เรื่องสั้น : จากพี่ชายถึงลูกชาย / ส.เทพรำเพย

เรื่องสั้น / ส.เทพรำเพย

 

จากพี่ชายถึงลูกชาย

 

เสียงเพลง “ดอกไม้จะบาน” ดังลอดออกจากห้องของลูกชายคนเดียวของผม ผมไม่ได้ฟังเพลงนี้นานแล้ว เสียงเพลงช้าๆ ไพเราะพาให้หวนระลึกถึงอดีตในวัยเยาว์

ผมเป็นลูกคนสุดท้องของบ้าน พ่อเป็นทหารยศไม่ได้ใหญ่โต แม่เป็นครู ผมมีพี่ชายหนึ่งและพี่สาวอีกหนึ่ง พ่อกับแม่ตั้งใจมีลูกเพียงสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่งเป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ ไม่คิดจะมีลูกคนที่สาม แต่ผมก็เกิดมาเป็นสมาชิกอีกคนของครอบครัวเหนือที่วาดหวังไว้ แม่ชอบหยอกว่าผมเป็น “ลูกหลง” อายุผมห่างจากพี่สาวลูกคนกลางอยู่ราวหกปี ครอบครัวของเราไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเรื่อยมา

ตอนที่ผมอยู่ชั้นประถมต้นได้เกิดเหตุการณ์รุนแรงอย่างที่ไม่เข้าใจไม่ประสา รู้แต่ว่ามีการต่อสู้และการสูญเสียชีวิตของผู้คน พ่อแทบไม่ได้กลับบ้าน แม่คอยเป็นห่วง แต่ก็ดูแลลูกๆ เป็นอย่างดี ทุกอย่างผ่านพ้นไป สถานการณ์สงบลง แต่มันเหมือนเป็นคลื่นใต้น้ำลูกมหึมาที่สะสมพลังงานรอวันม้วนตัวกลับขึ้นมาใหม่และกวาดทุกสิ่งอย่างที่ขวางอยู่ข้างหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง

สิ่งหนึ่งที่ชื่นชอบคือเพลง ผมได้ฟังเพลงปลุกใจรักชาติมากมาย ได้หัดร้องในห้องเรียนกับเพื่อนๆ โดยไม่ได้รู้สึกถึงความหมายทั้งหมดนอกจากความเร้าใจและความไพเราะของทำนอง บางครั้งครูประจำชั้นแปลความหมายให้ฟัง ทั้งสอนให้นักเรียนรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์

จนผมเรียนชั้นประถมปลาย พี่ชายเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ส่วนพี่สาวเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายในบ้าน เป็นความเคลื่อนไหวที่ก่อตัวเงียบๆ เหมือนคลื่นใต้น้ำลูกเก่าลูกนั้นที่หลบซ่อนอยู่ใต้สมุทรลึกมานานวัน…รอเวลาจะย้อนกลับขึ้นมาถาโถมหนักหน่วงและรุนแรง

ผมรู้ว่าพี่ชายกับพี่สาวสนิทกันมาก อาจจะด้วยอายุที่ห่างกันเพียงสองปี ผมยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจในเรื่องที่เขาคุยกัน บางครั้งก็มีเพื่อนพี่ชายหรือเพื่อนพี่สาวมาที่บ้าน แล้วเข้าไปในห้องของพี่ชาย ปิดประตูเงียบ ทำให้เด็กอย่างผมอยากรู้อยากเห็น ความสอดรู้สอดเห็นของผมทำให้ได้เจอบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาเก็บซ่อนเป็นความลับ โดยเฉพาะหนังสือที่พี่สาวห่อปกด้วยกระดาษสีน้ำตาลหลายเล่ม ผมเปิดพลิกไปมาและเริ่มต้นอ่าน มีทั้งที่เข้าใจและไม่เข้าใจ ส่วนมากจะไม่เข้าใจเสียมากกว่า มันซับซ้อนและเนื้อหายากเกินกว่าเด็กอย่างผมจะเข้าใจได้

