เรื่องสั้น : ไซยาไนด์ในเหมืองทอง / บุญญานี จงทวีพรมงคล

เรื่องสั้น

บุญญานี จงทวีพรมงคล

 

ไซยาไนด์ในเหมืองทอง

 

เขตสิบเอ็ดของเดดทาวน์เป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีใครอยากไปเหยียบย่ำ เพราะนอกจากจะเป็นดินแดนแห้งแล้ง มองไปทางไหนก็อุดมไปด้วยภูเขาหินทุกหัวระแหง ยังห่างไกลความเจริญที่ทุนนิยมมิอาจเยื้องกรายไปถึงอีก เรียกได้ว่าไร้ซึ่งสิ่งจรรโลงตาและใจโดยสิ้นเชิง อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ต้นไม้ใบหญ้ายังไม่แตกดอกออกผลแม้แต่ต้นเดียวให้เห็น กระนั้นในความเหี่ยวเฉาของดินแดนเขตนี้ กลับมีโอเอซิสอยู่ตรงจุดกึ่งกลางภูมิศาสตร์อันรายล้อมไปด้วยภูเขา ลึกลงไปในหุบเขาแห่งนั้นอุดมสมบูรณ์อย่างน่าประหลาด ดินทรายกลับกลายเป็นดินร่วน เหมาะสมแก่การเพาะปลูก ไม่ว่าจะปลูกสิ่งใด ล้วนแล้วเติบโตงอกงาม ซ้ำยังมีลำธารไหลผ่านราวกับพระเจ้าจงใจสรรค์สร้างอีกด้วย

ธรรมชาติช่างรังสรรค์ความวิจิตรพิสดารนี้ได้อย่างอัศจรรย์ใจ จึงไม่แปลกหากเขตสิบเอ็ดนี้จะมีผู้อพยพมาอาศัยอยู่ ใช่ มันเกินไปหน่อยหากจะบอกว่าดินแดนนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลย เพราะการที่มีมนุษย์มาลงหลักปักฐาน มันก็เป็นเครื่องหมายยืนยันแล้วว่าเขตสิบเอ็ดไม่ใช่ ‘เดดทาวน์’ สมชื่อเมืองหลักสักเท่าไรนัก

อันที่จริงแล้ว ไม่มีใครสนใจหรอกว่าเขตนี้จะมีผู้คนอาศัยอยู่หรือไม่ หรือแม้กระทั่งคนเหล่านั้นมาจากไหน ต่อให้ไม่เห็นสภาพความเป็นอยู่ ใครต่อใครต่างเดาได้ว่าเป็นพวกเร่ร่อนไร้ที่อยู่ที่รวมตัวมาสร้างชุมชนเล็กๆ ของตัวเองอย่างแน่นอน

 

โนแลนก็เช่นกัน เขาเป็นคนจากเขตอื่น เป็นเขตที่อยู่ด้านในประชิดกับเมืองหลวงเสียด้วย ทว่าหน้าที่การงานในฐานะผู้จัดการทั่วไปของบริษัทเหมืองทองแห่งใหญ่พัดพาให้เขาต้องย้ายถิ่นฐานออกมาอยู่ถึงเขตสิบ เขตนี้ไม่แย่ แต่ไม่ได้ดี ไม่แย่ตรงที่ไม่ได้ไกลปืนเที่ยงชนิดรับไม่ได้ ยังมีสาธารณูปโภคให้ใช้อย่างครบครัน ส่วนไม่ได้ดีคือสัญญาณอินเตอร์เน็ตขาดๆ หายๆ มันทำให้เขาใช้ติดต่องานลำบาก อีกทั้งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนวัยแปดขวบของเขาอย่างโทมัสยังใช้มันเรียนออนไลน์ได้ทุลักทุเลด้วย

