เรื่องสั้น : ผู้ใหญ่สามกำนันสอง

ภายหลังมีการปรับเปลี่ยนวาระหรือการดำรงตำแหน่งของผู้ใหญ่ กำนัน ที่จริงมันก็ปรับเปลี่ยนกลับไปกลับมาทุกยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงขั้วหรือรัฐบาลนั่นแหละ เมื่อเปลี่ยนแปลงให้ดำรงตำแหน่งถึงเกษียณ 60 ปี มันทำให้อิ่มเอม วางใจ โล่งอก เหมือนได้ถอดเป้หนักจากแผ่นหลังออก ร่างกายเบาหวิว ยิ้มสดชื่น อาการเปลี่ยนเป็นคนละบุคลิกทีเดียว ขณะที่โชคสองชั้นได้เสริมกำลังใจด้วยการขึ้นเงินเดือน อย่างนี้ ค่อยยิ้มออกได้กว้างขึ้น สมกับที่ทุ่มเทหาเสียงและจ่ายค่าน้ำมันรถให้แก่ผู้มาลงคะแนนจากแดนไกล

ผู้ใหญ่สามรู้ดีว่า การขึ้นเงินเดือนนั้น คล้ายผลตอบแทนที่พวกเขาทำงานในพื้นที่ ผู้ที่เสนอขึ้นเงินเดือนจากสภาผู้ทรงเกียรติภายหลังที่ได้สัญญาใจไว้ ที่สุดก็คือความดีงามของพวกเขาที่รับใช้เข้าตา ความดีงามนี้ไม่มีทางที่พวกเขาจะโดนปล่อยแพ และย่อมเป็นบุญคุณที่ผู้ปกครองเช่นเขาจะต้องจดจำ

เมื่อการดำรงอยู่ยาวนานแทบจะทั้งชีวิต ย่อมเป็นธรรมดาที่คนระดับกำนัน ผู้ใหญ่ จะต้องใกล้ชิดระดับเจ้านายโดยตรง เจ้านายระดับการเมือง ผู้คนนอกบ้านและนักการเมืองที่เคยร่วมงานบางทีก็แยกไม่ออกระหว่างนักการเมืองกับพวกเขา มันดูกลมกลืนเป็นสีเดียว และแน่ละ พวกเขาสยบยอมและแอบภูมิใจด้วยซ้ำ ไม่ได้นึกคิดถึงความเหลื่อมล้ำหรือเบี้ยล่าง ซึ่งมันพันเกี่ยวเลี้ยวพันกันมาเป็นเนื้อเดียว มันเริ่มตั้งแต่ยุคการเลือกตั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อก่อนโน้น ผู้ใหญ่สามได้ลงสมัครและได้ไปพบนักการเมือง ซึ่งเขาเคยเป็นหัวคะแนนให้มาก่อน อันที่จริง ก่อนหน้านั้น นักการเมืองนั่นเองที่เป็นคนบอกให้เขาสมัครผู้ใหญ่บ้าน เมื่อการไปรายงานให้ทราบถึงแนวคิด นักการเมืองจึงไม่รีรอที่จะให้ทุนในการหาเสียง เขาเข้าไปพร้อมรายชื่อลูกบ้าน จำนวนรายหัว และกลับออกมาด้วยความสมหวัง

สัญญาใจนี้มีค่ามากกว่าลายลักษณ์อักษรใด เพียงจุดมุ่งหวังไม่ต่างกันมากนักนี้

คนที่มีวิสัยทัศน์หรือมองการณ์ไกลในทางการเมือง ย่อมได้เปรียบและยืนยาวได้บนถนนเส้นนี้ ผู้ใหญ่สามรู้ดี และก็ไม่ได้ทำให้ผู้สนับสนุนผิดหวัง เขาให้หัวคะแนนเอาเงินแจกจ่ายชาวบ้านหัวละสามร้อยบาท ฉะนั้น ชื่อผู้ใหญ่สามนั้น ไม่ได้ได้มาด้วยพ่อแม่ตั้งให้

ทว่า มันคือฉายาของชาวบ้านที่ยกย่องสรรเสริญ เขาจึงชัดเจนในตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านตราบทุกวัน

