เรื่องสั้น : ป้ายประกาศของคนเฝ้าคฤหาสน์กูเด็น

เขานั่งอยู่ตรงนั้น ชิดผนังด้านข้างของบันไดสู่ชั้นสองที่เป็นจุดต้อนรับ ผมขาวทั่วหัวเงาวิววับ ยิ้มกว้างเสมอ

นั่นล่ะ คนเฝ้าคฤหาสน์กูเด็น ผู้ชอบเลียกระดูกข้อนิ้วภรรยา

หญิงสาวมาที่นี่อีกครั้ง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดสตูล เพื่อพูดคุยกับเขา ชายชราคนเฝ้ามิวเซียมผู้ต่อต้านการทำงานเธอ ท่าเรือน้ำลึกคือความจำเป็น สร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ ไม่รู้จะอธิบายยังไงเพื่อให้คนในพื้นที่เข้าใจ มันมีได้มีเสีย เธอเลือกจะพูดถึงแต่ส่วนได้ นั่นงานของเธอ จะพูดแบบไหนให้พวกเขาเข้าใจ โดยเฉพาะคนแก่หัวรั้น

เขานั่งอยู่ตรงนั่ง ชิดผนังด้านข้างของบันไดสู่ชั้นสองที่เป็นจุดต้อนรับ ผมขาวทั่วหัวเงาวิบวับ คนเฝ้าคฤหาสน์กูเด็นยิ้มทักทาย ผงกหัวเชิงต้อนรับ ไม่มีใครในนั้นนอกจากพวกเขาสองคน

“สตูลเป็นเมืองเก่าแก่” เขาเปิดการสนทนาด้วยประโยคนี้ “ทุกเมืองชายทะเลบนโลกล้วนเก่าแก่”

ออกจะเป็นเสียงแหบพร่าสากคาย เขาเอามือปิดผ้าที่คอไว้ เค้นเสียงอย่างระมัดระวัง ช้าเชือนเหมือนการมาถึงของนกอพยพหนีหนาวจากซีกโลกเหนือ หญิงสาวเพ่งมองมันด้วยความสงสัย

“หนูเห็นมีถ้ำประวัติศาสตร์แถวบูเก็ตตรี” กวาดตามองทะลุไปอีกห้อง น่าจะเป็นส่วนจัดแสดง มีถ้วยชามไหดินโบราณ

เขาถามว่าเธอเป็นใครมาจากไหน “รู้หรือเปล่า ภูเขาบูเก็ตตรีที่พูดถึงนั้นหมายถึงอะไร”

“ลุงควรเลิกติดป้ายกระดาษในเมือง ท่าเรือปากบาราคืออนาคต”

“อนาคตของใคร”

“ทุกคนในจังหวัด ประเทศด้วย”

“ถามข้ารึยัง ถามพวกคนในจังหวัดรึยัง”

คนเฝ้าพิพิธภัณฑ์ชวนแขกผู้มาเยือนเดินออกมาด้านข้าง ตัวอาคารรูปสี่เหลี่ยมทรวดทรงยุคอาณานิคม หลังคาปั้นหยา หน้าต่างเกล็ดไม้ ตัดขอบวงกบสีเขียวเข้ม ป้ายด้านหน้าอธิบายให้เข้าใจเบื้องต้นว่าอีกชื่อคือ คฤหาสน์กูเด็น

เขาแกะผ้าที่ผูกปิดลำคอออก ลำคอถูกเจาะเป็นรู คนเฝ้าคฤหาสน์คาบบุหรี่ไว้ มือหนึ่งกำลังจะจุดไฟแช็ก นิ้วของอีกมืออุดรูโลหะที่คอ แล้วอัดบุหรี่นิ่งนาน ค่อยๆ ปล่อยมันออก สีหน้าแช่มชื่นขึ้นมาทันที

หญิงสาวถามว่าเลิกสูบจะไม่ง่ายกว่าหรือ “แบบนี้ยิ่งตายเร็วนะ”

เขาส่ายหน้า ยิ้ม เอานิ้วอุดรูที่คอ แล้วแสงปลายบุหรี่ก็แดงวาบอีกครั้ง “จะอยู่นานเพื่ออะไร”

“คนที่บ้านไง”

“แต่นี่ชีวิตข้า”

“จะได้อยู่เฝ้าคฤหาสน์ไปนานๆ”

