เรื่องสั้น : Yesterday Once More / นทธี ศศิวิมล

เรื่องสั้น

นทธี ศศิวิมล

 

Yesterday Once More

 

นับตั้งแต่วันที่หมอแนะนำว่า ปราณควรปลดปล่อยคุณมานพให้เป็นอิสระจากอุปกรณ์พยุงชีพทั้งหลาย นี่ก็ผ่านมาเกือบสองปีแล้ว

ก่อนที่ฉันจะมาอยู่กับปราณ ฉันพอทราบเรื่องที่เขาต้องดูแลคุณมานพ เพราะท่านเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อปราณ และผูกพันกันยิ่งกว่าใครบนโลกนี้ ฉันถูกขอร้องอย่างสุภาพไม่ให้ถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างปราณกับคุณมานพ

ยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ปราณพาฉันมาพบคุณมานพ ทั้งที่เตรียมใจเอาไว้แล้ว ว่าท่านคือผู้ป่วยติดเตียง เป็นเจ้าชายนิทรา เป็นผู้สูงอายุ แต่สภาพของร่างแก่ชราเหี่ยวแห้งผิวคล้ำกระดำกระด่าง ผอมจนผิวแทบติดกระดูก แก้มตอบ เบ้าตาลึกโหล เส้นผมไม่มีติดหนังศีรษะ แบนราบติดเตียงราวกับซากศพ ก็ทำให้ฉันตกใจจนผวา

อุปกรณ์พยุงชีพที่เสียบอยู่ที่จมูก ปาก และต่อเส้นต่อสายโยงเสียบติดอยู่ที่หน้าท้อง ก็ยิ่งทำให้เขาดูเหมือนสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ต่างจากมนุษย์มากขึ้นไปอีก มีเพียงทรวงอกที่ยกขึ้นลงตามจังหวะเครื่องช่วยหายใจเท่านั้นที่บ่งบอกว่าร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับอลิส ที่ไม่ได้บอกก่อนว่าจะมาพบท่านในสภาพนี้ คุณมานพอายุ 118 ปีแล้ว ท่านนอนนิ่งไม่ฟื้นหรือมีสติขึ้นมาอีกเลยตั้งแต่เมื่ออายุ 96 ปี” ปราณเล่าอย่างนั้น นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจ ถ้าอย่างนั้นแล้ว คนหนุ่มอย่างเขาจะมีความใกล้ชิดผูกพันกับคุณมานพได้ตอนไหน หากมีเวลาพบกันคงเป็นช่วงที่ปราณยังเด็กมากจนจำความอะไรแทบไม่ได้ และคุณมานพก็คงชราเสียจนไม่มีแรงจะอุ้มปราณด้วยซ้ำ

แต่ฉันก็รักษาคำพูด และรักษาน้ำใจของชายคนรัก สายตาอ้อนวอนอย่างอ่อนโยนของเขามองมาที่ฉัน เรายิ้มให้กัน ฉันจะไม่เอ่ยปากถามเรื่องนั้น นอกเสียจากว่าเขาจะยินดีเล่าด้วยตัวเอง

 

เราคบกันนานสองปี ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่กับเขา และแม้คิดว่ารู้จักกันดีมากพอ แต่ฉันก็ไม่เคยรู้เลยว่า ปราณใช้เวลาทำงานเพียงวันละไม่เกินสองชั่วโมง หลังจากนั้นจะใช้เวลาเกือบทั้งหมดที่เหลือ อยู่ในห้องพักที่กว้างขวางและแสนจะน่าอยู่ของคุณมานพ

ในห้องที่จัดแต่งเหมือนโลกในยุคเก่า กระจกหน้าต่างกรอบไม้สักเงางามติดฟิลเตอร์กรองรังสีอันตรายสีส้มอ่อน ทำให้แสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามามีโทนสีอุ่นร้อนแต่อุณหภูมิไม่ร้อนจัด แดดจริงๆ ด้านนอกไม่ปลอดภัยสำหรับคนป่วย มลพิษทางอากาศก็ด้วย ในห้องนี้อากาศถูกควบคุมด้วยเครื่องฟอกอากาศและปรับความชื้นให้พอดีเสมอ สำหรับทั้งคนและต้นไม้

