมือแบบวินเทจ ทบทวนหมายกำหนดการณ์กับบุคคลที่ต้องไปพบ และอ่านประวัติไม่มีรูปถ่ายของกบฏที่จะเข้ามอบตัว

เพิ่งรู้แค่เขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเว็บไซต์นิรนามประจำประเทศไทย ก็ต้องปิดเครื่องเมื่อได้ยินเสียงระเบิดตูมใหญ่ดังห่างสักสองถึงสามร้อยเมตร

ขบวนรถที่แล่นได้ไม่เร็วนักหยุดกะทันหัน เสียงล้อเหล็กเสียดรางดังแสบแก้วหู เสียงลมฟู่ดังมาจากใต้ท้อง และตามด้วยเสียงระเบิดอีกตูมใหญ่ คราวนี้ใกล้มาก จนตู้โดยสารกระเทือน ได้ยินเสียงเศษเหล็กเศษไม้กระจาย

ผมลุกยืนและชะโงกหน้าผ่านหน้าต่าง หัวรถจักรละเอียด ตู้โดยสารชั้นหนึ่งมีรูขนาดใหญ่พร้อมควันโขมง เริ่มมีการยิงปะทะ แม่งซวย ผมคิด พร้อมกับคว้ากระเป๋าตรงไปยังประตู ควายหุ่นยนต์ยังคงทำนาในทุ่ง แต่ถนนลูกรังที่ตัดออกมาจากเทือกเขามีรถยนต์สามคันแล่นมาด้วยความเร็วสูง ไม่มีธงสัญลักษณ์ของทางการ ผมจึงพลิกตัวมาทางบันไดอีกฝั่งก็เจอชายในชุดชาวบ้านโพกผ้าขาวม้าบนหัวถือปืนยืนเหยียบก้อนกรวดข้างล่าง

กำลังจะหวนกลับเข้าตัวรถ ก็พอดี…

 

เจ็บหนึบตรงหลังหัว ผมฝืนลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นตัวเองถูกมัดมือไพล่หลังบนเก้าอี้ในกระท่อมที่พื้นยังเป็นดิน ราวห้าฟุตตรงหน้าเป็นแผ่นจอโปร่งแสงกำลังฉายภาพหัวหน้ากบฏพูดพล่ามเพ้อเจ้อ เสรีภาพ ยุติธรรม เท่าเทียม สิทธิมนุษยชน เป็นเหี้ยอะไรของมัน ผมคิด

ไม่ไกลกันมีชายคนหนึ่งถือปืนยืนเฝ้าประตู เป็นคนเดียวกับที่ยืนบนพื้นข้างขบวนรถไฟ

“มันฟื้นแล้วครับ”

เขาพูดใส่ไมโครโฟนที่ห้อยไว้ตรงไหนสักแห่งหรืออาจฝังไว้ในฟันกรามอย่างสมัยหนึ่งเคยนิยม ประตูไม้ไผ่ถูกยกขึ้นนิดหนึ่งและเปิดออก คนที่เข้ามาทำให้ผมกัดฟัน เสื้อผ้าเก่าเรียบร้อยและสะอาด หนวดเคราเริ่มขึ้นเป็นตอ ไอ้หอกที่นั่งข้างผมบนรถไฟ

“หวัดดีพี่” เขาพูด

ผมบดริมฝีปากมองเขาเดินเข้ามาใกล้และหยุดตรงข้างจอ

ชายที่ถือปืนเดินเข้ามาอีกด้าน ยกปืนขึ้นจ่อหัวผม ห่างราวๆ สองฟุตได้มั้ง

“พี่คงคิดว่าไม่มีใครรู้เรื่องของพี่”

ผมขมวดคิ้ว

“แต่ผมรู้”