แต่หัวเสียไปก็เท่านั้น โนแลนคิดถึงเม็ดเงินที่ได้จากการเป็นผู้จัดการทั่วไปประจำบริษัทเหมืองทองนี้มากกว่า ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ต้องแลก เขาตระหนักดีและจำใส่ใจมาโดยตลอด อยากได้เงินเยอะๆ เอาไว้ใช้จ่าย ดูแลเลี้ยงลูกชายคนเดียวของเขาให้ได้ดิบได้ดีในภายภาคหน้า ย่อมต้องมีมูลค่าที่เขาต้องแลกเปลี่ยนสูง โทมัสไม่รู้หรอกว่าเขาพยายามแค่ไหนที่จะผลักดันให้ลูกชายมีชีวิตที่ดีหลังจากที่ภรรยาเสียชีวิต ทิ้งให้เขาต้องเลี้ยงดูลูกคนเดียว สิ่งที่โทมัสได้รับจากเขานั้นจะต้องดีเลิศที่สุด ไม่ว่ามันจะต้องแลกมากับความเหนื่อยล้าสายตัวแทบขาดของเขาก็ตาม และต่อให้ความดื้อเงียบของเด็กน้อยที่เกิดจากการบังคับเคี่ยวเข็ญจะทำให้ปวดหัวอยู่บ้าง กระนั้นโนแลนกลับเลือกที่จะเมินมองมัน ด้วยรู้ว่าสักวันโทมัสจะเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทุ่มเทลงไปมันดีต่อตัวโทมัสแค่ไหน

โนแลนสวมเสื้อสูท ปล่อยลูกชายให้อยู่กับคอมพิวเตอร์ โดยมีพี่เลี้ยงคอยดูแลใกล้ชิดอย่างเช่นทุกวัน แปลกกว่าปกติไปเล็กน้อยตรงที่วันนี้เขามีประชุมแต่เช้าตรู่ เป็นประชุมที่ชวนปวดหัวน่าดูชม เพราะเขาได้ยินจากคณะบริหารมาคร่าวๆ ว่าผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัทแจ้งมาว่ามีคนงานในเหมืองหลายคนร้องเรียนมาว่าการขุดเหมืองทองช่วงนี้เป็นไปไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร เนื่องจากมีการขัดขวางจากพวกกลุ่มคนในพื้นที่

ไม่พ้นพวกคนเร่ร่อนสวะพวกนั้นนั่นล่ะ โนแลนไม่แปลกใจหากพวกนั้นจะโวยวาย เพราะเหมืองทองเหมืองสำคัญของบริษัทอยู่ตรงจุดภูมิศาสตร์เดียวกับที่คนพวกนั้นอาศัยอยู่ หนำซ้ำยังเป็นเหมืองที่อุดมไปด้วยแร่ทองมากยิ่งกว่าเหมืองอื่นๆ ที่ขุดเจอในเขตนี้เสียอีก

 

เขาตรงมาที่ห้องประชุม ภายในนั้นมีคนอื่นๆ นั่งอยู่ก่อนแล้ว ที่หัวโต๊ะมีประธาน รองประธาน ประธานกรรมการ และอื่นๆ นั่งเรียงรายลดหลั่นตามลำดับตำแหน่งอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

โนแลนทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งของตัวเอง ประเมินสถานการณ์ได้ว่าการประชุมครั้งนี้ไม่ใช่ธรรมดาแน่

“พวกคุณรู้ใช่ไหมว่าผมเรียกมาประชุมทำไม” ประธานบริษัทกล่าวเปิดเมื่อเห็นทุกคนพร้อม “เหมืองทองเหมืองหลักของเรามีปัญหา พวกคนเร่…พวกคนพื้นที่นั่นทำร้ายคนงานของเรา พยายามขับไล่ให้เราออกไป”

เปลี่ยนสรรพนามเมื่อเกือบหลุดเรียกคำไม่น่าพิสมัย โนแลนไม่ใส่ใจนัก นอกจากตั้งใจฟังเท่านั้น

“พวกคุณรู้ไหมว่าคนพวกนั้นอยากจะขับไล่เราทำไม”

ไม่มีใครตอบไปชั่วอึดใจ กระทั่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลเอ่ยขึ้น

“คนที่นั่นบอกว่าสารไซยาไนด์ที่เราใช้ในการระเบิดหินทำให้เกิดฝนกรดค่ะ”

ฝนกรด?