ดอกมะลิกลิ่นหอมปลูกไว้ในกระถางรางริมหน้าต่างให้รับแดดได้รำไรกำลังออกดอกเล็กๆ สีขาวน่าเอ็นดู กลิ่นหอมหวานละมุนทุกครั้งที่เดินผ่านใกล้ๆ ต้นไม้เขตร้อนใบสวยงามถูกปลูกไว้ในกระถางตามมุมห้อง เครื่องเล่นแผ่นเสียงในห้องนั้นมักเล่นเพลงของ The Beatles หรือ Carpenter ซ้ำๆ

ปราณมักไปนั่งที่โต๊ะจิบกาแฟ เปิดอ่านหนังสือนิยายกำลังภายในย้อนยุคบนเก้าอี้นวมบุหนังแท้สีเบจตัวโตที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง กลิ่นกาแฟฟุ้งหอมทั่วห้อง บางครั้งกาแฟก็หยดลงบนพื้นพรมเปอร์เซียลวดลายละเอียดทอนุ่มแน่น บางครั้งเราก็ใช้เวลานั่งๆ นอนๆ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงร่วมกันตรงนั้น

เวลาที่ปราณอยู่บ้านเขามักจะสวมแว่นตาขอบกระ ลูบน้ำมันมะกอกหวีผมเสยเรียบแปล้ เสื้อผ้าที่เขาใส่ก็ค่อนไปทางย้อนยุคโทนเดียวกัน ใส่เสื้อคอโปโลแขนสั้นลายขวางสีครีมสลับเขียวขี้ม้า กางเกงผ้าเวสต์ปอยต์สีครีมตัวใหญ่ยาวสามส่วน สวมถุงเท้าสีขาว ใบหน้าที่หล่อเหลา เยาว์วัย ดวงตาเป็นประกายแบบเด็กหนุ่มแต่ก็กลับดูสุขุมนุ่มลึกกว่าอายุ ทำให้เขายิ่งดูลึกลับน่าหลงใหล ราวกับว่าเขาเดินออกมาจากนวนิยายย้อนยุคพวกคุณชายนักเรียนนอกแสนสุภาพในวังเก่า

พิมพ์ดีดแบบโบราณเครื่องนั้นตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ที่หันหน้าออกหน้าต่างอีกด้านของห้อง ไม้มะค่าเนื้อไม้สีน้ำตาลเข้มขัดจนลื่นมือละมุนไร้เหลี่ยมคม เช่นเดียวกับเก้าอี้ไม้แบบมีพนักพิงเข้าชุดกัน ข้างๆ โต๊ะมีพัดลมตั้งพื้น ใบพัดเป็นโลหะคล้ายทองเหลือง ของเก่าแท้ที่ฉันไม่อาจคาดเดาอายุ แต่ได้รับการดูแลอย่างดี สภาพยังดีมาก มันทำให้ฉันประหลาดใจที่ยังใช้งานได้ดี ปราณว่าเขาเอามันไปชุบชีวิต ให้สามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง แม้มูลค่าการปรับปรุงซ่อมแซมจะแพงกว่ามูลค่าที่แท้จริงของพัดลมไปหลายเท่า

เวลาที่เขานั่งพิมพ์ดีดอยู่ที่โต๊ะ เขามักจะเปิดพัดลมตัวนั้นให้ส่ายไป-มาเบาๆ เส้นผมตัดเรียบร้อยนุ่มสะอาดเป็นลอนเหมือนคลื่นที่ด้านหลังจะไหวน้อยๆ สายลมเอื่อยๆ จะพัดหอบเอากลิ่นกระดาษ ผ้าหมึก และกลิ่นดินสอไม้เหลาใหม่โชยไปทั่วห้องเสมอ เขามักให้เวลาตัวเองเขียนเรื่องราวต่างๆ บันทึกความนึกคิด นิยายรัก นิยายเศร้า หรือเนื้อเพลงที่บินผ่านมาในห้วงความคิดขณะนั้นเหมือนผีเสื้อตัวเล็กๆ