เขาสัมผัสจอ ภาพหัวหน้ากบฏถูกแทนที่ด้วยภาพนิ่งและวิดีโอไม่ปะติดปะต่อ ทั้งภาพสีและขาวดำ ทั้งมีเสียงและไม่มีเสียง บางภาพถูกแปลงเป็นสามมิติในมุมมอง 360 องศา อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เดินขบวน รถถัง ไฟไหม้ เอ็ม 16 ต้นมะขาม แขวนคอ ลากศพ เก้าอี้ ตึกสูง ซุ่มยิง ทุ่งสังหาร นารวม สงครามเวียดนาม กระสุนนำวิถีแหวกความมืด มอเตอร์ไซค์ โทรศัพท์มือถือแบบมีเสา ฯลฯ

ภาพทุกภาพมีผมอยู่ในนั้น หน้าไม่เคยเปลี่ยน ความสูงไม่เคยเปลี่ยน ภาพหยุด เป็นรูปผมหนึ่งในผู้ล้อมวงใต้ต้นมะขาม

“พี่เป็นใคร หรือพี่เป็นอะไร” ชายหนุ่มถาม

ผมมองคนถือปืนที่กำลังหดหู่กับสิ่งที่เห็นในจอ ปลายกระบอกปืนเหไปทางอื่นและชี้ลงพื้น ผมจึงลุกพรวด ล็อกคอชายหนุ่มด้วยแขนข้างซ้าย ส่วนข้างขวาหยิบปืนที่เอวของเขา ปลดเซฟด้วยนิ้วโป้ง เหนี่ยวไกด้วยนิ้วชี้ หัวกระสุนพุ่งเจาะกะโหลก มันสมองกระจาย

จ่อปืนไปที่ประตู ไม่มีใคร และไม่มีใคร

 

“เอาล่ะ ถึงวาระแล้ว” ผมพูด จ่อปืนห่างหนึ่งคืบที่หลังหัวชายหนุ่มซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นในป่า ตัวเขาสั่นเหมือนนกหนาวน้ำ เขาพยายามข่มความกลัวและถอนหายใจแรงจนผมได้ยิน

“พี่รู้ไหม” เขาเริ่มพูด “หากไม่มีสงครามนี่ ผมจะทำอะไร”

ผมเงียบ

“อาจฟังดูเลอะเทอะนะ หากผมจะบอกว่าผมก็คงทำเหมือนกับตอนนี้ ไม่ใช่สู้รบ แต่เพื่อแสวงหาความหมายให้กับชีวิต”

ผมขมวดคิ้ว เบ้ปาก

“ผมมาคิดๆ ดู” เขาพูดต่อ “เมื่อวันหนึ่งวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีก้าวหน้ากระทั่งทำให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตาย คำถามสำคัญก็ยังคงเป็นคำถามเดียวกับตอนนี้ ตอนที่เรายังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายได้อยู่ นั่นคือชีวิตคืออะไร เราอยู่เพื่ออะไร และอะไรคือความหมายของชีวิต ผมคงเสียใจบ้างที่ต้องตายในวันนี้ แต่ในความเสียใจผมก็พบเรื่องน่ายินดีว่า ผมน่าจะได้เจอบางคำตอบต่อคำถามของ…”

ผมเหนี่ยวไก

 

แชะ ผมเห็นร่างชายหนุ่มกระตุกเหมือนถูกดึงและ… แชะ แชะ แชะ

แม่งโชคดีเป็นบ้าเลย กระสุนไม่ป้อนเข้ารังเพลิง ปืนหยุดซามูไรส้นตีน ผมยิ้มมุมปากและตีหัวชายหนุ่มด้วยด้าม แรงพอจะทำให้เขาสลบ แต่ไม่ถึงตาย

ผมจะยอมปล่อยให้เขาหาคำตอบต่อคำถามห่าเหวอะไรนั่น เพราะถึงอย่างไร วันใดวันหนึ่งเขาก็ต้องตาย

ส่วนผม ครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาอาจจะเอามาคิดบ้างก็ได้ แต่ตอนนี้ยัง ผมไม่รีบ ผมมีเวลาอีกเหลือเฟือ ไม่เหมือนกับคุณ

ใช่ไหม?