โนแลนย่นคิ้ว และไม่ต้องปริปากถาม ผู้จัดการฝ่ายบุคคลสาวพลันอธิบายต่อแล้ว

“สารไซยาไนด์กับซัลไฟด์เวลาที่ใช้ในการระเบิดหิน มันจะมีปฏิกิริยากับน้ำบนอากาศ ทำให้เกิดฝนกรด พอเกิดฝนกรดตกลงมาก็จะปนเปื้อนดิน น้ำ พืชผัก ทำให้คนที่นั่นล้มป่วย บ้างก็…” เว้นจังหวะไปราวไม่อยากพูด แต่โนแลนเดาได้ว่าเธอหมายถึงอะไร “พอพวกเขารู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร ก็เลยมาขับไล่พวกเรา ไม่อยากให้ทำเหมืองอีก พวกเขาบอกว่าเราไปทำลายพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยของเขาน่ะค่ะ”

ทั้งห้องประชุมต่างเข้าใจกันดี โนแลนเหลือบมองหน้าเหล่าผู้บริหาร ขณะที่พวกเขาเงียบไปอึดใจใหญ่ ก่อนหนึ่งในนั้นจะเปล่งเสียง

“ผมต้องแก้ปัญหานี้ เลยอยากจะถามพวกคุณว่ามีใครอยากเสนอทางแก้อะไรบ้าง”

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ไม่มีใครเสนออะไร ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วสำหรับบริษัทนี้ ไม่มีใครอยากตกงานที่ได้เงินเดือนมหาศาลกันหรอก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนที่มีอำนาจเหนือบริษัทพวกนั้น เขาเป็นเพียงพนักงานตัวเล็กๆ ถึงจะมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการก็เถอะ แต่มันก็แค่ผู้จัดการทั่วไป

“เอาน่าพวกคุณ ใครมีอะไรจะเสนอหรือทักท้วง พูดออกมาได้เลย ที่นี่เราอยู่กันอย่างครอบครัว พวกคุณก็รู้ พูดมาเถอะ ไม่มีใครว่าหรอก”

ยังคงมีความเงียบอบอวลอยู่อีกอึดใจหนึ่ง ก่อนที่ผู้กล้าจะปรากฏตัว

“ผมไม่เห็นด้วยเท่าไรกับการไปทำเหมืองแร่ตรงนั้นครับ ที่คนพื้นที่พูดก็ถูก มันใกล้ลำธารสายหลักเกินไป พวกเขาต้องเอาไว้ใช้ดื่มกิน เพาะปลูก แล้วบางทีเราก็ต้องใช้น้ำจากที่นั่นด้วย ถ้ามีฝนกรดตกลงไป ผมว่าไม่ใช่เรื่องดี”

ผู้ชายคนนี้เป็นผู้จัดการทั่วไปอีกคน โนแลนไม่ค่อยถูกชะตากับเขาหรอก อาจเพราะบุคลิกภายนอกด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือการพูดจาตรงไปตรงมาขวานผ่าซาก ซ้ำยังมีความคิดแปลกๆ หลายอย่างที่ไม่สอดคล้องกับองค์กร ไม่รู้ว่าทำงานมาได้อย่างไรตั้งหลายปี รู้สึกว่าเขาจะชื่อ…

“แล้วคุณจะให้พวกผมทำยังไงจอร์จ”

ชื่อนั้นล่ะ โนแลนเพิ่งนึกออกเมื่อกี้

“ผมว่าเราควรย้ายเหมืองหลักครับ”

“แต่ผมลงทุนกับที่นั่นไปเยอะนะ คุณน่าจะรู้ แล้วมันก็เป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทเราด้วย ถ้าต้องปิดเหมืองลงไป คุณคิดว่าผมจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเงินเดือนพวกคุณกัน” ผู้บริหารอีกคนว่าขึ้นมา

“ผมว่าเราสามารถหารายได้จากเหมืองอื่นได้ อย่างน้อยการปิดเหมืองหลักไปก็เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม”

“แต่ถ้าปิดเหมืองหลักแล้วรายได้ของบริษัทหดหาย ผมอาจจะต้องลดเงินเดือนพวกคุณนะ หรือถ้าบริษัทจ่ายไม่ไหว ก็อาจต้องมีการปลดพนักงาน”

คราวนี้ล่ะเงียบกันทั้งห้องประชุมของจริง โนแลนมองไปรอบๆ สังเกตเห็นสีหน้าและอากัปกิริยาของคนอื่นๆ ที่ดูจะชิงชังจอร์จขึ้นมาได้อย่างเห็นได้ชัด