ผู้ใหญ่สามในวัยห้าสิบเศษ ผิวค่อนไปทางดำคล้ำ ร่างเตี้ยหนา ในอดีตคือนักมวยระดับจังหวัด ชาวบ้านรู้ดีว่า เขาเป็นคนไม่ค่อยยอมคนง่ายๆ หลังจากรู้ข่าวว่าจะมีการปรับเปลี่ยนให้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่ กำนัน วาระ 5 ปี เขาไม่เป็นอันกินอันนอน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถมึงทึง ใครเข้าหน้าไม่ติด ใครพูดผิดหู ไม่เข้าข้างก็เดือดดังไฟลน แม้กระทั่งลูกเมียและลูกบ้าน ระเบิดขนาดย่อมนี้ได้แตกกระจายและลุกลามไปทั้งประเทศ

“ไอ้ริยำหมา” เขาสบถ รีบส่งข่าวทางไลน์ ทางเฟซ แก่เพื่อนพ้องร่วมตำแหน่ง ข่าวกระพือแรงไปตามลำดับให้ประชาชนผู้ติดตามกระหึ่มต้อนรับเห็นด้วยในวาระ 4-5 ปี บางคนบอก 1 ปีก็ยาวนานเกินไป บางคนบอกให้ยุบ หลายๆ คนเห็นด้วยต่อการเลือกตั้งทุก 5 ปี เหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้ผู้ใหญ่สามเดือดมากยิ่งขึ้น จึงเห็นการยื่นหนังสือประท้วงและการเรียกร้องอย่างต่อเนื่อง ทว่า ไม่มีเสียงตอบรับมากนัก นอกจากการเห็นต่าง นั่นเท่ากับการลดทอนอำนาจหรือตำแหน่งที่มีให้หดสั้นอย่างน่าใจหาย แน่นอน ผู้ใหญ่ กำนัน ย่อมรับไม่ได้ ยิ่งพวกเขาเรียกร้องประท้วงมากเท่าใด มันได้ตอกย้ำความเห็นแก่ตัว หรือเห็นแก่ได้ ไม่กล้าพิสูจน์ตัวเองในการเลือกตั้ง ความเลวร้ายที่เกาะกินนี้เผยอออกมาจากที่ถูกซุกซ่อน กลายเป็นมวยรองและเห็นธาตุแท้ ทว่า จิตสำนึกนี้ พวกๆ ยังดื้อร้นและเผยให้เห็นจุดอ่อนมากขึ้น ผู้ใหญ่สามตระหนักว่า ยิ่งรุก ยิ่งเรียกร้องดูเหมือนจะประเมินค่าผิดพลาด แต่เมื่อมาถึงตรงนี้ก็ต้องดื้อแพ่งต่อไป

สารพัดที่เขาจะเอามาอ้างให้เห็นใจก็คือ พวกเขาต้องทำงานรับใช้ประชาชน ใกล้ชิดประชาชน จึงต้องดำรงตำแหน่งระยะยาว ถ้าเลือกตั้งบ่อยจะเสียโอกาสในการปกครอง หรือขาดการต่อเนื่อง ข้อแก้ตัวนี้ได้รับการตีกลับอย่างรุนแรง ผู้ใหญ่สามคิด หรือพวกเขาถึงคราวเพลี่ยงพล้ำ

“พี่สองจะว่ายังไง” ผู้ใหญ่สามหันไปถามกำนัน

กํานันสองครุ่นคิด รู้ดีว่าศึกครั้งนี้หนักหนาสาหัสนัก อันที่จริงรูปเกมแบบนี้เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย ประสบการณ์ต่อสู้ทางการเมืองก็ไม่มี ที่ได้เป็นกำนันก็เพราะนักการเมืองที่หยิบยื่นเงินทองให้ บอกให้เขาลงสมัคร รายหัวห้าร้อยบาท ทว่า เวลาจ่าย เขาจ่ายให้ชาวบ้านเพียงหัวละสองร้อย เหลือกำไรหัวละสามร้อยบาท เขาบอกอย่างน้อยก็ได้บ้างหากสอบตก ทว่า โชคเข้าข้าง เงินสองร้อยทำให้ได้เป็นกำนัน และชื่อกำนันสองร้อยจึงเป็นที่ฮือฮาที่มาที่ไปให้ชาวบ้านโจษขาน ทว่า เขาก็เป็นที่รักของคนทั้งตำบล เนื่องจากไม่ค่อยเป็นพิษภัยกับใคร

