เรื่องสั้น : เมืองตอแหล (จบ) / โค้งน้ำ ลำวารี

เรื่องสั้น

โค้งน้ำ ลำวารี

 

เมืองตอแหล (จบ)

 

ข้อความและเสียงสะอื้นไห้ที่ส่งมาจากทางแชตบ็อกซ์ ทำให้ชายหนุ่มต้องมาแอบซุ่มอยู่หน้าตึกสูงแหงนคอมองไม่เห็นยอดตึก เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเรื่องราวที่เธอเล่าถึงได้ลากเขามาที่นี่ได้ แล้วยังทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจตามไปด้วย หรือว่ามันจะผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนเหมือนเรื่องราวในละครทีวีที่แม่ติดงอมแงมในช่วงหัวค่ำ เขาไม่อยากเชื่อตัวเองว่าเขาจะเชื่อเรื่องราวที่เธอเล่าโดยไม่ไตร่ตรองว่ามันเป็น “เฟกนิวส์” หรือว่าเธอถูกเพื่อนหรือใคร “บูลลี่” เอาจนตกอกตกใจ

แต่ในเมื่อมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแล้วเขาจะนิ่งนอนใจอยู่ได้อย่างไร

ชาย ชาตรี ขยับหมวกที่สวมอยู่ เขารู้สึกว่ามีเหงื่อซึมออกมาชุ่มผม สายตาเพ่งมองไปยังหน้าตึกเป็นระยะๆ เขาอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า คนเราเจอกันแค่วันเดียว โดยไม่เคยมีเรื่องราวผูกพันกันมาก่อน ทำไมเขาต้องเอาชีวิตมาสุ่มเสี่ยงมาวุ่นวายกับเรื่องราวของคนอื่นแทนที่จะไปหลับไปนอนเหมือนนกกาเข้ารังแล้วตื่นแต่เช้าตรู่โบยบินออกไปหากินตามประสา เพราะจริงๆ แล้วชีวิตครอบครัวของเขาก็แค่พวกหาเช้ากินค่ำ จะเอาเวลาที่ไหนไปคอยช่วยเหลือคนโน้นคนนี้ ทำไมเขาถึงให้แส่หาเรื่องใส่ตัว ทำไมต้อง “หาทำ” ด้วย

โอ๊ย…ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว เขาอยากหายาพาราฯ ไปโยนลงคอสักสองสามเม็ด อยากสถบออกมาดังๆ ก็กลัวคนอื่นจะได้ยิน แต่แล้วสายของเขาก็เหลือบไปเห็นมอเตอร์ไซค์สีดำทะมึนมีผู้ชายขับขี่ซ้อนท้ายกันมาสองคนแล้วจอดหลบตรงหัวมุมของคอนโดฯ ทำให้ใจของเขาเต้นระทึกขึ้นมา

ชายทั้งสองคนรีบสาวเท้าเดินเข้าไปในตึก ชายหนุ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีอะไรมาสัมผัสที่ด้านหลัง เมื่อเหลียวกลับมาดูเป็นหญิงสาวที่เขาพาขึ้นจากน้ำนั่นเอง

“ไป” เธอพูดสั้นๆ ขณะสายตาจับจ้องไปยังคอนโดที่ชายชุดดำเดินเข้าไป

“ไปไหน” ชาย ชาตรี ยังงุนงง ตอนนี้เขาไม่มีเป้าหมายที่ที่จะไปเลย

“ไปไหนก็ไป ไปจากที่นี่เร็วๆ ขืนมัวชักช้าอยู่ เราทั้งสองคนอาจไม่รอด” น้ำเสียงของเธอเร่งเร้า ขณะที่คำพูดประโยคสุดท้ายนั้นทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง เธอลากเขามาอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเสียแล้ว