ทุกถ้อยคำของเขางดงามราวบทกวี ทั้งบนหน้ากระดาษ และในน้ำเสียงนุ่มทุ้มต่ำกระซิบบอกรักแผ่วละมุน เขาดูแลเอาใจใส่ ให้เกียรติ เอาอกเอาใจจนฉันรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ในเทพนิยาย

หากเพียงแต่ไม่มีเตียงผู้ป่วยที่คอยส่งกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมาตามเวลาขับถ่าย ที่นี่คงเหมือนสรวงสวรรค์

ใบหน้าของคุณมานพทำให้ฉันผวาทุกครั้งที่บังเอิญหันไปพบเข้า…

 

เราจะรื่นรมย์กับความโรแมนติกของชายหนุ่มรูปงามได้เต็มที่ได้อย่างไร ถ้ามีร่างที่สยดสยองเหมือนซากศพนอนอยู่ใกล้ๆ ฉันเคยได้ยินมาว่า หากจะรักใครสักคน ควรจะรักเขาให้ได้ในทุกด้านของเขา ทั้งแง่ดี แง่ร้าย มืด และสว่าง แต่นี่มันก็เกินที่คาดไว้มากไปหน่อยจนฉันรู้สึกว่าไม่ค่อยยุติธรรม

หลายครั้งที่ฉันคงเผลอแสดงสีหน้าไม่ค่อยดี ปราณจะสังเกตเห็นเสมอ และจูงมือฉันออกไปห่างจากตรงนั้น หรือเพียงแตะที่แก้มเบาๆ ให้ฉันหันมามองหน้าเขา ไม่ไปสนใจที่อื่น

“ผมเข้าใจคุณอลิส ผมรู้ว่าคุณอึดอัดใจ และกำลังอดทนเพื่อผม ขอบคุณมากนะครับ”

ฉันยิ้มเจื่อนๆ แม้ในใจจะเก็บความคับข้องหมองใจไว้เต็มอก ฉันจะไปพูดอะไรอย่างอื่นได้อีกเล่า

ในบางคืน ปราณจะพาฉันหนีความอัดใจนั้นไปที่ห้องอีกห้อง รื้อตู้เสื้อผ้าเก่า สวมชุดเดรสสไตล์ 70 สีหวานแสนสวยให้ฉัน ดูเหมือนเขาช่างคลั่งไคล้ช่วงเวลาและยุคสมัยที่ผ่านมาเนิ่นนานนั้น เราจะเต้นรำกัน ฉันชอบเพลง Fly me to the moon ชอบเวลาที่เขารวบเอวฉันในจังหวะหมุนตัวก่อนอุ้มเหวี่ยงลอยขึ้นไปในอากาศ

ชั่วขณะเวลานั้นเหมือนห้วงเวลาหยุดนิ่ง เราสองหล่นร่วงลงบนจังหวะหนึ่งของห้วงเวลาไร้ขอบเขต เหมือนดวงจันทร์กลายเป็นสิ่งสวยงามในจินตนาการที่ไกลเกินเอื้อมมือคว้า ดวงดาวคือเพชรที่ส่องประกายแพรวพราวงดงามในโลกแห่งความฝัน

ฉันรักจินตนาการ ความอ่อนหวาน อ่อนไหว กิริยาท่าทางสง่างามและแสนสุภาพของเขา ดูเหมือนเราตกหลุมรักกันครั้งแล้วครั้งเล่า เหน็บหนาวและเร่าร้อนยามเริงรัก ฉันชอบมองริมฝีปากที่สั่นระริกของเขาในชั่วขณะเปราะบางตรงจุดสูงสุดของกามหฤหรรษ์ เรากลืนกินกันและกันทั้งกายและจิตวิญญาณอย่างไม่รู้เบื่อ

