เรื่องสั้น : ห้องที่ไม่มีเก้าอี้ (1) ห้องนี้ไม่มีเก้าอี้ / ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง

 

 

ห้องที่ไม่มีเก้าอี้

(1) ห้องนี้ไม่มีเก้าอี้

 

เพื่อนร่วมงานผมติดเชื้อโควิด-19 ผมจึงต้องแยกกักตัว ในฐานะผู้สัมผัสความเสี่ยงสูง ต้องย้ายออกจากบ้านเช่าย่านสวนดอก บ้านที่เป็นเสมือนคลังเก็บเมล็ดกาแฟและบ่มเพาะวิชาการดริป ใช่ ผมเป็นบาริสต้า และคาเฟ่ที่ผมทำงานอยู่โดนสั่งปิดแบบไม่มีกำหนดการ สำนักข่าวท้องถิ่นขนานนามร้านผมว่าเป็นคลัสเตอร์คาเฟ่ใจกลางเมือง เพราะลูกค้าหลายรายก็ติดเชื้อขณะจิบกาแฟดริปฝีมือผม

แม้ผมจะตรวจด้วยตนเองแล้วขึ้นหนึ่งขีด นั่นเท่ากับว่าผมยังไม่ติด ราคาชุดตรวจเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำของผม จะกลับบ้านที่ภาคใต้ก็ไม่ได้ พ่อ-แม่แก่เฒ่าไม่อยากเอาเชื้อโรคไปฝาก นาทีนี้ผมทำได้แค่แยกกักตัวและย้ายที่อยู่ใหม่

เชียงใหม่ลมหนาวเริ่มมาเยือน มาพร้อมกับข่าวการเตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ส่วนผมก็ต้องเตรียมตัวเปิดห้องพัก

ผมเข้าพักในห้องหมายเลข 035 รีสอร์ตใจกลางเมืองย่านศิริมังคลาจารย์ ไม่ไกลจากบ้านเช่าหลังเก่า จะเรียกว่ารีสอร์ตก็ไม่เชิง เป็นเหมือนโรงแรมมากกว่า อาคารสามชั้นสีส้มแมนดาริน ชั้นสามราคาถูกสุด ผมเช่าสองสัปดาห์ เงินเดือนและเงินชดเชยที่นายจ้างจ่ายให้แทบไม่พอจ่ายค่าที่พัก โชคดีที่ผมไม่มีภาระด้านความรัก จึงพักอาศัยที่นี่ได้โดยสบายใจ

แต่ในห้องไม่มีเก้าอี้ แม้จะมีเตียงคู่ หมอนคู่สีชมพู ทีวีติดผนัง โต๊ะหัวเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น มีครบ แต่ไม่มีเก้าอี้ จะถามแม่บ้านก็คุยกันไม่เข้าใจ ภาษาไทยของเธอไม่ชัดเจน คงเป็นแรงงานชาวเมียนมาที่มาทำงานในประเทศไทย

หลังตู้เย็นมีม่านสีขุ่นพิมพ์ลายต้นสนขึงไว้ ผมปลดผ้าม่านออกแล้วก็เจอกับบานเกล็ด ชั้นบนสุดหลุดหายไปหนึ่งแผ่น จึงเห็นเมฆโปร่งและท้องฟ้าใสได้เต็มตา ผมชอบมองท้องฟ้าและชอบห้องที่มีแสงธรรมชาติมากกว่าจากหลอดไฟ จึงถอดผ้าม่านพับเก็บไว้ วันที่ย้ายออกค่อยแขวนกลับไปที่เดิม

ขณะรอรับอาหารจากไรเดอร์ ผมสังเกตเห็นพื้นกระเบื้องตรงหน้าเป็นลายวงปีต้นไม้ ผมชอบกระเบื้องลายนี้ ช่างเหมือนกับชีวิตของมนุษย์ เราจะรู้อายุขัยที่แท้จริงของเราเมื่อตอนเราตาย ต้นไม้จะเห็นวงปีก็ต่อเมื่อถูกตัดถูกโค่น แต่วงปีต้นไม้ก็น่าดูชมกว่าร่างกายมนุษย์ที่มาตายแล้วถูกเรียกว่าศพ ผมยังไม่อยากอยู่ในสภาพนั้น จึงมองเส้นรอบวงสีน้ำตาลโตนดล้อมรับกับเส้นสีน้ำตาลไม้มะฮอกกานี