“งั้นผมว่าเราเปิดโหวตกันดีไหมครับ ทำประชาพิจารณ์ไปด้วย จะได้หาทางออกร่วมกัน”

หมอนี่ควรหยุดได้แล้ว…

โนแลนอดคิดในใจไม่ได้เมื่อเห็นจอร์จยังเสนอความเห็นโง่เง่าออกมาอีก เขาสังเกตเห็นแล้วล่ะว่ามีหลายคนไม่เห็นด้วยจนเริ่มออกอาการ หากแต่ยังไม่ทันจะได้มีใครเสนออะไร ประธานบริษัทกลับตัดสินใจเสียแล้ว

“งั้นตกลงตามนั้น ผมจะให้พวกคุณโหวตแล้วกัน แล้วผมจะได้เอาไปพิจารณากันอีกที”

“เปิดโหวตตอนไหนดีครับ” จอร์จยังถาม

“ตอนนี้เลย”

 

คําสั่งออกมาแล้ว ทุกคนต้องเขียนว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แล้วเอาไปใส่ในกล่องที่เลขาฯ ของผู้บริหารเอามาตั้งรอไว้ โนแลนรับกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสแผ่นพอดีมือมาวาง จรดปลายปากกาลูกลื่นลงไป

‘ไม่มีความเห็น’

ไม่ได้เขียนหรอก เป็นกระดาษเปล่า ทำท่าเป็นเขียนไปอย่างนั้น เพราะโนแลนคิดว่าออกเสียงไป อาจจะเป็นปัญหาได้ เห็นด้วยก็เป็นปัญหากับบริษัท เขาอาจทำให้บรรดาผู้บริหารไม่พอใจ ไม่เห็นด้วยก็เป็นปัญหาเช่นกัน ถ้าเกิดภายภาคหน้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใหญ่โตระดับภาครัฐ เขาจะได้ไม่รู้สึกผิดว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ทำให้เกิดปัญหานั้น ไม่ออกเสียงจะดีที่สุด

เขาพับกระดาษ หยอดลงในกล่อง ประชุมกันต่ออีกเล็กน้อย ก่อนเดินทอดน่องออกมาจากห้องเมื่อการประชุมสิ้นสุดลง เขาอยากไปหากาแฟดื่มที่ห้องพักพนักงานสักหน่อย การประชุมเช้านี้ทำให้เขาปวดหัวอย่างที่คาดการณ์ไว้จริงๆ เสียด้วย

หากแต่ไม่ทันจะได้ยกแก้วกาแฟกระดาษที่เพิ่งกดออกมาจากเครื่องขึ้นดื่ม เขาต้องชะงักเมื่อเห็นจอร์จมายืนกอดอกมองเขาที่ประตู

“มีอะไร” นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้พูดคุยกับผู้ชายคนนี้

จอร์จมองหน้าเขาเขม็งเหมือนเดิม ก่อนจะพูดเมื่อถูกถามซ้ำ

“ผมถามว่ามีอะไร”

“ผมเห็นคุณใส่กระดาษเปล่าลงในกล่องนั่น”

โนแลนเลิกคิ้ว “แอบดูผมเหรอ”

“ไม่ได้แอบดู ผมนั่งอยู่ข้างคุณแล้วบังเอิญตาไวไปหน่อย”

แอบดูนั่นล่ะ

โนแลนตัดสิน ไม่อยากถือสาหรือสั่งสอนหรอกนะว่าการแอบดูการโหวตของคนอื่น นอกจากจะไม่เคารพสิทธิ์ส่วนบุคคลแล้ว ยังผิดกติกาของการโหวตอีกด้วย

“ทำไมคุณไม่ออกความเห็น?” จอร์จยังถามมาอีก

โนแลนยกแก้วกาแฟขึ้นจิบไปอึกหนึ่งก่อนตอบ “เพราะผมไม่มีความเห็น”

“คุณจะไม่มีความเห็นไม่ได้นะโนแลน นี่มันเป็นเรื่องสำคัญ คุณมีสิทธิ์ออกเสียง คุณต้องออกเสียง”

“ก็ผมไม่มีความเห็น คุณจะให้ผมทำยังไง”

“ผมไม่เชื่อว่าคุณจะไม่มีความเห็น คุณก็รู้นี่ว่าอะไรถูกอะไรผิด คุณมีสิทธิ์มีเสียงที่จะเปลี่ยนให้มันดีขึ้น ทำไมคุณถึงไม่…”