พยาบาลรับจ้างจะมาคอยเฝ้าคุณมานพเฉพาะช่วงกลางคืน หรือในวันที่เราจำต้องออกไปธุระนอกบ้าน ปราณจึงรับหน้าที่คอยพลิกตัวร่างเหี่ยวแห้งเหมือนผลลูกเกดเก่าๆ นั้นทุกสองชั่วโมง คอย feed อาหารเหลว และเช็ดเนื้อตัวทุกครั้งที่ขับถ่ายของเสีย

และนั่นก็เป็นสิ่งเดียวในบ้านหลังนี้ ที่ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง ไม่อาจเข้าใจได้ว่า เพราะอะไรคนที่มีเหตุผล และมีความคิดความอ่านกว้างไกลอย่างปราณ จึงตัดสินใจที่จะเลือกรักษาชีวิต หรือเรียกให้ถูกคือร่างญาติผู้ใหญ่ที่ไม่มีความหวังว่าจะฟื้นหรือได้สติอีกแล้วมายาวนานขนาดนี้ เงินทองที่ทุ่มลงไปกับการดูแลคุณมานพในช่วงเวลาที่ผ่านมาคงมหาศาลจนฉันจินตนาการไม่ถึง

เขาไม่เคยขอร้อง บังคับ หรือแม้เชื้อเชิญให้ฉันเข้าร่วมช่วยเหลือในการดูแลคุณมานพ แต่ฉันก็มักนั่งมองอยู่ข้างๆ เตียงอย่างทึ่ง และพิศวงสงสัย

ทุกสัมผัสแผ่วเบา อ่อนโยน ทะนุถนอม ค่อยๆ แตะ ค่อยๆ ลูบ บีบนวดกล้ามเนื้อที่แขนและขาอย่างเบามือ เหมือนพ่อที่เฝ้าดูแลทารกน้อย ต่างกันที่ร่างนี้กำลังจะแตกสลายในไม่ช้า และไม่ได้ดูน่ารักน่าเอ็นดู ไม่ได้มีสิ่งไหนที่จะช่วยเป็นความหวังหรือเป็นสิ่งชุบชูใจเหมือนการดูแลเด็กๆ ที่เติบโตผลิบานขึ้นทุกวัน

 

ครั้งหนึ่งขณะที่ปราณกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณมานพ ฉันก็เห็นคุณมานพลืมตาโพลงขึ้น ในดวงตาดำของเขาเต็มไปด้วยฝ้าขาวหนาเป็นจุดๆ แลดูน่าสยดสยองยิ่ง ร่างนั้นกระตุกอย่างแรง ปากอ้าค้าง มือเท้าเกร็งหงิกงอ สั่นกระตุกต่อเนื่องทั้งร่าง

ฉันผงะถอยหลังไปด้วยความตกใจกลัว ในขณะที่ปราณรีบประคองร่างผอมเกร็งนั้นให้ตะแคงข้าง คอยกันไว้ไม่ให้กลิ้งตกจากเตียง

“กดปุ่มตามหมอให้หน่อยครับอลิส” สีหน้าและน้ำเสียงของเขาค่อนข้างราบเรียบอย่างคนที่คุมสติได้ดี หรือเห็นสิ่งเหล่านี้มาจนชาชิน “แจ้งคุณหมอว่าคุณมานพชักอีกแล้ว รบกวนด้วยนะครับ”

คุณหมอเข้ามาที่เตียงหลังจากปราณเช็ดชำระขจัดสิ่งปฏิกูลบนเตียงจนหมดเรียบร้อย และเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้คุณมานพ