หลังมื้ออาหารที่กินไม่อิ่มเท่าไหร่นัก เพราะห้องนี้ไม่มีเก้าอี้ ผมจึงยืนกินบนตู้เย็น อย่างน้อยผมก็สูงกว่าตู้เย็นที่นี่ และบนตู้เย็นก็มีถาดสีน้ำตาล น้ำดื่มสองขวดและหลอดกระดาษวางไว้ คล้ายกับบอกเป็นนัยว่าที่นี่ยืนกินอาหารบนฝาตู้เย็น คงเหมือนเมืองนอกที่ยืนกินอาหารกันตามสถานีรถไฟ ก่อนออกเดินทางไกล

ผมเปิดทีวี ช่องเคเบิลท้องถิ่นรายงานว่าเกิดคลัสเตอร์ใหญ่หลายแห่ง พิธีกรชายเสียงมีเสน่ห์คล้ายสายัณห์ สัญญา ผู้ล่วงลับ อ่านออกเสียงรายชื่อแหล่งที่ก่อให้เกิดโควิด-19 ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า เมื่อถึงชื่อร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่ พิธีกรเน้นเสียงหนักและพูดเสริมว่าที่นี่ติดโควิดกันครึ่งร้อย ก่อนจะทิ้งท้ายน้ำเสียงเสียดสีด้วยประโยคว่า

“นี่ร้านกาแฟหรือแล็บจากอู่ฮั่นครับเนี่ย เชื้อโรคเยอะขนาดนี้”

เสียงทีวีเงียบลงพร้อมกับเสียงปังของรีโมตที่กระแทกพื้นอย่างจัง ผมก้มลงหยิบและประกอบใหม่ โล่งใจ รีโมตยังไม่พัง ไม่งั้นคงต้องเสียค่าประกันของยิบย่อยอีก เงินยิ่งไม่มีอยู่

ผมเก็บขยะในห้องใส่ลงถุงดำ กล่องโฟม ช้อนส้อมพลาสติกเปรอะคราบซอสบะหมี่แห้งปู รวบใส่ถุงดำ เปิดประตูชะเง้อหา หน้าที่พักไม่มีถังขยะ เดินออกมาตรงบันไดทางขึ้นดาดฟ้า เจอประตูไม้สีขาวติดป้ายว่าห้องทิ้งขยะ จึงเดินขึ้นไป เปิดประตูที่มีกลิ่นอับซากพืชและสัตว์หมักหมมในนั้น โยนถุงดำเข้าไป ปิดประตู กลิ่นยังติดจมูก

แว่วเสียงเพลงคุ้นหูดังมาจากดาดฟ้า ผมจึงเดินตามเสียงนั้นไป…

 

(2) Time To Rise

บนดาดฟ้ามีเด็กราววัยประถมสามคนและมีพี่มัธยมหนึ่งคน ทั้งหมดเป็นผู้หญิง คงเป็นลูก-หลานของป้าคนที่ทำเอกสารให้ตอนผมเข้าเช็กอิน คนที่ผมเล่าว่าพูดภาษาไทยสื่อสารกันไม่เข้าใจนั่นแหละ เหล่าเด็กหญิงนั่งในเสื่อกระจูด บ้างนั่งเล่นมือถือ ตุ๊กตาของเล่น และนั่งมองท้องฟ้า

เมื่อเห็นผู้มาเยือนหน้าใหม่ พวกเขาหยิบหน้ากากอนามัยสีฟ้าอ่อนขึ้นมาสวมอย่างหลวมๆ

เด็กหญิงวัยมัธยมพูดทักผมด้วยภาษาไทยที่ชัดกว่าที่เคยฟัง

“ขึ้นมาสูบบุหรี่เหรอคะพี่ อย่าสูบใกล้ขอบดาดฟ้านะ เดี๋ยวป้าเห็นกลุ่มควันแล้วจะโดนดุ” พูดจบเสียงหัวเราะคิกคักไล่หลังตามมา