“เฮ้ ฟังนะจอร์จ ผมไม่สนหรอกนะว่าใครจะเป็นยังไง ตราบใดที่ผมกับลูกไม่เดือดร้อน ผมก็ไม่มีความเห็นอะไรทั้งนั้น”

ก่อนที่จอร์จจะพูดจบ โนแลนได้สวนคืนกลับไปเสียแล้ว เขาหงุดหงิดเต็มประดา รำคาญด้วย ไม่รู้ว่าจอร์จจะยึดมั่นถือมั่นอะไรนักหนา ตัวเองไม่ได้เดือดร้อนสักหน่อย

“แต่ฝนกรดที่ตกลงมามันตกลงไปในลำธารนั่น แล้วพวกเราก็ใช้น้ำจากลำธาร”

“ไม่ใช่พวกเรา พวกเขา” โนแลนแก้ให้ แน่ล่ะ ‘พวกเขา’ หมายถึงคนที่อยู่ตรงนั้น “พวกเราอยู่เขตสิบ น้ำที่มาจากเขตสิบเป็นน้ำประปาที่ส่งต่อมาจากเขตเก้า คุณก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะใช้น้ำจากเขตสิบเอ็ดที่ระบบการประปาไม่เชื่อมต่อกันอย่างนั้น”

“แต่มันก็เป็นน้ำสำรองนะคุณ เวลาน้ำประปาไม่ไหล เราจะต้องใช้น้ำจากที่นี่”

“ผมทำงานกับบริษัทนี้ อยู่ในเขตสิบมาเกือบสิบปี ไม่เคยมีปรากฏการณ์น้ำไม่ไหลเลยแม้แต่ครั้งเดียว สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของเดดทาวน์ดีจะตายไป ถึงบางอย่างจะติดๆ ขัดๆ ไปบ้างก็เถอะ” ละเว้นเรื่องอินเตอร์เน็ตไว้สักหน่อย เรื่องนี้ต้องยอมรับจริงๆ ว่าไม่ดีเท่าที่ควร แต่เข้าใจได้ว่ายังเป็นเรื่องใหม่ อีกทั้งภูมิศาสตร์ก็เป็นปัญหา ใช้การได้ก็ดีแล้ว

“มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวันได้ใช้ ในเมื่อมันเป็นน้ำสำรอง เราก็อาจจะ…”

“ผมไม่เข้าใจคุณนะจอร์จว่าจะเดือดร้อนแทนพวกคนที่ไม่ได้ทำประโยชน์ให้คุณทำไม คุณเป็นญาติเขาเหรอ” โนแลนหมดความอดทนแล้ว ไม่ได้ถามยียวนนะ เขาถามจริงจัง อยากรู้นักว่าจะไปวุ่นวายกับเรื่องนี้ทำไม

“ที่ต้องเดือดร้อนเพราะมันเป็นเรื่องของทรัพยากร มันกระทบกันเป็นห่วงโซ่ คุณมีการศึกษา คุณน่าจะเข้าใจโดยที่ผมไม่ต้องอธิบาย ผมแค่อยากให้คุณออกเสียง เสียงของคุณมีความหมาย”

“ผมไม่ออกก็เป็นสิทธิ์ของผม คุณบังคับอะไรผมไม่ได้ ที่สำคัญคุณควรรู้ไว้…ประชาธิปไตยไม่ใช่การบีบบังคับ”

 

จอร์จอับจนคำพูด ได้แต่มองโนแลนวางแก้วกาแฟกระแทกลงบนโต๊ะ ไม่สนว่าคนที่เข้ามาทีหลังจะต้องเอาไปทิ้งให้หรือไม่ สะบัดสูทหมายจะจากไปโดยไม่รู้ตัวว่ามีกระดาษบางอย่างร่วงหล่นจากกระเป๋าเสื้อสูทเขา

“คุณทำของหล่นน่ะ” จอร์จร้องเรียก ก้มลงไปเก็บขึ้นมาให้ ก่อนพบว่ากระดาษแผ่นนั้นเป็นรูปถ่ายจากกล้องโพลารอยด์ที่โนแลนถ่ายไว้ในงานวันเกิดครบรอบแปดปีของโทมัสเมื่อเดือนก่อน เด็กน้อยยิ้มร่าเริงสดใสอยู่ด้านหลังเค้กก้อนโตและกล่องของขวัญหลายกล่อง