ฉันเดินห่างออกจากตรงนั้น พยายามไม่ก้าวก่ายเรื่องอาการของคนที่ปราณรักบูชา แต่ก็ไม่วายได้ยินบทสนทนาตอกย้ำของคุณหมอ ที่ไม่แนะนำให้พยุงชีพคุณมานพอีกต่อไปแล้ว

เสียงฟืด ฟืด เบาๆ ของเครื่องช่วยหายใจ และเสียงเครื่องวัดค่าต่างๆ ที่ดังข้างเตียงคุณมานพ ถูกกลบทับด้วยเสียงเพลง Yesterday once more ที่ดังขึ้นมาจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง

 

ปราณเดินเข้าไปที่ข้างเตียงคุณมานพ ลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ ยกมือเหี่ยวแห้งข้างนั้นมาประคองไว้ในอุ้งมือ พิจารณาผิวหนังที่หลังมือและฝ่ามือข้างนั้นอย่างพิถีพิถันทุกรูขุมขน ก่อนยกขึ้นมาแนบใบหน้าตนเอง

“ฉันรู้ว่าไม่ควรก้าวก่าย แต่ฉันเห็นด้วยกับคุณหมอนะคะปราณ ไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งท่านไว้แบบนี้ ที่เหลืออยู่บนเตียงเป็นเพียงร่างเปล่า ที่ไร้ชีวิตจิตใจและความรู้สึกอะไรแล้ว ไม่ควรให้ร่างกายท่านบอบช้ำมากไปกว่านี้นะคะ”

รอยยิ้มน้อยๆ ของปราณปรากฏจางๆ บนใบหน้า “ผมรู้…ผมเข้าใจว่าคุณคิดและรู้สึกยังไง แต่ร่างกายนี้สำหรับผมไม่ใช่แค่ร่างเปล่า มันเต็มไปด้วยความทรงจำที่ยาวนาน มือข้างนี้เคยปกป้องดูแลผมมาตลอด เคยลูบหน้าผมแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ผมเกิด เติบโต ร่วมชีวิตทั้งชีวิต จนกระทั่งวันที่ผมสมองตาย”

ฉันประหลาดใจที่ไม่เคยรู้เรื่องนั้นเลย “ปราณ คุณเคย… สมองตาย? ด้วยเหรอคะ”

เขาเงยหน้าสบตาฉันเต็มๆ ตา “ใช่ครับ ตอนที่ผมอายุ 96 ตามอายุขัยมนุษย์แล้วนั่นเป็นอายุที่ค่อนข้างยืนยาว เพียงแต่ก่อนหน้านั้น ผมได้ทำบางอย่างเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว”

เสียงหวานละมุนของ Karen Carpenter ดังแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนานั้น

มองย้อนหลังไปยังคืนวันอันผ่านพ้น

มองช่วงเวลาแสนดีที่เคยครอบครองนั้น

ทำให้วันนี้ยิ่งดูหม่นหมองครองเศร้า

หลายสิ่งหลายอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปสิ้นแล้ว

ฉันสะอื้น ในอกวูบโหวง ใจหาย ขณะปลายนิ้วลูบไล้ไปบนรอยคล้ายแผลเย็บที่ด้านหลังใบหูซ้าย ยาวลงมาถึงท้ายทอย ที่บริเวณใต้ปอยผมส่วนท้ายทอยมีรอยต่อเป็นแถบยาวราวสามเซนติเมตรบนผิวเนื้อ เมื่อเลื่อนเปิดออกจึงเห็นคล้ายตัวอักษรและตัวเลขเล็กๆ เรืองแสงขึ้นมา บอกรหัสสินค้าแอนดรอยด์แบบสั่งผลิตพิเศษเฉพาะบุคคล

กลับกลายเป็นว่า ร่างกายของปราณที่ฉันหลงใหลคลั่งไคล้ต่างหากที่เคยเป็นร่างเปล่าในความหมายที่แท้จริง ก่อนที่จะถูกติดตั้งชิพความทรงจำของคุณมานพลงไปจนเสร็จสมบูรณ์