“พี่ไม่สูบบุหรี่ครับ แค่ขึ้นมาสูดอากาศ” ผมเผยยิ้มใต้หน้ากากอนามัย

“อ๋อค่ะ ท้องฟ้าสวยมากเลยค่ะวันนี้” เด็กหญิงวัยประถมชี้ให้ดูเมฆอืดเอื่อยในท้องฟ้าใสกระจ่าง

“เพลงอะไร? เหมือนพี่เคยฟัง” ผมถามถึงเสียงปริศนาที่พยายามหาคำจำกัดความ

“เพลงของแวนด้า ชื่อเพลง ไทม์ ทู ไรส์ ค่ะ เพลงแร็พ” เด็กหญิงวัยมัธยมพูดจบแล้วชูมือถือไอโฟนหน้าจอปริแตกให้คุณดูภาพปกจากยูทูบ

“ถึงว่า นายจ้างพี่ชอบเปิดเพลงนี้ตอนทำงาน ความหมายดีนะ” ผมนึกถึงเนื้อร้องของไรม์แร็พจากกัมพูชา

“แล่ววั๋นนี้พรี่มั่ยปัยทำฮานเหลอคะ” สำเนียงภาษาไทยไม่ชัดของเด็กหญิงวัยประถมไว้ผมเปียเอ่ยถาม

“เพื่อนพี่ติดโควิด ไม่ได้ทำงานแล้ว อยู่ห่างๆ พี่ไว้นะ” หลังสะอึกกับคำถาม ผมทำได้แค่บอกความจริง และกล่าวเตือนเหล่าเด็กๆ ที่เริ่มปลดหน้ากากลงจากหู

“พี่ยังไม่ติดโควิดซะหน่อย แค่สัมผัสเสี่ยงสูง” เด็กหญิงวัยมัธยมบอกน้องๆ ที่กำลังตื่นตระหนก แววตาบางคนเหมือนจะร่ำไห้ แค่ได้ยินคำว่าโควิด

“ใช่ อยู่ห่างๆ กันไว้ดีกว่านะ ยืนมองท้องฟ้าตรงนี้ก็สวยดี” ผมแขวนสายตาไว้กับเมฆขุ่นก้อนนั้น

“พรี่เพ็นคลเจียงใหม่ไหมคะ” เด็กหญิงวัยประถมผมเปียคนเดิมเอ่ยถาม

“ป่าว พี่มาทำงาน บ้านพี่อยู่พังงา” ผมไม่ทันจะเอ่ยถามก็มีเสียงพูดแทรก

“พวกหนูมาจากพม่าค่ะ หนีเผด็จการมาอยู่กับป้า” เด็กหญิงวัยมัธยมพูดเสียงเศร้า

“แต่ประเทศไทยก็ปกครองระบอบนั้นนะ นี่หนีเสียปะจระเข้หรือเปล่า?” ผมถามแล้วหัวเราะในลำคอ

“ประเทศไทยดีกว่าค่ะ อย่างน้อยก็มีคนละครึ่ง น้าที่รู้จักกันเป็นคนไทย บอกว่าโครงการนี้ช่วยให้อิ่มท้องขึ้น พวกหนูก็พลอยได้กินแกงที่น้าซื้อมาฝาก” น้ำเสียงเด็กหญิงวัยมัธยมเปี่ยมความหวัง

“คิดถึงบ้านที่พม่าหรือเปล่า?” ผมถามขณะเสียงเพลงของแวนด้าเงียบลง

“คิดถึงค่ะ ทำได้แค่เปิดเพลงฟัง” เสียงเพลงไทม์ทูไรส์บรรเลงอีกรอบ

“แต่แวนด้าเป็นคนเขมรนะ”

“โถ่ พี่ ฟังเอาความหมายสิคะ ถึงแม้ภาษาไทยพวกหนูไม่ชัด แต่ภาษาอังกฤษพวกหนูพออ่านออกนะ ข้อดีของการเป็นเมืองขึ้นก็เงี้ย” หญิงสาววัยมัธยมหัวเราะ

“แล้วนี่เรียนหนังสือกันยังไง” ขณะถามก็ทบทวนว่าเหตุใดประเทศไทยถึงไม่เคยเป็นเมืองขึ้น