“ลูกชายเหรอครับ น่ารักดี” ตีความไปอย่างนั้น พอได้ยินมาอยู่ว่าภายหลังจากสูญเสียภรรยา โนแลนก็อยู่กับลูกชายเพียงสองคน

“ครับ” โนแลนรับรูปนั้นกลับคืนมาใส่ในกระเป๋าเสื้อสูท เขาพกรูปลูกชายติดตัวไว้ประจำนั่นล่ะ ไม่ใช่แต่ในเสื้อสูทหรอก พกไว้ทุกที่เท่าที่สายตาเขาจะมองเห็นได้

“คุณคงรักเขามาก” จอร์จว่าอีกครั้ง

เป็นประโยคแรกที่ทำให้คนฟังระบายยิ้มน้อยๆ เรื่องลูกเป็นอะไรที่ทำให้เขาคลายทุกสรรพอารมณ์ลงได้

“ผมตายแทนเขาได้เลย” ว่าเสร็จก็ทำท่าจะเดินออกไป แต่ไม่วายหันกลับมาบอกอีกประโยค “อ้อ ผมจะบอกอะไรคุณอีกสักอย่าง ผมไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องที่คุณบอกผม ไว้ถ้าเดือดร้อน ผมจะมาออกเสียง”

สิ้นเสียงพลันเดินจากไป ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนอยู่ในนั้นตามลำพัง

 

การทำร้ายคนงานเหมืองรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผันผ่าน จากลอบทำร้ายกลายเป็นทำร้ายซึ่งหน้า มีการชุมนุมประท้วงลุกลามจากหน้าเหมืองมาถึงหน้าบริษัท โนแลนได้ยินคร่าวๆ ว่าสารไซยาไนด์ที่ปะปนมากับฝนกรดทำให้ลำธารไม่สามารถดื่มกินหรือแม้กระทั่งใช้เพาะปลูกได้อีกต่อไปแล้ว มันเต็มไปด้วยสารพิษที่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์คนหนึ่งได้ในนาทีเดียวทันทีที่สัมผัสไม่ว่าจะทางไหน ประเมินดูแล้ว การประท้วงนี้ไม่น่าจะยุติลงง่ายๆ ด้วยเพราะพวกผู้บริหารแสร้งลืมไปแล้วว่าเคยมีการให้พนักงานโหวตว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร

เป็นเรื่องของผลประโยชน์ โนแลนรู้ดี ไม่มีใครอยากเสียผลประโยชน์อันน่ารื่นรมย์ของตัวเอง เขาก็เช่นกัน จะสงสารก็เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ต้องทำงานหนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ได้ยินมาว่าเหล่าผู้บริหารไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามายุ่มย่าม เพราะเกรงว่ารัฐจะเห็นด้วยกับพวกคนพื้นที่เหล่านี้ แล้วจะสั่งปิดเหมืองทอง ถ้าเหมืองทองเหมืองนี้โดนสั่งปิด เขาอาจจะต้องถูกลดเงินเดือนตามไปด้วย หรืออย่างแย่ที่สุดก็อาจจะถูกปลดให้พ้นสภาพพนักงานด้วยเหตุผลว่าบริษัทแบกรับภาระความรับผิดชอบไม่ไหวอย่างที่เคยได้ยิน

โนแลนมาทำงานตามปกติ เมินเฉยกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ส่วนจอร์จที่ทวีการทักท้วงมากขึ้นทุกทีจนกลายมาเป็นเสมือนกระบอกเสียงให้กับคนพวกนั้นโดนปลดให้พ้นสภาพพนักงานอย่างไม่ไยดี โนแลนกะไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างจอร์จอยู่ได้ไม่นานหรอก ขัดแข้งขัดขาขนาดนั้น ใครจะไปเอาไว้ เขาคิดไม่ผิดที่ปิดปากเงียบ