“งั้นตามมา” เขารีบสาวเท้าเดินอ้อมตึกสูงออกไปตามถนนที่ยังพลุกพล่านแล้วไปยังหน้าร้านสะดวกซื้อกระโจนขึ้นมอเตอร์ไซค์สีดำคาดน้ำเงินแล้วสตาร์ตเครื่อง คว้าหมวกกันน็อกสวมใส่อย่างเร่งรีบ อีกใบหนึ่งก็ส่งให้เธอ

“รีบขึ้นมา” หญิงสาวทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ขณะที่สองมือจับหมวกกันน็อกใส่ศีรษะแต่สองตายังไม่วายเหลียวมองไปทางด้านหลังด้วยความหวาดระแวง ชายหนุ่มขับลัดเลาะตามซอยเล็กซอยน้อยจนมาออกถนนใหญ่ ตอนนี้มอเตอร์ไซค์กำลังอยู่บนสะพานข้ามไปยังอีกฟากฝั่งของแม่น้ำ

สายลมเย็นจากแม่น้ำมาปะทะใบหน้า เขาเหลือบมองแสงวิบวับจากเรือที่ลอยลำอยู่กลางแม่น้ำ สายน้ำมีชีวิต จู่ๆ เพลงนั้นก็ดังก้องในหัว “อยากมีเรือซักลำ เพื่อพาคนงามที่คิดจะแต่ง ลอยล่องลำนาวา ให้ปลาอิจฉาเวลาคลื่นลมแรง” เนื้อเพลงคงลอยลมมาให้ชวนฝัน แต่ความเป็นจริงตอนนี้เขาอยู่บนอานมอเตอร์ไซค์ที่ไร้จุดหมายจะไป คิดจะพาหญิงสาวไปยังคฤหาสน์คนจนก็เกรงว่าแม่ พี่สาว และหลานๆ จะแตกตื่น แต่นั่นไม่เลวร้ายเท่าไม่ทันไรเสียงซุบซิบจะดังไปถึงปากซอย มันทำให้เขาต้องคิดหนัก สุดท้ายก็ขี่รถไปเรื่อยๆ ก่อน

รถมอเตอร์ไซค์ขนาด 125 ซีซี ซิ่งพาชาย-หญิงข้ามสะพานสู่อีกฝั่งของแม่น้ำ พอรถลงสะพานมาถึงถนนที่แยกออกไปได้หลายสาย ชาย ชาตรี พบกับมอเตอร์ไซค์กลุ่มใหญ่ยี่สิบสามสิบคัน พวกเขาขับขี่กันอย่างฮึกเหิม ไม่ย่นระย่อกับโรคร้าย ไม่กลัวเกรงต่ออำนาจบาตรใหญ่ บางคันขี่คนเดียว มือหนึ่งถือธงถือแผ่นป้าย แต่ส่วนใหญ่ขี่ซ้อนท้ายกันทั้งชายกับชายและชายกับหญิง หลายคนโพกผ้าหลากสี แต่ส่วนใหญ่เป็นสีแดง สีขาว แต่ไม่มีใครโพกผ้าสีเหลืองสักคน พวกเขาขับขี่ตามกันเป็นขบวนมุ่งหน้าไปยังถนนสายประวัติศาสตร์ที่เกิดเหตุการณ์ในบ้านเมืองมากมายทั้งดีและไม่ดี

ชายหนุ่มนึกสนุกจึงขี่รถตามขบวนที่มีเสียงไชโยโห่ร้องและตะโกนขับไล่ไปด้วย

“ไอ้พวกตอแหลออกไปๆๆๆๆๆ ไอ้พวกตอแหลจงพินาศๆๆๆๆๆ”

เขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดังปังๆ มาจากข้างหน้า แต่ก็ยิ่งทำให้กลุ่มมอเตอร์ไซค์เหล่านั้นฮึกเหิมยิ่งขึ้นพวกเขาเร่งเครื่องเข้าไปหาเสียงนั้นทันที พอเข้าไปใกล้พบว่ามีกำแพงสูงใหญ่ขวางอยู่ ชาย ชาตรี เพ่งตามอง เป็นตู้คอนเทนเนอร์ซ้อนกัน 2 ชั้น มีกลุ่มคนกำลังขึ้นไปดึงตู้ที่อยู่ด้านบนลงมา ท่ามกลางการส่งเสียงเชียร์แข่งกับเสียงประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงจากด้านหลังตู้คอนแทนเนอร์ แต่ไม่พ้นความพยายามของพวกเขา ตู้คอนเทนเนอร์ด้านก็ถูกลากลงมา พวกเขาจึงกลุ้มรุมเข้าไปลากตู้ด้านล่างออกเปิดเป็นช่องโหว่ แต่ว่าพวกเขาไม่ทันเข้าไปก็มีน้ำพุ่งสวนเข้าใส่ เป็นน้ำที่ฉีดออกด้วยความรุนแรง บางพวกวิ่งหนี บางพวกวิ่งเข้าใส่ แต่แล้วพวกที่วิ่งเข้าใส่ก็ต้องถอยกันออกมาพร้อมเสียงตะโกนลั่นว่า “แก๊สน้ำตา หลบเร็วพวกเรา” กลุ่มมอเตอร์ไซค์ไม่ฟังเสียง พยายามพุ่งเข้าไปช่องนั้น แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้เมื่อมีน้ำเป็นสายพุ่งสวนออกมาด้วยความแรง

ชายหนุ่มตื่นตะลึงกับเหตุการณ์เบื้องหน้า ขณะที่หญิงสาวที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อยู่เหมือนตื่นจากฝันร้ายหนึ่งแต่กำลังเจออีกฝันร้ายหนึ่ง “เราอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นนี่” เธอละล่ำละลัก

“เราอยู่กลางวงผู้ชุมนุมประท้วง พวกเขาว่ามาไล่พวกตอแหล” เขาตอบขณะสองตาส่ายมองไปรอบๆ ขณะที่ในหัวก็เริ่มประเมินสถานการณ์ เขาไม่รู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นเช่นไร แต่สังหรณ์ใจว่ามันน่าจะเป็นไปในทางไม่ดีแน่ๆ แต่เมื่อเขาเหลือบไปเห็นความเคลื่อนไหวรอบๆ ถนนทำให้ต้องมองตาค้าง

รอบๆ ถนนเต็มไปด้วยผู้คนในชุดดำทะมึน พวกเขาถือโล่กระบองและกำลังสาวเท้าโอบล้อมเขามายังที่กลุ่มผู้ชุมนุมและขบวนมอเตอร์ไซค์ ตอนนี้เขาไม่คิดถึงเรื่องอื่น การเอาตัวรอดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ครั้งแรกเขาคิดจะเอามอเตอร์ไซค์พุ่งฝ่าวงล้อมออกไป แต่เมื่อคิดอีกทีเห็นจะยากเพราะถนนทุกเส้นถูกปิดหมด แต่หากถูกจับตัวไปจะยิ่งแย่หนัก เขากวาดตามองแล้วนึกได้ว่าช่วงวัยรุ่นเขามาหาเพื่อนแถวนี้บ่อย เขาตัดสินใจดับเครื่องรถกลางขบวนมอเตอร์ไซค์ที่กำลังเร่งเครื่องและร้องตะโกนเร่งเร้าให้ต่อสู้โดยไม่ยอมถอย

“ลงจากรถแล้วตามมา” ชายหนุ่มตะโกนบอกหญิงสาวแข่งกับเสียงที่ดังมาหลายทิศทาง เธออ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ชะงักค้าง ขณะที่เนื้อตัวสั่นจนเขาสัมผัสได้ เขาค่อยๆ ลากมือเธอเดินออกจากขบวนมอเตอร์ไซค์ช้าๆ มุ่งหน้าไปยังตรอกหนึ่งที่เขาเคยเข้าออกไปหาเพื่อนหลายครั้ง

“การรักษาตัวรอดจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าหน้าขวานแบบนี้ ดีกว่าถูกจับตัวไป” เขาคิดแบบนั้น หนียุ่งยากน้อยกว่าอยู่ เพราะหากอยู่อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายกว่านี้ ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังของโล่ที่คนชุดดำทะมึนค่อยโอบล้อมเข้ามาแล้วมีอะไรน่ากลัวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ยังมีรูให้มุดหนีก็ต้องมุดไปก่อน ว่าแล้วเขาก็ลากมือของวิ่งเข้าไปในตรอกนั้นทันทีโดยไม่เหลียวมามองข้างหลังอีก

 

ชายหนุ่มหญิงสาวมานั่งหอบอยู่ข้างวัดที่มีเจดีย์สูงใหญ่เด่นตระหง่าน วัดนี้ชาย ชาตรีคุ้นเคยมาตั้งแต่ตอนอายุสิบสามสิบสี่ แม่เอามาฝากไว้กับหลวงลุงในวัดนี้ แม้ท่านจะคอยพร่ำสอนให้ตั้งใจเรียนหนังสือ เป็นมีเมตตา ทำแต่ความดี รู้สำนึกในบุญคุณคน แต่ในวัยเริ่มคะนองชอบลอง ทำให้เขาเลือกเส้นทางผิดไปอยู่ในกลุ่มเด็กวัดเกเรตีต่อยกับเด็กเจ้าถิ่นซอยข้างวัดจนหน้าแตกปากเจ่อเป็นประจำ ทำให้ถูกอัปเปหิออกจากวัดทั้งโขยงหกเจ็ดคน ต้องระเห็จกลับไปอยู่คฤหาสน์ปุปะด้วยเศษไม้มุงหลังคาด้วยผ้าใบริมคลองตามเดิม

เมื่อชายหนุ่มมองมายังหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นเธอนั่งนิ่ง คงตื่นตระหนกในเหตุการณ์อันไม่คาดคิดที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิต

“กลัวหรือ” ชาย ชาตรี เริ่มต้นด้วยคำถามตรงไปตรงมา ขณะที่หญิงสาวจ้องหน้าคนถาม แววตาครุ่นคิด

“มันกลัวจนไม่กลัวแล้ว” สวย โสภา ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“แล้วคุณจะไปไหนต่อล่ะ” คำถามนี้ทำให้หญิงสาวต้องเงียบงันอีก หนทางทำมาหากินของเธอขาดสะบั้นลงหลังจากถูกจับได้ว่าเธอแอบรับลูกค้าแทงหวยไว้เองจนถูกไล่ล่าหมายเอาชีวิต

“ไม่รู้เหมือนกัน” สาวผู้ถูกไล่ล่าตอบไปแบบนั้น เธอไม่แน่ใจว่าอับจนหนทางจริงๆ หรือเพียงแค่คิดว่ามันอับจนหนทาง ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนได้ในเมืองที่วุ่นวายด้วยความขัดแย้งและมีเชื้อโรคร้ายตามเข่นฆ่า

“ไม่มีบ้านนอกให้กลับเรอะ” ชายหนุ่มตั้งคำถาม พร้อมกับแหงนมองเดือนครึ่งดวงลอยแข่งแสงไฟบนฟ้าขมุกขมัว

หญิงสาวก้มหน้า ความทรงจำในเยาว์วัยย้อนกลับมา บ้านกลางสวนกล้วย วงรัมมี่ การจากไปของพ่อ การสิ้นเนื้อประดาตัวของครอบครัว ตอนนี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าแม่ระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่ไหน ซึ่งก็หนีไม่พ้นตามวงไพ่ การติดต่อมาของแม่มีอยู่อย่างเดียวคือโทรศัพท์มาขอเงินเท่านั้น

“อย่าอยู่ในเมืองกรุงอีกเลย เมืองนี้มีแต่ความตอแหล” ชายหนุ่มพูดด้วยความสะท้อนใจ มีใครบ้างนะที่ไม่ตอแหล เขาเองก็ต้องตอแหลทำมาหากินเพื่อความอยู่รอดไปวันๆ