พี่สาวเรียนโรงเรียนมัธยมสตรีล้วนที่มีชื่อเสียงพอสมควร บ่ายวันหนึ่งเกิดการประท้วงในโรงเรียน พี่สาวร่วมอยู่ในกลุ่มหัวโจกนั้นด้วย คนที่เป็นผู้นำใช้โทรโข่งร้องเรียกให้เพื่อนๆ และรุ่นน้องลงไปรวมตัวในสนามหน้าโรงเรียน อาจารย์ตกใจและคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น ผู้นำได้พูดถึงสิทธิเสรีภาพของนักเรียนอันพึงมี ไม่ควรมีกฎข้อบังคับเข้มงวดจนเกินไป ตั้งแต่ทรงผมและการแต่งกายที่ออกกฎระเบียบมาเหมือนจะ “ข่มขืนใจ” นักเรียน รุ่นน้องแห่ลงไปรวมตัวกันไม่น้อย จนโรงเรียนต้องปิดเรียน วันรุ่งขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ พอแม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น จึงเรียกลูกสาวไปคุยเงียบๆ กันสองคน ไม่มีเสียงเอ็ดหรือต่อว่าให้ได้ยิน

วันหนึ่งผมเข้าไปรื้อหนังสือที่พี่สาวแอบซ่อนไว้ พี่ชายกับพี่สาวจับได้

“อยากอ่านมากใช่มั้ย” พี่สาวพูดเสียงเข้ม “เอาสิ พี่ให้อ่าน”

“อย่าเลย น้องยังเด็กเกินไป หากเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยเหลือน้องสักคนจะได้อยู่กับพ่อ-แม่” พี่ชายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่ผมไม่เข้าใจในตอนนั้น

 

จากวันนั้นผมไม่กล้าไปวุ่นวายกับหนังสือและเรื่องราวของพี่ๆ อีกเลย นอกจากบางวันที่เพื่อนๆ ของพี่มาหาที่บ้าน ผมได้ยินเสียงเพลงเพราะๆ ดังคลอกีตาร์ลอดออกจากห้องของพี่ชาย โดยเฉพาะเพลง “ดอกไม้จะบาน” และ “เพื่อมวลชน” ช่างไพเราะจับใจ ฟังดูเศร้าสร้อยจนคล้อยตาม ไม่นานผมก็พอจะร้องตามได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพลงเพื่อชีวิต…และเพื่อใคร

ก่อนจะมีเรื่องประท้วงและชุมนุมใหญ่ในมหาวิทยาลัยที่พี่ชายเรียนอยู่ไม่ถึงสัปดาห์ ผมแอบเห็นพี่สาวและเพื่อนมาช่วยเอาหนังสือห่อปกน้ำตาลไปเผาที่หลังบ้าน เห็นใบหน้าของพี่แล้วรู้ทันทีว่าไม่มีความสุขเอาเสียเลย มีแต่ความเครียดและหม่นเศร้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ

แล้วการประท้วงชุมนุมใหญ่ก็เกิดขึ้น พี่ทั้งสองต้องการไปร่วมด้วยกับเพื่อนๆ พ่อจำต้องไปเข้าเวรและไม่ได้กลับบ้านมาหลายวัน แม่ต้องแบกรับหน้าที่ดูแลลูกๆ แต่เพียงลำพัง ขอร้องให้ลูกๆ อยู่บ้าน แต่ไม่อาจห้ามได้ ผมจำภาพวันนั้นได้ดีก่อนที่พี่ๆ จะออกจากบ้านไป บ้านของเราที่เคยมีความสุขและเสียงหัวเราะก็พลันหายไป ผมรู้สึกว่าบรรยากาศอย่างนั้นค่อยๆ เลือนหายไปทีละเล็กทีละน้อยจากวันเป็นเดือนมาชั่วกาลเวลาหนึ่งแล้ว นัยน์ตาของพี่ทั้งสองมองดูเศร้าโศกกว่าทุกครั้ง แต่ก็มีแววมุ่งมั่นซ่อนอยู่ลึกๆ ในนั้น แฝงด้วยความไม่มั่นใจบางอย่าง แม้แต่เด็กอย่างผมก็พอจะเดาได้

“อยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่นะ เป็นลูกที่ดี อย่าดื้อเกเร ตั้งใจเรียนให้ดี” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่พี่ชายพูดกับผมก่อนจะหันไปกอดแม่

ไม่เคยเห็นพี่ๆ จะกอดแม่อย่างวันนั้นเลย ผมที่เด็กกว่ามักจะอ้อนแม่ ยังเข้าไปกอดและหอมแก้มแม่อยู่บ่อยๆ

ไม่เคยคิดเลยว่าพี่ชายกอดแม่ครั้งนั้น…จะเป็นการกอดครั้งสุดท้าย

 

แม่ตามข่าวในโทรทัศน์และหน้าหนังสือพิมพ์หลังจากวันที่แตกหัก…วันที่บ้านเมืองไม่สงบ ผู้คนล้มตายไปและอีกส่วนหนึ่งที่หายไป…หายเข้าป่าไปตามอุดมการณ์อย่างไม่ย่อท้อ แม่ติดตามข่าวลูกทั้งสองอย่างไม่ลดละ ไม่มีข่าวคราว…มันเงียบและว่างเปล่าจนบอกไม่ถูก บ้านของเราเงียบเหงากว่าเคย แรกๆ พ่อก็เงียบไป ทั้งๆ ที่เป็นคนพูดน้อย พ่อแทบจะไม่พูดจา เมื่อเห็นว่าแม่เงียบไปอีกคน พ่อคงสงสารแม่และเป็นห่วง จึงพยายามพูดคุยกับแม่ อยากให้แม่คลายทุกข์โศกและลืมเรื่องราวที่เกิดกับลูกของตัวเองไปบ้าง ผมรู้ว่าหัวใจของแม่ร้องไห้และแตกสลายไม่เป็นชิ้นดี ทั้งเศร้าโศกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม่ไม่เคยปริปากพูดความในใจให้ผมฟังแม้แต่คำเดียว แม่รอคอยการกลับมาของลูกชายลูกสาวทุกวันคืนและทุกเวลาด้วยดวงใจที่แตกร้าวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และบางส่วนก็แตกสลายจนเป็นผุยผงเถ้าธุลี

แม่เงียบและซึมไปกับวันเวลาที่ผ่านไปไม่เคยรอใคร จนเมื่อผมขึ้นเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สิ่งที่ไม่นึกไม่ฝันก็เกิดขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ วันนั้นพี่สาวกลับมาที่บ้าน แม่ร้องไห้ดีใจกอดลูกสาวอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน น้ำหูน้ำตาไหลมาเทมาเหมือนวันที่ฝนตกหนักกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา คืนนั้นแม่นอนกอดลูกสาวคนเดียวตลอดทั้งคืน ไม่อยากให้ไปไหนอีก และกลัวลูกสาวจะหายไปและไม่กลับมาบ้าน ความสุขและความหวังได้กลับคืนมา…แม้เพียงครึ่งเดียว แต่ก็ยังดีกว่าหมดสิ้นเสียทั้งหมด เพราะยังไม่มีข่าวคราวลูกชายคนโตของบ้าน แต่แม่ยังมีกำลังใจและยังมีความหวังว่าสักวันหนึ่งลูกชายจะกลับบ้านมาเหมือนลูกสาวบ้าง

พี่สาวกลับมาเริ่มต้นด้วยการอ่านหนังสือที่ขาดตอนจากโรงเรียนอย่างขยันขันแข็ง แล้วไปสอบเทียบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายก่อนสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องราวและความหลังที่ผ่านไป แม้เธอเองก็ไม่เคยปริปากพูดถึง