เธอรู้สึกรำคาญขณะชายชราสูบบุหรี่ ยุ่งยากและหดหู่ ลำพังการพูดออกมาก็ทุลักทุเลมากเกินพอแล้ว คล้ายพิธีกรรมอะไรสักอย่างชวนอึดอัด ในท่ามกลางวงล้อมความเงียบ บีบรัดเค้นอยู่ภายในเพื่อรอเวลาแตกกระจาย ชายแก่ที่เดินเอากระดาษต่อต้านไปแปะตามถนน ตึก เสาไฟ หน้าโรงเรียน ห้องน้ำโรงพยาบาล บนเก้าอี้ในร้านน้ำชา ร้านติ่มซำ ทุกหนทุกแห่ง ทุกที่จะมีประโยคนั้น

นี่บ้านของตวนกู

“ลุงเป็นภัณฑารักษ์หรือเป็นยาม” เธอถากถาง “รู้อะไรบ้างเกี่ยวกับประวัติศาสตร์”

เขาหัวเราะและสำลักควันบุหรี่ รูที่คอมีควันพุ่งออกมา

“บ้านของตวนกู” ป้ายกระดาษขนาดเอสี่ยังปลิวแปะทั่วเมือง

ปากบาราอาจไม่ได้สวยบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก อย่างน้อยมีหาดทราย ใครหลายคนถูกทำให้เชื่อว่าท่าเรือน้ำลึกเป็นคำตอบของการพัฒนา แต่ไม่ ป้ายกระดาษยังมีอยู่ต่อไป มีคนพูดว่า คนแก่เฝ้าพิพิธภัณฑ์ได้เงินจากพวกเสียผลประโยชน์ รับเงินมาก่อกวน ชวนเชื่อ ชักจูงชาวบ้านให้ร่วมคัดค้าน แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าที่เสียประโยชน์คือคนกลุ่มใด นานวันพูดต่อกันอีกว่า ที่เขาคัดค้านเพราะเขาเอากระดูกภรรยาผู้เป็นที่รักไปฝังบริเวณนั้น คนรู้ทั่วว่าเขารักเธอแค่ไหน ทั้งน่าสงสารและสยดสยอง

กลางร้านติ่มซำยามเช้า โต๊ะที่ล้อมรอบด้วยเพื่อนรุ่นราวคราวเดียว คนเฝ้าคฤหาสน์กันเก้าอี้ข้างตัวไว้ เบื้องหน้ามีถ้วยน้ำชาสองใบ จานและตะเกียบสองชุด เก้าอี้ด้านข้างว่างเปล่าเพื่อใครสักคน เขาแกะห่อผ้า เอาเธอขึ้นมาวาง คีบนั่นนี่ใส่จาน รินน้ำชากรุ่นควันลงถ้วย พูดกับกระดูกท่อนนั้น เนื้อเสียงบางเบาแบบคนวัยเจ็ดสิบสอง กินนะ กินนะ เพื่อนร่วมวงไม่มีใครว่าอะไร อาจประหลาดและกริ่งเกรงในตอนแรก แต่วัยนี้แล้วยังเหลือสิ่งใดให้กลัว พวกเขาทำเป็นเหมือนว่ามีภรรยาคนเฝ้าคฤหาสน์นั่งอยู่อีกคน สนทนากันเรื่องนั่นนี่ แกล้งลืมๆ ไปว่าเธอตายแล้ว

ป้ายเอสี่ยังกระจายทั่วเขตเทศบาล หน้ามัสยิดกลางเมือง โรงเรียนอนุบาลรวมถึงรถรับ-ส่งนักเรียน เสาไฟแนวริมเขื่อนลำคลอง ในชุมชนต่างๆ จะเป็นตอนกลางคืนที่ป้ายถูกปิด แต่ลำพังคนเดียวไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงลงความเห็นว่าแกมีทีมงาน หรือแกคือหนึ่งในทีมงาน ความเห็นแตกแยกเป็นสองพวก เอากับไม่เอาท่าเรือน้ำลึก พวกเขามองเห็นภาพคร่าวๆ คนลงพื้นที่ยกตัวอย่างท่าเรือแหลมฉบัง สร้างงาน ขยายเศรษฐกิจ วาดภาพขนาดใหญ่ถึงแผนการดำเนินงานให้เด่นชัด