ชิพอัจฉริยะที่เคยฝังไว้ในสมองของมานพ มีประสิทธิภาพดียิ่งกว่าที่ใครๆ คาดไว้ มันไม่ได้เก็บเพียงความทรงจำส่วนที่เป็นข้อมูลทั่วไป แต่มันเก็บแม้กระทั่งรสนิยม นิสัยใจคอ ทัศนคติ และอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ

ปราณไม่ได้มีรสนิยมชอบแฟชั่นหรือเพลงย้อนยุค แต่เพราะนั่นคือยุคสมัยที่แท้จริงของเขา ในตอนที่เขายังใช้ชื่อว่า “มานพ”

“คุณจะนึกไม่ออกเลยว่า คุณจะรักตัวเองได้มากขนาดไหน ในวันที่ไม่มีใคร หรืออะไรที่คุณเคยรัก เคยศรัทธา เคยคลั่งไคล้หลงเหลืออยู่แล้วในโลกนี้ ลูกชายผมเสียชีวิตไปด้วยโรคหัวใจตอนที่แกอายุได้ 75 ปี ส่วนภรรยาผม เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านของเราตอนเธออายุ 82 ญาติพี่น้องหรือคนที่เคยรู้จัก ผู้คนร่วมความทรงจำกันมา ต่างลาจากผมไปสิ้น แม้แต่สถานที่ก็ด้วย โลกที่ผมเคยรู้จักและร่วมห้วงเวลานั้นราวกับไม่เคยมีจริง”

จริงดั่งที่เขาว่า ฉันไม่มีทางนึกออกว่า เมื่อจู่ๆ ฉันตื่นมาในร่างมนุษย์เยาว์วัย ด้วยความทรงจำเดิม ในโลกที่ไม่เหลือสิ่งที่เราเคยผูกพัน มันจะเจ็บปวดเพียงใด

“กลายเป็นเรื่องตลกที่ว่า การจะเลือกจบชีวิตร่างคุณมานพหรือไม่ เป็นสิทธิตามกฎหมายที่ตกมาอยู่กับตัวผมเองเพียงผู้เดียว เพราะญาติพี่น้องคนอื่นๆ เสียชีวิตไปหมดแล้ว แต่เขาเป็นสิ่งเดียวที่ผมเหลืออยู่ในชีวิต ยึดโยงผมไว้กับโลกใบเก่า โลกใบที่จากผมไปนานแล้ว หลักฐานเดียวของโลกใบที่หายไป หลักฐานว่ามันเคยมีอยู่จริง หลักฐานว่าผมมีตัวตนและเคยใช้ชีวิตอย่างไรในช่วงเวลายาวนานนั่น” ปราณยิ้มทั้งที่น้ำตาคลอตา

“การทำใจ ดับลมหายใจของคนคนเดียวที่เป็นหลักฐานการมีอยู่ของจิตวิญญาณผม มันยากกว่าที่คิดมาก อลิส คุณคงเคยมีของสำคัญที่คุณเก็บรักษาติดตัวไว้เป็นความทรงจำถึงใครบางคน หรือช่วงเวลาบางช่วงในอดีต สำหรับผมแล้ว ร่างนี้มีค่าทางความรู้สึกสำหรับผมมากกว่านั้นหลายร้อยเท่า เพราะเขาคือส่วนหนึ่งของตัวตนของผมด้วย”

ฉันพยักหน้า ลากเก้าอี้เข้าไปนั่งที่อีกด้านของเตียง แล้วยกมืออีกข้างขึ้น แนบฝ่ามือของคุณมานพเข้ากับใบหน้าของตัวเอง มองหาความรู้สึกนึกคิดของปราณที่อาจแทรกอยู่ในใบหน้าเหี่ยวแห้งซูบตอบนั้น สะอื้นอีกเมื่อคิดขึ้นมาว่านั่นต่างหากร่างที่แท้จริงของชายที่ฉันรัก