“เมืองน่ะไม่ได้ตอแหลหรอก เป็นคนต่างหากที่ตอแหล” หญิงสาวผ่านประสบการณ์มาพอตัวจนเห็นความสับปลับปลิ้นปล้อนของคนในเมืองนี้ดีรวมถึงตัวเธอเองด้วย “ฉันเองก็ตอแหล แอบรับกินเงินแทงหวยของคุณนายผู้กำกับ จนถูกไล่ล่าหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้”

“คุณเคยคิดหรือไม่ว่าทำไมเราถึงต้องเป็นแบบนั้น” เขาตั้งคำถามชวนคุยเป็นจริงเป็นจัง ขณะที่สายตาเหลียวมองไปรอบตัว สถานการณ์แบบนี้ไม่มีอะไรที่น่าไว้ใจ

“ฉันเหนื่อย ฉันหิวแล้ว ฉันหิวจริงไม่ได้หิวแสงหรอก ฉันหิวจริงๆ” ขณะนี้ก็สามสี่ทุ่มแล้วเธอยังไม่มีอะไรตกถึงท้องหลังจากมื้อกลางวันที่ต้องรีบกินบะหมี่เกี๊ยวแบบลวกๆ ไร้รสชาติ

“งั้นไปยังคฤหาสน์คนจนกัน” ชายหนุ่มบอกไปทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมการรับมือเมื่อพาผู้หญิงที่ยังไม่รู้หัวนอนปลายตีนเข้าบ้าน แต่ไหนๆ ก็ช่วยชีวิตเธอมาครั้งหนึ่ง จะช่วยเธออีกสักครั้งก็คงไม่เป็นไร

“ไปที่ไหนนะ” หญิงสาวถามเพราะฟังความไม่ชัด

“คฤหาสน์คนจน” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

คราวนี้หญิงสาวหัวเราะ พยักหน้าแสดงความเข้าใจ ที่นี่เมืองตอแหลนี่นะ คนจนก็มีคฤหาสน์ได้เหมือนกัน ไหนๆ ก็ไม่ได้มีคฤหาสน์สวยๆ กับเขาแล้ว ไปคฤหาสน์คนจนมันก็คงได้อีกรสชาติหนึ่ง

“คุณไม่ได้แกงฉันนะ” หญิงสาวยังไม่มั่นใจ

“คนอย่างคุณเอาไปแกงกินจะอร่อยเรอะ” ชายหนุ่มย้อนแล้วอมยิ้ม

“งั้นไปก็ไป” คราวนี้หญิงสาวไม่ลังเล มีชีวิตทุกวันนี้เหมือนกับการเสี่ยงโชคอยู่แล้ว มีที่ให้เสี่ยงดีกว่าไม่มีที่ให้ไป

“ไม่กลัวผมจะหลอกเอาคุณไปขายเหรอ” ชายหนุ่มแคลงใจ

“ตามใจ อยากขายก็ขาย อยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างฉันนี่จะขายได้สักกี่บาทนะ” หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

“แล้วไม่ถามสักหน่อยรึ ว่าผมเป็นใคร ทำอาชีพอะไร” ชายหนุ่มฉงนในคำตอบของหญิงสาว

“จะถามทำไม ถึงอย่างไรฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องไปคฤหาสน์ของคุณอยู่ดี แม้คุณจะตอแหลเรื่องคฤหาสน์อะไรของคุณนั่น รีบๆ ไปกันเถอะ ขืนช้ากว่านี้ฉันอาจจะกินคุณได้” หญิงสาวทำตาวาวขู่แล้วลุกขึ้นยืนยื่นมือโบกรถแท็กซี่ที่กำลังวิ่งมา

“ที่นี่เมืองตอแหลนะจ๊ะ ไม่ว่าจะไปทางไหนก็หนีมันไม่พ้น แม้แต่ในคฤหาสน์ของคุณก็เถอะ” เธอว่าแล้วหัวเราะ พลอยให้ชายหนุ่มหัวเราะตามไปด้วย ขณะที่รถแท็กซี่จอดตรงหน้าพวกเขาพอดี