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของระดับแกนนำเขาทำไป พวกเราคอยสนับสนุน” กำนันสองพูดเนือย เขารู้ดีว่ากระแสต่อต้านจากสังคมนั้นเนืองแน่น การนิ่งเฉยก็อาจเป็นผลดีหากมีการเลือกตั้ง หากไปขวางมากอาจเสียคะแนน ผู้ไม่ประสาเกมการเมืองกลับคิดออก ซึ่งต่างจากผู้ใหญ่สามที่หัวฟัดหัวเหวี่ยง โต้ตอบดะไปหมด

วันต่อมา ผู้ใหญ่ กำนัน ในเขตอำเภอต่างพากันเข้าจังหวัดอีกครั้งเพื่อยื่นหนังสือ อีกสองวันต่อมาต่างระดมพลเข้าเมืองหลวง แม้ว่าจะโดนตำหนิจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง ทว่า พวกเขาเหมือนจะยอมง่ายๆ ไม่ได้ ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์อึงมี่ ส่วนใหญ่แล้วกำนันบอกว่าแทบไม่มีคนเข้าข้างพวกตน แต่พวกเขาก็ต้องเดินตามระดับแกนนำและนักการเมืองที่เป็นผู้สนับสนุนพวกตนอยู่เบื้องหลัง

ใกล้เทศกาลสงกรานต์เข้ามาแล้ว พวกเขาไม่เป็นอันกินอันนอนหรือตระเตรียมงานสำคัญ เพราะมัวแต่เดินตามรอยแกนนำและโต้ตอบเสียงที่กระหน่ำซัดมารุนแรง กระทั่งการเสนอให้กำนัน ผู้ใหญ่อยู่ในวาระ 5 ปี ผ่านในรอบแรก ยิ่งทำให้ผู้ใหญ่สามเดือดดาลยิ่ง ใครเห็นเขายามนี้ จะพบว่าหน้าดำคร่ำเครียด ไร้รอยยิ้ม ลืมนึกถึงเทศกาลปีใหม่ไทยที่เหลืออีกไม่กี่วัน หรือการขอพรปีนี้พระเจ้าในทุกศาสนาคงไม่ดลบันดาลให้พวกเขาสมหวังเสียแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจเหมือนพ่ายแพ้ไปแล้ว ทั้งที่ขั้นตอนยังเหลือการนำเสนอเข้าสู่ ครม. และ สนช. อีกหลายขั้นตอนนัก พวกเขาย่อมรู้ดี ลึกๆ ก็แอบหวั่นว่าอำนาจจะต้องถูกลดลงแน่นอน

อดีตนักมวยจะพ่ายน็อกกระนั้นหรือ

เมื่อรู้สึกถึงการเพลี่ยงพล้ำและพ่ายแพ้ ในโลกความเป็นจริง ส่งเสียงดังเกินคาด เหลือทางเดียวที่จะให้พวกเขาได้พึ่งก็คือการเข้าหาศาลปู่ตา ด้วยการบนบานศาลกล่าว ถวายอาหารหวานคาว เหล้ายาปลาปิ้งถูกถ่ายเทสู่เพิงพัก ประติมากรรมจากไม้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านศรัทธากราบไหว้ นานทีเดียวที่พวกเขาหลงลืมหน้าที่ หลงลืมเทศกาลการกราบไหว้และเซ่นบูชา หากไม่มีเรื่องกลัวการสูญเสียอำนาจ พวกเขาคงไม่ได้มาที่นี่

“ช่วยพวกข้าน้อยด้วยเถอะพ่อปู่ พวกมันกำลังจะพรากเอาเกียรติและศักดิ์ศรีของชาวบ้านเราไป”