ความสับสนเกาะกุมหัวใจจนสั่นสะท้าน ความเป็นเขาอยู่ที่ไหนกันแน่ ชายที่ฉันรักในร่างปราณ มีชีวิตและจิตใจเช่นเดียวกับมนุษย์หรือเป็นเพียงข้อมูลประมวลผลคล้ายร่างเงา กึ่งจริง กึ่งสังเคราะห์

“ถ้าเราอยู่ด้วยกันนานพอที่ผมจะอยู่ในสภาพเดียวกับคุณมานพ คุณคงไม่ลังเลที่จะปลดปล่อยผม คุณคงไม่อยากให้ผมทรมานจริงไหม” ปราณว่า พลางเอื้อมมือมาลูบผมฉัน

ฉันเม้มปาก ส่ายหน้า น้ำตาขึ้นมาคลอตาเช่นกัน แค่คิด แค่จินตนาการ ฉันก็ยังไม่อยากจะคิดถึงวันเวลาแบบนั้น ฉันจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีปราณ

“ผมเชื่อว่าคุณจะมาเติมเต็มจิตวิญญาณของบ้านหลังนี้ และสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกันกับผมได้ คุณจะพาผมไปสู่ชีวิตใหม่ แต่ด้วยกลไกการป้องกันตัวตามธรรมชาติ ทำให้ผมทำลายร่างตัวเองไม่ได้ แต่คุณทำได้”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่เด็ดเดี่ยว อย่างที่เขาเป็นเสมอ แสงแดดสีส้มทองส่องผ่านหน้าต่างกระทบเส้นผมสีน้ำตาลเข้มและกรอบแว่นตาสีกระดองเต่าเหมือนภาพจากภาพยนตร์รักยุคเก่า ที่ถ่ายทำท่ามกลางแสงแดดยามเย็นทอประกาย และฉันก็กลายเป็นหนึ่งในตัวละครจากภาพยนตร์ชวนฝันเหล่านั้น

“หมอบอกว่า เพียงแต่เครื่องพยุงชีพดับไปสักสองสามนาที คุณมานพก็จะได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตอย่างสมบูรณ์แล้ว คุณแค่กดปุ่มสีเขียวนี่” เขาเดินอ้อมมาหยิบรีโมตตรงเครื่องที่หัวเตียงแล้ววางลงในมือฉัน “ความโหยหาอาลัยแสนทรมานคงระเบิดในใจผม แต่สุดท้ายแล้วผมหวังว่าจะไม่เหลืออะไรตกค้างให้ลำบากใจอีก ทั้งกับคุณ และผม เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์”

“และ…ผมจะเป็นหนี้บุญคุณคุณ”

 

เมื่อปราณออกไปจากห้องแล้ว ฉันชั่งใจอยู่นานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ มารู้ตัวอีกที มือข้างที่กำปุ่มกดนั้นไว้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ปลายเล็บจิกลงไปจนขาวซีด ในขณะที่ร่างบนเตียงลืมตาที่มีแต่ฝ้าขาวเบิกโพลง สั่นกระตุกอย่างแรงยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์

มือเหี่ยวแห้ง ผิวหนังย่นคล้ำ ยกขึ้นในอากาศราวกับพยายามจะไขว่คว้าอยู่ราวสองสามวินาที ก่อนจะตกลงบนที่นอนข้างลำตัว แสงแดดสีทองสุดท้ายส่องกระทบนิ้วมือเหี่ยวแห้งบังเกิดแสงเงาประหลาดบนเนื้อผ้าคล้ายแมงมุมตัวใหญ่ยักษ์ที่กำลังแดดิ้นก่อนสิ้นลม

ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าและสัมผัสของฝ่ามือเยาว์วัยอุ่นร้อนสั่นเทาวางเบาๆ ลงบนบ่า ฉันยกมือนั้นแนบแก้ม ก่อนที่เครื่องพยุงชีพจะส่งเสียงร้องเตือนว่า คนไข้ไม่มีชีพจรแล้ว