วันหนึ่งเกิดมีลมหมุนหอบเอาเต็นท์ปลิวกระจุย เสาเหล็กฟาดกับชาวบ้านคนหนึ่ง การให้ข้อมูลข่าวสารของเจ้าหน้าที่โครงการจึงยุติ พูดกันต่อมาว่า นั่นเพราะอาถรรพ์บรรพบุรุษ

คนเริ่มเรื่องไม่ใช่ใคร เป็นชายชราเฝ้าพิพิธภัณฑ์

ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันดวงตาเขามัว พร่าเลือน ภาพเบื้องหน้าจะเบี้ยวๆ คล้ายการมองผ่านกลุ่มควันหรือหมอก จะบอกใครดีว่าที่ชายคนนั้นโดนเสาเหล็กเต็นท์ฟาดรุนแรงเพราะไปสนับสนุนให้สร้างท่าเรือ ญาณพิเศษเฉพาะเขาเพียงคนเดียว รู้เหตุร้ายล่วงหน้า เป็นผลพวงการเลียกระดูกภรรยา เขาจึงต่อเรื่องร้ายคราวนั้นให้ดูหวั่นเกรง ตวนกูจะมาหักคอพวกมึง

เจ้าของคฤหาสน์กลางเมือง ผู้ปกครองสตูลเก่าก่อน รูปร่างท้วม ใบหน้าอวบอูม ไว้หนวดดกหนา เจ้าเมืองผู้สร้างอาคารเพื่อรองรับรัชกาลที่ห้าตอนเสด็จลงไป แต่ไม่มีโอกาสได้รับใช้ จึงเป็นเพียงที่พักอาศัยและที่ว่าการเมือง ทุกคนว่าที่นั่นล้วนน่ากลัว มีเรื่องเล่าต่อกันมา ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นใช้เป็นศูนย์บัญชาการ วันดีคืนดีมีคนมาบีบคอ เรื่องเล่าแบบขู่ขวัญ เมื่อคนเฝ้าคฤหาสน์บอกว่าเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับพวกที่สนับสนุนท่าเรือนั้นมาจากผีบรรพบุรุษ

แค่เอ่ยตวนกูจะมาหักคอพวกมึง หลายคนก็หวาดกลัว

บูเก็ตตรีที่หมู่บ้านเกตรีตามตำนานเล่าขานว่าเจ้าหญิงจากไทรบุรีเดินทางมาค้าขาย มีสินค้าเป็นเคยหรือกะปิ แต่พระบิดาเห็นว่าต่ำเกียรติจึงห้าม เจ้าหญิงไม่เชื่อฟังจึงโดนสาปให้เป็นหิน

“กะปิหรือเคยนั้นหลุดจากมือขณะโดนสาป กระจายเป็นภูเขาหย่อมย่อยๆ ส่วนภูเขาบูเก็ตตรีนั่นละร่างนาง ครั้งหน้าผ่านไปลองมองดูสิ จะเห็นเป็นคล้ายรูปผู้หญิงกำลังนอน”

“กระทั่งชีวิตพระนางตัวเองยังไม่มีสิทธิเลือก” เธอเย้าหยอกชายชรา

ไม่ได้นับว่าเขาสูบบุหรี่ไปกี่มวน เธอมัวแต่ทิ้งสายตาค้างที่หน้าต่างบานนั้น ข้างบนชั้นสองตรงหน้าต่างที่แง้มอยู่บานเดียว ประหนึ่งใครสักคนเฝ้าฟังการสนทนา จะมีใคร เธอตาฝาด หลอกหลอนจากปรัมปราของคนเฝ้าคฤหาสน์ นอกจากเขาแล้วไม่มีเจ้าหน้าที่คนอื่นอีก มีนักท่องเที่ยวเดินผ่านเข้าไปตลอดสองชั่วโมงเพียงสองคน หนุ่มสาวคู่รัก และจากไป