“หยุดเรียนไปก่อนค่ะ กลับไปก็โดนกระสุนปืน ไม่ปลอดภัย”

“อยากปัยโยงเยียน” เสียงเด็กๆ พูดขึ้นแทบจะพร้อมกัน

“พี่ก็อยากไป แต่ตอนนี้แก่กว่าคุณครูแล้วล่ะ” พูดจบแล้วเสียงหัวเราะก็แผ่ปกคลุมดาดฟ้าแห่งนี้

ผมยืนมองท้องฟ้ายามบ่ายกับเหล่าเด็กๆ จนหนังตาเริ่มหย่อนและง่วงนอน จึงขอตัวกลับห้องพัก ขณะเดินลงจากดาดฟ้าแว่วยินเสียงเพลงแวนด้า และเสียงฮัมเพลงของเด็กๆ

“I Said Time to Rise!!!”

ผมได้แต่หวังว่าห้วงเวลาที่จะตื่นขึ้นสู่วันใหม่เหมือนในเนื้อเพลงนั้นจะมาถึงในไม่ช้า

 

(3) คนละครึ่งของชีวิต

มื้อเย็นผมสั่งตำไทยกับปลาดุกย่าง สั่งผ่านแอพพ์เป๋าตัง ค่าอาหารหนึ่งร้อยสิบสามบาท รัฐบาลช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง แม้เพื่อนของผมคนที่ติดโควิดจะเคยแซะว่าเงินที่รัฐบาลช่วยจ่ายนั้นคือภาษีเราทุกคน นั่นก็ถูก แต่ในภาวะชีวิตขัดสนมืดมนและโรคระบาดล้อมเราไว้ ตำไทยกับปลาดุกย่างที่จ่ายในราคาห้าสิบหกบาทกับห้าสิบสตางค์ ก็ช่วยเยียวยาจิตใจและอิ่มท้องได้อีกมื้อ แค่พอผ่านไปอีกคืน

รู้สึกเหมือนตัวเองเหลือครึ่งชีวิต ไร้รัก ไร้ราก ไร้ทรงจำถึงใคร เพื่อนก็มีนับนิ้วได้ ในสภาวะแบบนี้ก็ลำบากกันถ้วนหน้า โชคดีที่ชีวิตเป็นแค่ลูกจ้าง นึกสงสารเจ้านายจับใจที่ต้องตอบคำถามว่าทำไมร้านกาแฟถึงกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะเชื้อโรค ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก แต่ในเมื่อเกิดแล้ว ก็ต้องรับมือและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

ผมนึกถึงสภาพตัวเอง หากไม่มีแอพพ์เป๋าตัง เงินหนึ่งร้อยบาทต่อวันคงไม่อิ่มไปถึงสามมื้อ ของกินของใช้อีก น้ำดื่ม ที่โกนหนวด ยาสระผม สบู่ นั่นก็เงินทั้งนั้น หากจ่ายในราคาเต็มก็คงชักหน้าไม่ถึงหลัง อย่างน้อยในภาวะชีวิตสิ้นหวัง โครงการของรัฐที่แบกรับเราไว้ ก็ช่วยต่อลมหายใจไปได้อีกสักระยะ

ถึงแม้ผมจะฉีดวัคซีนครบแล้ว เพราะนายจ้างแนะนำให้ฉีดเพื่อความปลอดภัยและสร้างภูมิคุ้มกัน แต่หลังจากนี้ผมจะไม่ประมาท หมั่นล้างมือหลังรับอาหารจากไรเดอร์ กักตัวเองให้อยู่แค่ในที่พัก สวมหน้ากากอนามัยและพกเจลแอลกอฮอล์ติดตัวไว้ ไม่รู้ว่าอีกสิบกว่าวันหลังกักตัวจะเป็นอย่างไร คงต้องหางานใหม่ หรือได้กลับไปทำงานที่ร้านกาแฟแห่งเดิม

รู้แค่ว่าผมมีความหวัง และจะหล่อเลี้ยงความหวังต่อไป เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าความผิดหวังเหมือนกากกาแฟหลังดริป เพราะหากร่วงหล่นลงบนผิวของกาแฟ ก็ย่อมทำให้กาแฟเสียรสชาติ แต่หากเราแยกกากและทิ้งลงถุงดำ ดั่งแยกความผิดหวังออกจากความหวังอันเต็มเปี่ยม ก็ย่อมทำให้ชีวิตคิดในแง่บวก