ลมพัดกระโชกวูบใหญ่คล้ายรับรู้ พวกเขาขนลุก รู้สึกมีคนเข้าข้างและมีกำลังใจขึ้นมา

“หากกฎหมายตกไป พวกข้าน้อยยังอยู่ตลอดอายุหกสิบปี พวกข้าน้อยจะพากันขนเหล้ายาปลาปิ้งมาให้หลวงปู่อีก” ความคุ้นชินอาจมาจากนักการเมือง ที่โพล่งไปอย่างไม่คิด

อีกสองวันสงกรานต์ประเพณีอันเก่าแก่จะมาถึง การรดน้ำดำหัว ผู้ใหญ่ กำนัน ถือโอกาสนี้รดน้ำลูบแป้งแก่หลวงปู่เสียคราวเดียวกัน กลิ่นน้ำอบร่ำอวลหอม และดอกคูนเหลืองโปรยหว่าน เสียงโห่ร้องของผู้มาด้วยที่คอยรับเศษจากหลวงปู่ มันคือผลพลอยได้ คางไก่ ไข่ต้ม หัวหมู ไม่มีร่องรอยแหว่งวิ่น แต่ในดวงใจของผู้ที่กลัวการสูญเสียต่างหากที่โครมครามหัวอก

“คางไก่ก็สวย” พ่อหมอบอก

“ไข่แดงก็เต็มดี”

อันที่จริง ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็เห็นด้วยต่อการเปลี่ยนแปลงและการเลือกตั้งทุก 4 หรือ 5 ปี ทว่า คนบ้านเดียวกันจะพูดจะเขียนก็กลัวการกระทบกระทั่ง สู้นิ่งๆ ไว้ดีกว่า สู้ไปร่วมดูคางไก่ ดูไข่แดง และเหลือบมองหัวหมูดีกว่า ส่วนจะ 5 ปี หรือตลอดไป ไม่กระทบในชีวิตพวกเขานัก

จะว่าไป เทศกาลการเลือกตั้งทุกครั้งมักจะมีหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเลือกตั้งระดับไหน เลือกหรือไม่เลือก พวกเขาชาวบ้านก็พลอยได้รับอานิสงส์ด้วยอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องพึ่งพาศาลปู่ตาแต่อย่างใด ขณะเหลืออีกวันเดียวก็จะถึงวันขอพร เล่นน้ำ ญาติพี่น้องเดินทางกลับ รวมญาติ ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องนี้มากนัก ทว่า มีเพียงกลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่ นั่นแหละที่ยังเดือดร้อน กังวล ขณะที่กำนัน ผู้ใหญ่ทั่วประเทศลงมติให้รวมพลเดินทางเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง

ทุกหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ต่างหารถยนต์ เหมาบ้าง อาศัยกันไปบ้างเพื่อเข้าไปรวมกันที่จังหวัดก่อน ณ จุดรวมพล และจะออกเดินทางด้วยรถบัสใหญ่แต่ละจังหวัดตามที่ระดับแกนนำสั่งการ ผู้ใหญ่สาม กำนันสอง ไม่เข้าใจมากนักแต่ก็ต้องไป อาศัยเอารถไปด้วยกัน เฮฮาสนุกครึกครื้นมีกำลังใจเพราะคางไก่ ไข่แดง และหัวหมูสดสวย พวกเขาต่างภาวนาและยกมือขึ้นเหนือหัวระลึกนึกถึงหลวงปู่ตาที่อยู่ทิศใต้ของหมู่บ้าน

ขณะออกจากบ้าน ข่าวหน้าทีวีกระหึ่มต่อเนื่อง ทั้งตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ผู้ใหญ่สามสังหรณ์ใจบอกไม่ถูก ช่วงเช้าก่อนที่จะออกมา เขาแวบผ่านเห็นดวงตาใครคู่หนึ่งเหมือนจะเพ่งมองมาที่เขา ผู้ใหญ่อดีตนักมวย นั่งนึกคิดตลอดทางถึงสายตาคู่นั้น

รถหยุดเป็นแถวต่อเนื่องก่อนเข้าสู่ตัวเมือง ด้านหน้ามีด่านตรวจ

ผู้ใหญ่สาม กำนันสอง รับรู้ได้ว่าพวกตนหลงกลกฎหมายเข้าให้แล้ว ขณะที่นั่งอยู่กระบะท้ายของปิกอัพ