ผมอ่านใจไม่ออกว่าพี่สาวนึกคิดอย่างไร ได้เห็นเธอมีแรงขับเคลื่อนในการเรียนและมุมานะเต็มเปี่ยม เหมือนพี่สาวได้ตั้งเป้าหมายหลักและความหวังอยู่ในใจเงียบๆ ทั้งใช้วันเวลาอยู่กับพ่อ-แม่และน้องมากขึ้นกว่าเดิม…เติมเสริมในส่วนที่เคยหายไปกับวันเวลาที่ผ่านพ้นไปไม่อาจย้อนคืนและเรียกกลับมาได้

 

เมื่อผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แม่ยังรอคอยการกลับมาของลูกชายคนโตอย่างไม่ย่อท้อด้วยหัวใจแน่วแน่และแข็งแกร่ง ผมรู้ว่าในใจแม่คิดอย่างมีความหวังว่าจะได้เห็นหน้าลูกชายที่หายไปนาน รอวันแล้ววันเล่าแต่ก็เงียบและว่างเปล่า ขณะที่มีข่าวคราวการกลับบ้านของนักศึกษารุ่นเดียวกับลูกชาย แม่เพียรถามข่าวจากเพื่อนของลูก แต่ไม่เคยได้รับคำตอบที่กระจ่างชัด ไม่มีใครเห็นและพบพี่ชายของผมเลย หรือว่าพี่ชายผมหายตัวได้

ตั้งแต่วันที่พี่ๆ หายไป แม่ใช้เวลาอยู่กับวิทยุมากขึ้น บางครั้งเห็นแม่ปรับเปลี่ยนค้นหาช่องเพื่อฟังข่าวสารเบาๆ คนเดียว จนวันหนึ่งผมได้ยินเสียงเพลงเพราะเศร้าอีกบทเพลงคือ “เดือนเพ็ญ” ซึ่งแม่ฟังอยู่เป็นประจำ…ไม่รู้เบื่อไม่รู้หน่าย แม่จะชอบเพลงนี้หรือไม่…ผมไม่มั่นใจ แต่เคยเห็นแม่ร้องคลอตามเพลงท่อนสุดท้ายที่ว่า “ลมเอยช่วยเป็นสื่อให้ นำรักจากห้วงดวงใจของข้านี้ไปบอกเขานั้นนา ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากลาจะไปซบหน้ากับอกแม่เอย” แม่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยให้ลูกชายกลับไปซบอกดังบทเพลงที่ขับขานอันแสนเศร้าและกินใจ บางคราวน้ำตาของแม่ก็ซึมออกมาอย่างเงียบๆ

จนผมเรียนจบไม่เคยมีข่าวคราวของพี่ชาย พี่สาวได้ทำงานในบริษัทต่างชาติมีชื่อเสียงระดับโลกเป็นที่ยอมรับและรู้จักกันทั่วไป คนมากมายอยากเข้าไปทำงานเพราะมีอนาคตที่ดีและก้าวหน้า เธอเดินทางไปอบรมและดูงานต่างประเทศบ่อยๆ จนแต่งงานกับนักธุรกิจฐานะดี มีครอบครัวอบอุ่น แม่พลอยดีใจกับลูกสาวไปด้วย

…ยินดีกับเส้นทางที่เธอก้าวย่างไปอย่างมั่นคง

 

ระหว่างที่ทำงานผมได้พบเพื่อนพี่สาวที่มาบ้านบ่อยๆ ตอนเป็นนักเรียน เธอบอกว่าผิดหวังในตัวพี่สาวผมมาก…และอีกหลายๆ คนที่เคยมีจุดร่วมเดียวกัน เคยกินกลางดินนอนกลางทรายด้วยกันมา ตอนนี้เธอไม่ได้ติดต่อคนอื่นๆ นานแล้ว…โดยเฉพาะคนที่มีความคิดเดินสวนทางกัน พี่สาวเปลี่ยนไปคนละคนอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นคนไม่มีจุดยืนแน่วแน่ที่มั่นคง เข็มทิศหักพังจนหลงทิศหลงทาง…ไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้ โยนทิ้งอุดมการณ์ที่เคยมีร่วมกันมาจนหมดสิ้น ลืมวันเวลาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไปหมดแล้ว กลายเป็นคนวัตถุนิยม ลืมแม้กระทั่งเพลงเพื่อมวลชนที่เคยไปร้องด้วยกันตามหมู่บ้านในป่าในเขาไกลปืนเที่ยง ในเมื่อต่างคนต่างความคิด…ก็เดินกันคนละทาง ผมได้แต่รับฟัง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอย่างไร และไม่ได้เล่าให้พี่สาวฟังด้วย