ผมจำตอนถามเหล่าเด็กๆ บนดาดฟ้าได้ ว่าทำไมห้องของผมไม่มีเก้าอี้ พอบอกทุกคนว่าพักห้องศูนย์สามห้า แววตาทุกคนก็หวาดหวั่น ราวกับเจอผี แต่นาทีนี้ผีจะไปน่ากลัวอะไรเท่าเชื้อโรค

ทั้งเชื้อโรคที่บ่มเพาะในใจเรา เชื้อโรคแห่งความเกลียดชัง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เชื้อโรคแห่งวาทกรรม ก็เหมือนกับพวกที่บอกว่าร้านกาแฟที่ผมทำงานเป็นแล็บเพาะเชื้อจากอู่ฮั่นนั่นแหละ พูดแล้วก็โกรธไม่หาย

“ที่ห้องพี่ไม่มีเก้าอี้เพราะพวกหนูเองค่ะ วันก่อนป้าขอช่วยให้เปลี่ยนหลอดไฟ”

เด็กหญิงวัยมัธยมเว้นวรรคกลืนน้ำลายแล้วเล่าต่อ

“หนูขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ แต่น้องๆ ก็อยากขึ้นไปยืนด้วย เก้าอี้ไม้เลยหักค่ะ ดีที่ตะปูไม่ข่วนเอา”

เล่าจบเสียงหัวเราะไล่หลังตามมา เด็กๆ ส่งเสียงโครมครามเลียนแบบเก้าอี้ที่หักพังลงมา

“อ๋อ ไม่มีผีใช่มั้ยที่นี่?” ผมถามเพื่อความแน่ใจ

“ถ้ามีจะบอกนะคะ แฮ่!” เด็กหญิงคนนั้นอำคุณซะจนหลอน ขออย่าให้มีผีเลย ชีวิตแย่พอแล้ว

“พี่นึกว่ามีคนผูกคอตาย แล้วเก้าอี้หายไป” ผมสารภาพสิ่งที่คิดออกไป

“พี่เป็นนักเขียนป่ะเนี่ย แต่งเรื่องซะหลอนเชียว” เด็กหญิงวัยมัธยมดุคุณจนไม่กล้าจินตนาการอีก

“มั่ยเมผีหรอกเพ่ คลต่างหากน่ากัวกว่าผี” เด็กๆ ยืนยันว่าคนน่ากลัวกว่าผี

“มีคนเล่าว่าก่อนพวกหนูจะมา ป้าคิดผูกคอตาย แต่หนูไม่เชื่อหรอก”

“ชั่ยชั่ยชั่ย” เสียงเด็กๆ พูดเสริม

“ป้ามองโลกในแง่ดี ชีวิตมีความหวังให้ก้าวไปเสมอ”

“ก็แล้วไป พี่แค่ถามให้แน่ใจ อย่าลืมเอาเก้าอี้ตัวใหม่มาให้ด้วยนะ”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวบอกป้าให้นะคะ”

คืนนั้นผมหลับไปโดยไม่คิดถึงเก้าอี้ตัวนั้นอีก เพราะรู้สาเหตุแล้วว่าเพราะอะไรห้องนี้ไม่มีเก้าอี้ แต่แปลก เมื่อผมลืมตาตื่นก็เห็นเก้าอี้วางอยู่ปลายเตียง จะว่าไปผมไม่ได้ยินเสียงเคาะเรียก แล้วเก้าอี้มาจากไหน?