เธอยังไม่เคยขึ้นด้านบนอาคารสักครั้ง มันเป็นส่วนแสดงของพิพิธภัณฑ์เช่นกัน

เขารู้ว่าภรรยายังอยู่ เอากระดูกนิ้วเธอห่อใส่ผ้าพกไปด้วยทุกที่ สั่งข้าวสองจาน น้ำสองแก้ว วางห่อผ้าเล็กๆ บนเก้าอี้ตัวที่ว่างข้างกาย ได้ยินเสียงลมหายใจเธอ กลิ่นสาบสางเส้นผมยังชัดเช่นเดียวกับกลิ่นเสื้อผ้า มืดค่ำเขาแกะมันออก เลียกระดูกข้อนิ้วนั้น เขาเองไม่รู้ว่าเป็นนิ้วไหนเพราะสัปเหร่อไม่ได้บอก มันคล้ายได้เลียเนื้อกายเธอตอนยังมีชีวิต ก่อนจะหลับใหลไปกับกลิ่นสางเน่าห่อผ้านั้น

“กลับไปบอกพวกเขา ที่นี่ไม่ต้องการท่าเรือ” ตะวันสาดจับเสี้ยวหน้า ยับย่นและอ่อนโรย ถ้าเป็นต้นไม้ เปลือกนี้หมายถึงการผ่านเวลามาเนิ่นนานผิวเปล่งเจียนแตกหลุดล่อน “ของปลอมทั้งนั้น การพัฒนาที่ว่า นี่บ้านของตวนกู เราอยู่กันแบบนี้ดีแล้ว”

หญิงสาวอึดอัดและร้อน อากาศเดือนนี้อบอ้าว ถ้าเธอกลับไปคราวนี้ ครั้งต่อไปคนที่กลับมาหาเขาอาจเป็นคนกลุ่มใหม่ ป้วนเปี้ยนแถวหน้าคฤหาสน์แล้วอุ้มเขาหายตัวไป จบปิ้ง

“แล้วสิ่งใดบ้างที่ลุงว่าไม่ปลอม” ดวงตาเธอเพ่งมองรูโลหะกลมๆ ที่คอหอยนั้น น่าขยะแขยง สังเวช และขันขื่น

ปลอมทั้งนั้น เขาพึมพำ “สะพานรักสารสินถูกแปลงโฉมใหม่ แบบนั้นข้าเรียกปลอม ช้างทาสีขาวดำ นั่นแพนด้าปลอม ที่จูบกันริมหาดทรายแถวๆ บนเกาะนั่นก็ปลอม การท่องเที่ยวเขาจ้างให้มาจูบ”

“นั่นอาจเป็นจูบจริงของคนที่รักกันจริงๆ ลุงรู้จักความรักดีแค่ไหน มันละเอียดอ่อนประณีตแบบงานประดิษฐ์ เหมือนการปักฉลุลายลงบนเสื้อของหญิงชาวเขาก่อนเข้าพิธีแต่งงาน มันละเอียดแบบนั้น แบบสล่าทางเหนือสลักลงบนบานประตูโบสถ์”

เขาเปิดยิ้มกว้างทันที ย้อนถาม “เคยมีความรักไหมอีหนู คิดว่าเอ็งเคยถูกทิ้ง เอ็งรักเขามาก เมื่อเขาตายหรือหายจากไป เยียวยาตัวเองยังไง”

“เปิดดูอัลบั้มรูปเก่าๆ”

บุหรี่มอดใกล้ถึงก้นกรอง คนเฝ้าคฤหาสน์เอานิ้วซ้ายอุดรูที่คอ อัดบุหรี่เข้าเต็มปอดก่อนจะทิ้งลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ มาดเขาคล้ายนักเลงยุคสองพันห้าร้อยไม่ผิด สะบัดหัว เขาหยิบห่อผ้าออกจากกระเป๋าเสื้อ แบะมันออก ยกกระดูกท่อนเล็กให้เธอดู มันมีอภินิหาร เขาเชื่อแบบนั้น หากวันใดเกิดเหตุอะไรขึ้นไม่ว่ากับตัวเขาหรือที่เขาเกี่ยวข้อง ดวงตาเขาจะมัว พร่าเลือน ภาพเบื้องหน้าจะเบี้ยวๆ คล้ายการมองผ่านกลุ่มควันหรือหมอก แรกๆ ชายชราไม่แน่ใจ น้องชายเขาจากไปหลังมีม่านหมอกปกคลุมดวงตา เขาคิดว่าอาการนั้นเป็นอาการชรา แต่ไม่ ต่อมามันปรากฏขึ้นอีกครั้ง แล้วผู้ว่าราชการจังหวัดสหายของเขาก็รถคว่ำตาย

“ทุกอย่างล้วนปลอม แต่คนรักข้าคือของจริง”