จริงอย่างที่เธอว่า…พี่สาวของผมเปลี่ยนไปจากเดิมตั้งแต่วันที่กลับเข้าบ้านหลังจากที่หายไปหลายปี และอีกหลายๆ คนที่เป็นใหญ่เป็นโตมีบทบาทสำคัญทางการเมือง บางคนกลายเป็นนักธุรกิจร่ำรวย บางคนยังออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองยึดมั่นในอุดมการณ์ดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

พ่อจากพวกเราไปแล้วก็ยังไม่มีข่าวพี่ชายจะกลับมา มันเงียบเหมือนคลื่นกระทบฝั่งลูกแล้วลูกเล่า…และก็เงียบหายไปพร้อมๆ กับความหวังที่พังภินท์

แม่ยังชอบฟังเพลงเดือนเพ็ญเรื่อยมา ยังฟังท่อนท้ายของเพลงอย่างไม่เคยเบื่อ จนวันที่แม่ตายจากไปและเผาเก็บกระดูกเอาไปลอยน้ำแล้ว พี่ชายก็ไม่เคยกลับมาซบหน้ากับอกแม่ แม่ไม่เคยลืมลูกชายของแม่ ลูกยังอยู่ในหัวใจของแม่ตลอดมา…คงรอจนลมหายใจและวินาทีสุดท้ายก็ไม่มีแม้แต่เงาของลูกชาย หรือแม่อาจได้พบลูกชายในอีกภพหนึ่งก็เป็นได้ พวกเราไม่เคยมีข่าวคราวของพี่ชายคนโตของบ้าน มันยังอยู่ในใจของผมมาถึงทุกวันนี้

ถึงผมจะแต่งงานมีลูกแล้ว พี่สาวก็ยังติดต่อน้องชายเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยทอดทิ้งผมเลย

วันเวลาที่ผ่านไปกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่ล้มลุกคลุกคลานเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง มันเหมือนระเบิดเวลาที่ถูกวางไว้ยากที่จะหยุดได้ ด้วยกลิ่นหอมหวานของอำนาจชวนยั่วยวนหยอกเย้าให้คนหลงใหลจนก่อเกิดกิเลสตัณหาไม่จบสิ้น อย่างคนที่รู้จักขึ้นและลงไม่เป็น หวังจะครอบครองอำนาจเบ็ดเสร็จ…บ้าคลั่งเผด็จการจนเสียสติ…อยากอยู่ในตำแหน่งให้นานเท่านานหรือตลอดชั่วอายุขัย ในที่สุดเกิดการปฏิวัติ…การยึดอำนาจและรัฐประหาร มีความขัดแย้งและความเห็นต่างเกิดขึ้น จนนำไปสู่การชุมนุม…การประท้วง…การเจรจาเรียกร้องที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้กัน ไม่อาจตกลงกันได้ มีการประจันหน้าจนแตกหัก…การปะทะเดือดกันทั้งสองฝ่ายจนก่อเกิดความรุนแรงและความเสียหายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

พี่สาวไม่เคยออกไปเคลื่อนไหวหรือพูดถึงมันอีก ในขณะที่เพื่อนของพี่สาวยังออกไปวนเวียนเคลื่อนไหวและยึดมั่นในเจตนารมณ์และอุดมการณ์แน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปรผัน ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนของพี่สาวถึงโกรธและตัดเป็นตัดตายไม่เผาผีกับเพื่อนสนิทที่เรียนและลำบากมาด้วยกัน