แม้จะสงสัยยังไงผมก็ต้องสั่งอาหารกินก่อน กดเข้าแอพพ์เป๋าตังแล้วเติมเงินหนึ่งร้อยห้าสิบบาท จะได้ยอดเงินรวมสามร้อย เช้านี้อยากกินแกงฮังเลกับข้าวเหนียวร้อนๆ กดสั่งเรียบร้อย แล้วค่อยพินิจพิจารณาเก้าอี้ตรงหน้า

เอ๊ะ! เมื่อกี้ผมจำได้ว่าเก้าอี้สีขาว แต่ตอนนี้ขาเก้าอี้เริ่มมีคราบสีแดงเปื้อนทั้งสี่ขา จะว่าไปก็สีเหมือนครั่งที่ประทับตาบนหีบบัตรเลือกตั้ง

ว่าแต่เด็กๆ ไปไหนกันนะเช้านี้ ไม่ได้ยินเสียงใครเลย…

หรือว่าผมจะเจอดีเข้าแล้ว แต่ยังไงก็ช่างมันเถอะ ปากท้องสำคัญกว่า

ระหว่างรอไรเดอร์มาส่งอาหาร ผมว่าจะโกนหนวดสักหน่อย หวังว่าใบหน้าในกระจกที่สะท้อนกลับมาคือใบหน้าของผม อย่าเป็นใบหน้าอื่นเลย ชีวิตตอนนี้ลำบากพอแล้ว

แว่วเสียงฮัมเพลงของแวนด้าดังออกมาจากนอกประตู และเสียงตะโกนทุ้มหนักสำทับกลับมา

“I Said Time to Rise!!!”

โอเค ไทม์ทูไรส์ก็ไทม์ทูไรส์ ว่าแต่จะตะโกนกันทำไมนะเด็กๆ เอ๊ะ แล้วหากว่านั่นไม่ใช่เสียงเด็กๆ ล่ะ

ผมได้แต่หวังว่าช่วงเวลาแห่งการตื่นขึ้นสู่วันใหม่จะมาถึงในไม่ช้า แม้ว่าเช้านี้จะมีหลายสิ่งไม่ชอบมาพากลก็ตาม คิดไปก็ฟุ้งซ่าน ลุกไปโกนหนวดดีกว่า ขอแค่ใบหน้าในกระจกนั้นไม่เป็นใครอื่นก็พอแล้ว

ผมนึกไปถึงเหล่าเด็กๆ รู้สึกเห็นแก่ตัวไปหน่อยที่ใช้สิทธิ์คนละครึ่งสั่งอาหารกินคนเดียว พรุ่งนี้สั่งเผื่อเด็กๆ ด้วยสักชุดดีกว่า ถึงแม้ร่วมโต๊ะอาหารกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยท้องฟ้าเราก็มองร่วมกัน

ไม่รู้ว่าเด็กๆ จะชอบส้มตำหรือทาโกะยากิกันนะ งั้นเอาเป็นว่าผมจะสั่งมาทั้งสองอย่าง ในระหว่างที่รอกักตัวจนครบกำหนด คงมีท้องฟ้าหลากเฉดสีให้ผมเฝ้ามอง เพราะไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำมากไปกว่าขึ้นดาดฟ้าไปมองท้องฟ้า

โครงการคนละครึ่งก็เหมือนชีวิตของผม รอคอยสักส่วนเสี้ยวเข้ามาเติมเต็ม แม้ตอนนี้จะไร้รัก แต่ขอให้มีเก้าอี้ในห้อง และมีท้องที่อิ่มไปตลอดสองสัปดาห์ ชีวิตในช่วงนี้ผมปรารถนาแค่นี้

ว่าแต่คุณเชื่อเรื่องผีไหม? บางคราวที่หลับตาขณะล้างหน้า เคยคิดบ้างไหมว่าชั่วเสี้ยววินาทีในโลกใต้เปลือกตา ใบหน้าบนกระจกที่สะท้อนภาพ อาจไม่ใช่ใบหน้าของเรา

ผมไม่รู้หรอกว่าผีมีจริงไหม? แต่ถ้าหากให้เลือกกลัว นาทีนี้ไวรัสโควิด-19 ช่างร้ายกว่าผีที่มองไม่เห็นหลายเท่า ได้แต่หวังว่าจะไม่ไปหลอกหลอนใครจนต้องกักตัวอีก และผมจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพราะคนที่บ้านรอผมอยู่ แม้ไม่รู้ว่าได้กลับไปเมื่อไหร่

แต่แค่รู้ว่ามีใครรอ ต่อไปชะตากรรมชีวิตจะระหกระเหินแค่ไหน สักวันก็ต้องกลับไปหา