เงียบไว้ถ้าตัวเองไม่เดือดร้อนนั่นล่ะดีแล้ว

ทุกวันดำเนินไปราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น โนแลนรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง ส่วนอื่นๆ เขาปิดหูปิดตา แสร้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยิน กระนั้นต้องยอมรับว่าบรรยากาศในที่ทำงานซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิม มันสร้างความเหนื่อยล้าให้เขาเหลือเกิน ทำให้เมื่อกลับถึงบ้าน เขาไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับโทมัสเช่นทุกวัน แม้จะเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เขาก็ไม่อยากทำกิจกรรมใดๆ อยากแต่จะพักผ่อน ถึงโดยปกติแล้วมักจะพาโทมัสไปเล่นน้ำที่น้ำตกเล็กๆ ท้ายหมู่บ้านเป็นประจำก็เถอะ

“พ่อฮะ วันนี้พาผมไปเล่นน้ำได้ไหม”

เสียงเล็กของเด็กน้อยร้องถามขณะผู้เป็นพ่อกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาตัวยาว ความอ่อนล้าซึ่งสั่งสมมาตลอดสัปดาห์ทำเขาหมดพลัง

“ไม่ละทอม วันนี้พ่อเหนื่อย”

“แต่เราสัญญากันแล้ว”

“ไปเล่นอย่างอื่นก่อนไป ไว้เราค่อยไปกันอาทิตย์หน้า” ขอผัดวัน เขาไม่ไหวจะลุกมาทำอะไรที่ใช้พลังกายมากๆ จริงๆ

“แต่พ่อฮะ…”

“อย่าพูดไม่รู้เรื่องทอม พ่อบอกว่าไม่ก็คือไม่” จำต้องดุออกมาจนได้เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยไม่ยอมล่าถอยไปง่ายๆ

โนแลนไม่ค่อยดุลูกหรอก แต่เมื่อดุแล้ว มันหมายถึงว่าเขาเอาจริง และโทมัสมักเกรงในความจริงจังนี้

“ครับ” เด็กน้อยพยักหน้าอย่างจำนน ยอมถอยไปหาพี่เลี้ยงที่ยืนรอรับอยู่หน้าประตูแต่โดยดี

โนแลนมองตามแผ่นหลังเล็ก รู้สึกผิดในใจวูบหนึ่ง ทว่าไม่คิดจะเปลี่ยนคำพูด ถอนหายใจแล้วเอนตัวพิงพนักโซฟาเอกเขนกดังเดิม

 

เขาผล็อยหลับไปทั้งวัน ตื่นมาอีกทีก็เย็นย่ำแล้ว โทมัสหายออกจากบ้านไปตั้งแต่ตอนที่เขาปฏิเสธไม่พาไปเล่นน้ำ แต่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร ลูกคงไปเล่นกับพี่เลี้ยง โทมัสเป็นเด็กที่พลังงานในตัวเยอะ ไม่เล่นจนเหนื่อยล้าชนิดเล่นต่อไม่ไหว จะไม่ยอมเลิกเล่นง่ายๆ

โนแลนตั้งใจว่าจะหาอะไรรองท้องสักหน่อยก่อนรอกินมื้อเย็นพร้อมลูก หากแต่ไม่ทันจะได้ไปที่ครัว เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขาจงใจไม่รับ วันนี้วันหยุดของเขา เขาไม่คุยเรื่องงาน ทว่าพอไม่รับ ก็มีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์บ้านแทน

“สวัสดีครับ” กรอกเสียงลงไป ก่อนจะมีเสียงแหบห้าวดังกลับมา

[คุณโนแลนใช่หรือเปล่าครับ]

“ใช่ครับ นั่นใครน่ะ”

[ผมเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยกู้ภัย มีเรื่องจะแจ้งให้คุณทราบสักหน่อย]

“หน่วยกู้ภัย?” รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ในใจสั่นระรัว ทั้งยังวูบโหวง ใบหน้าของลูกชายลอยวูบเข้ามาในห้วงภวังค์โดยไม่มีสาเหตุ

แล้วเขาก็แทบจะไร้เรี่ยวแรงหยัดยืนเมื่อได้ยินประโยคถัดไปจากปลายสาย

[ลูกชายของคุณกำลังถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลด่วน คุณรีบตามไปที่โรงพยาบาลประจำเขตสิบเดี๋ยวนี้เลย]

 