บ้านของตวนกูมีอาณาบริเวณเท่าที่ยืนอยู่

หญิงสาวกลับมาอีกครั้ง เขายังนั่งที่เดิม จุดต้อนรับนักท่องเที่ยว เมื่อได้ยินที่หญิงสาวพูดเขาหัวเราะ เสียงลมลอดเล็ดรูที่ลำคอดังฟืดๆ

บ้านของตวนกูมีอาณาบริเวณเท่าที่ยืนอยู่ ชายชราทวนคำ “ละงู นาหว้า มำบัง แถบปากบารานั่นก็ด้วย บ้านตวนกูทั้งนั้น”

“สามสิ่งเท่านั้นคนเราที่ยอกย้อน” หญิงสาวเขม้นมองบนหน้ายับย่นคู่สนทนา “การเมือง ความรัก ศาสนา ตวนกูเป็นมุสลิมที่ดี และตอนนี้เขาไปอยู่กับอัลเลาะห์”

“ตวนกูจะมาบีบคอเอ็งอีหนู”

เสียงตะเพิดดังขึ้นต่อจากนั้น ไม่มีใครควรลบหลู่เจ้าของคฤหาสน์ เขากล่าวดังๆ ลุกขึ้นและผลักหญิงสาวให้ออกมาด้านนอก

ดวงตาเขาพร่ามัว เลือน คล้ายมีกลุ่มหมอกมาบังตา มันหมายถึงเหตุร้ายจะเกิดขึ้น

เมื่อหญิงสาวจากไป เขารีบปิดประตูวิ่งขึ้นชั้นสอง ตรงโถงกลางมีรูปปั้นครึ่งตัวของตวนกูกูเด็น ชายชราคุกเข่าลง เขาเอ่ยอ้อนวอนและขออภัยที่ปล่อยให้มีคนมาลบหลู่ ตวนกูยังอยู่ เช่นเดียวกับภรรยา อยู่ในทุกที่ บนถนน ลำคลอง หาดทราย เกาะแก่ง ท้องฟ้า ว่าวที่ลอยอยู่บนนั้น ต้นไม้ เปลือกหอย ถ้วยชาม พวกเขาไม่ได้จากไปไหน

แค่หายตัวไปชั่วคราว อาจโผล่มาบ้างยามเขาเผลอ

มีคนพูดกันว่า วันหนึ่งภรรยาเขาจะกลับมามีชีวิต ผู้คนนินทากันแบบนั้น เขาป่าวร้องถึงการกระทำ การเลียชิ้นกระดูกนิ้วในสายตาชาวบ้านเพื่อนพ้องจะเป็นอะไรได้นอกจากเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องเดียวที่ดูจะไม่เข้าท่าของคนเฝ้าคฤหาสน์ ทว่าป้ายกระดาษของเขากลับส่งพลังงานบางชนิดที่ไม่รู้ชื่อเรียก กระแทกผ่านคนที่หนึ่งด้วยแรงปะทะระดับที่อ่อน เมื่อผ่านถึงคนที่สองเริ่มรุนแรงขึ้นมาสักหน่อย สาม สี่ ห้า ร้อย เมื่อถึงคนที่พันแรงก็ทวีคูณ ดูเหมือนตวนกูจะมีชีวิตแล้วในตอนนี้ เมื่อมีการพูดถึงโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา ตวนกูจะถูกพูดถึงเป็นคู่ขนานกัน ยิ่งเมื่อรถของทีมงานโครงการพลิกคว่ำ ชายชรายิ่งแน่ใจเรื่องหมอกควันที่พร่าเบลอในดวงตา ไม่ได้บอกไปว่าเขาอธิษฐานต่อกระดูกผู้เป็นที่รัก

นั่นไง ตวนกูไม่ยอมให้ใครมาทำลายบ้านท่าน

นั่นไง แผ่นดินตวนกู มีหรือจะยอมให้ใครมาทำลาย

คืนนั้นก่อนนอนเขาเอากระดูกออกมาเช่นเคย ผ้าชุบน้ำหมาดถูทำความสะอาด พูดกับภรรยาถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและจะมาถึง ขอให้ช่วยเติมพลังและกำลังใจเขา

คนเฝ้าคฤหาสน์ปัดที่นอน เขาทิ้งหัวลงหมอนอย่างเหนื่อยอ่อน

เลียเนื้อตัวภรรยาจนหลับไป

“ลุงเลิกสูบเถอะ ดูมันน่ารำคาญ”