เสียงเครื่องช่วยหายใจดังระคนกับเสียงเครื่องวัดชีพจร ร่างกายเล็กๆ นอนพังพาบหายใจรวยรินอยู่ในห้องกระจกมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด โนแลนยืนมองลูกชายที่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะด้วยความสงบนิ่ง แต่นั่นเป็นเพียงอากัปกิริยาภายนอก ในใจเขาว้าวุ่นร้อนรน โลกทั้งใบของเขากำลังพังทลายก่อนกลายเป็นเศษซากปรักหักพังอย่างเชื่องช้า คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยชีวิตของโทมัสให้กลับคืนมาเป็นอย่างเดิมดี

ตอนที่เขามาถึงโรงพยาบาล พี่เลี้ยงของโทมัสละล่ำละลักเล่าให้ฟังทั้งน้ำตาว่าเธอพาโทมัสไปเล่นตามที่เด็กน้อยร้องขอ ตอนแรกก็เล่นที่สนามเด็กเล่นกับเด็กคนอื่นๆ แต่โทมัสไม่ค่อยพอใจ เพราะความตั้งใจในวันนี้คือการไปเล่นน้ำที่น้ำตก พอเด็กน้อยเอ่ยปาก ด้วยความสงสารที่โดนเขาปฏิเสธมา เธอจึงพาไปที่นั่น โดยไม่คิดว่าทันทีที่โทมัสหย่อนตัวลงไปในน้ำจนเปียกปอนไปทั้งตัว เขาจะมีอาการชักเฉียบพลัน หัวใจหยุดเต้น และจมน้ำลงไปเพราะหมดสติ ดีที่มีเจ้าหน้าที่อะไรสักอย่างอยู่แถวนั้น เธอจึงร้องขอความช่วยเหลือ ถึงได้พาร่างโทมัสขึ้นมาได้ มารู้ทีหลังว่าเจ้าหน้าที่พวกนั้นเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มาตรวจสอบสารพิษที่ปนเปื้อนในน้ำ มีคนพื้นที่บางคนลอบส่งข้อมูลไปให้ทางการมาตรวจสอบ ตอนนี้บริษัทเหมืองทองตกที่นั่งลำบากแล้ว

แต่นั่นไม่สำคัญอะไรอีก โนแลนเม้มริมฝีปาก สายตายังคงมองนิ่งไปยังร่างของลูกชายที่แน่นิ่งไป แพทย์พยาบาลต่างพากันวิ่งวุ่นเมื่อสัญญาณชีพขาดหายไปอีกระลอก เครื่องปั๊มหัวใจถูกนำมาใช้งาน แต่หาได้มีปฏิกิริยาจากเจ้าของร่างเล็กนั้นเลย ข้างในโวยวายอะไรกันมากแค่ไหน เขาไม่อาจรู้ ในสมองคิดทบทวนไปถึงคำพูดของเพื่อนร่วมงานอย่างจอร์จที่เอ่ยถามเขาในวันนั้น

‘ทำไมคุณไม่ออกความเห็น?’

นั่นสิ ทำไมถึงไม่ออกความเห็น?

จากนั้นเขาก็ได้คำตอบจากประโยคหนึ่งที่เคยเปล่งไป

‘ผมไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องที่คุณบอกผม ไว้ถ้าเดือดร้อน ผมจะมาออกเสียง’

หยดน้ำตาไหลรินอาบใบหน้า พรั่งพรูไม่ต่างจากน้ำตก พลันรู้สึกราวกับร่างของตัวเองลอยหมุนคว้างกลางอากาศโดยไม่มีใครเห็น กระทั่งเขาเองยังไม่อาจรู้ว่าตัวเองจะถูกกระแสธารแห่งความโง่งมนี้พัดพาไปทางไหน ได้แต่ลอยละล่อง ปล่อยให้ถูกความมืดทะมึนดูดจมดิ่งลงไปในห้วงมหรรณพแห่งความสิ้นหวัง จิตวิญญาณแตกร้าวแหลกสลายอย่างมิอาจประกอบกลับคืนได้อีกไม่ว่าจะพยายามรวบรวมแค่ไหน

เขาเดือดร้อนแล้ว เดือดร้อนเข้าเต็มเปา

มันถึงเวลาที่เขาจะรักษาสิทธิ์เสียงของตัวเองหรือยัง?