“จะอยู่นานไปเพื่ออะไร”

“เพื่อไล่แปะกระดาษห่าเหวนั่นไง”

“ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่เด็กๆ บ้างสิวะ บ้านของพวกเขา”

เป็นวันที่ฝนโปรย ภายในคฤหาสน์เย็นเยียบ มองผ่านประตูด้านนอกพบแต่ความขาวของม่านน้ำ หญิงสาวยื่นคำขาด “ลุงต้องเลิกบ้าได้แล้ว ชาวบ้านเขาตัดสินใจเองได้”

แล้วนั่นอะไร ที่เกณฑ์คนไปนั่งฟัง ชายชราไม่ได้พูด แต่รู้ว่าพวกนั้นถูกชักจูงจากใคร เขาควักบุหรี่ออกมาจะจุดสูบ ผู้มาเยือนร้องทัก จะสูบในอาคารนี้หรือไร ทว่าเขาไม่ฟัง มืออีกข้างอุดรูที่ลำคอ จุดไฟแล้วพ่นควันโขมง

“ดูสิ เห็นควันนี่ไหม อ้อยอิ่งทิ้งค้างกลางอากาศสวยงามชะมัด” เขาชี้ชวนให้เธอดูกลุ่มควันเบื้องหน้า ชายเฝ้าคฤหาสน์ชอบจินตนาการรูปร่างต่างๆ ยิ่งเวลาลมสงบ ควันบุหรี่จะลอยตัวอ้อยสร้อยดูวังเวงเปล่าเปลี่ยว”

“ลุงดูมันสิ เห็นควันนี่ไหม อ้อยอิ่งทิ้งค้างสวยงามชะมัด มะเร็งทั้งนั้น” เธอเอามือปัดม่านควันให้พ้นจมูก “ลุงมีสิทธิ์ที่จะต่อต้านท่าเรือ ส่วนหนูทำหน้าที่ของหนู ที่มาเพราะหวังดี ป้ายกระดาษของลุงมันน่ารำคาญ สกปรกทั่วเมือง”

เขาพึมพำแบบที่เธอฟังไม่ได้ใจความ ช่างมันสิ สกปรกก็บ้านของกู

ภรรยาเขาตายไปไม่นาน วันนั้นหลังจากการเผาศพ เขาเอาแต่ร้องไห้ นั่งเงียบๆ มุมศาลาวัด มองยอดเมรุซึ่งพิธีกรรมจบไปนานแล้ว บนบ่ามีแต่คำปลอบใจ ตบบ่า ปลุกปลอบ แล้วพวกเขาก็จากไป เขาขอกระดูกชิ้นเล็กๆ จากสัปเหร่อ เพื่อระลึกถึงการอยู่ร่วมกันนานห้าสิบปี

พกห่อผ้าไปทุกที่ และเลียมันก่อนนอน

ตอนที่ดวงตาเลือนๆ พร่าๆ เป็นช่วงเย็นของวันจันทร์ที่พิพิธภัณฑ์ปิดทำการ น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกเร็วๆ นี้ เขาไม่อยากคิดคาดเดาว่าเป็นเรื่องอะไร

ในตอนค่ำเขาเดินจากบ้านมาคฤหาสน์ ไขกุญแจเข้าไปเปิดไฟ เดินผ่านมุมที่เคยนั่ง เสียงเท้ากระทบบันไดไม้วังเวงกึกก้อง เมื่อถึงโถงชั้นสองที่มีรูปปั้นเจ้าของคฤหาสน์ชายชราก็ทิ้งตัวลงนั่ง เอนพิงหลังกับผนัง หลับตาคิดถึงภรรยา ความเย็นเยียบแล่นจับผิวกาย หนาวสะท้านในช่องอก ความอาวรณ์ถึงคู่ชีวิตอันไร้ขอบเขต ถ้าไม่มีเขาแล้วจะมีใครพาเธอไปไหนด้วยหรือเปล่า ใครจะเตรียมช้อนจานอาหาร ติ่มซำร้านประจำใครจะพาเธอไป หรือพาไปสูดอากาศบริสุทธิ์

ชายเฝ้าคฤหาสน์ล้วงห่อผ้าออกจากกางเกง คลี่มันออกแล้วเลีย