ไม่เคยคิดว่าวันนี้จะถึงเวลาของลูกชายผมบ้างที่ออกไปร่วมชุมนุมประท้วงขับไล่ผู้นำของประเทศ เขาจะมีอุดมการณ์ยึดมั่นเหมือนพี่ชายผมหรือไม่…ผมไม่แน่ใจ

หรืออาจจะเอาอย่างเพื่อนพ้องชักชวนกันไปตามคนหมู่มาก

หรืออาจจะเป็นค่านิยมของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่มองดูเท่ ไปร่วมสนุกสนานฮาเฮ

หรืออาจถูกใครอยู่เบื้องหลังคอยเสี้ยมสอนล้างสมองและความคิดให้เปลี่ยนไป

ผมไม่อาจรู้ได้ แต่ในใจลึกๆ ยังเชื่อในตัวลูก ผมเลี้ยงและสอนมากับมือของตัวเอง สอนให้รู้จักประชาธิปไตยในบ้านและในโรงเรียนขั้นพื้นฐานที่ควรจะเป็น สอนให้เคารพสิทธิ์ของผู้อื่น ผมจึงควรให้สิทธิ์นั้นกับลูก ในเมื่อลูกเคารพพ่อ ผมก็ควรจะฟังเสียงของเขาบ้างมิใช่หรือ

หนังสือต้องห้ามในสมัยพี่ชายพี่สาวของผมเป็นสิ่งล้าสมัยไปเสียแล้ว คนรุ่นใหม่รับรู้และเสพข้อมูลได้จากสื่อเทคโนโลยีตามสมัยนิยม ไม่ต้องแอบๆ หลบๆ ซ่อนๆ เขาติดต่อกับเพื่อนๆ ออกไปพบปะผ่านทางโทรศัพท์…ผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ มันช่างรวดเร็วทันใจแพร่ไวอย่างกับเชื้อโรค กระจายเป็นวงกว้างและไปไกลกว่ารุ่นพี่ๆ ของผมเสียอีก หากสมัยพี่ชายและพี่สาวมีเครื่องสื่อสารทันสมัยอย่างในวันนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ ผมตั้งคำถามกับตัวเองและคิดไปไกลกว่านั้นอีกมากมาย ภาพและเหตุการณ์ในวันนั้นอาจไม่เกิดขึ้นอย่างที่ผ่านมาก็ได้…และข่าวคราวของพี่ชายอาจไม่เงียบหายและว่างเปล่าจนถึงวันนี้

อดคิดถึงพี่ชายไม่ได้ ยังจำคำพูดที่บอกให้ผมอยู่เป็นเพื่อนกับพ่อกับแม่ น้ำตาก็ไหลออกมาทั้งๆ ที่พยายามกลั้นเอาไว้

 

เพื่อนที่ทำงานมาบ่นให้ฟังว่าลูกสาวเรียนมัธยมวัยเดียวกับลูกชายผมตามเพื่อนออกไปประท้วงมาหลายครั้งแล้ว เขาเป็นห่วงลูก กลัวลูกถูกจับแล้วต้องไปประกันตัว กลัวจะมีเหตุจลาจลวุ่นวายและอาจถูกลูกหลงบาดเจ็บจนถึงขั้นเสียชีวิต เช้าวันนี้เธอมาขอไปร่วมชุมนุมใหญ่ในสัปดาห์หน้า ความโมโหเดือดดาลผุดขึ้นมาทันควันเหมือนไอน้ำร้อนพุ่งออกจากกาน้ำ เขาด่าทอลูกสาวเสียยืดยาวยิ่งกว่ายิงปืนกลรัวจนเธอร้องไห้น้ำตาไหล

ผมได้แต่ฟังเงียบๆ ไม่แสดงความคิดเห็นอะไรทั้งสิ้น ในใจรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายต้องไปร่วมประท้วงกับคนอื่นๆ อย่างแน่นอน ตัดสินใจโทร.คุยกับพี่สาว อยากลองหยั่งเชิงว่าเธอจะพูดอย่างไร

“อย่าไปห้ามเขานะ ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ แล้วเขาจะได้ประสบการณ์ในชีวิต เรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของแต่ละคน ต่างจะประสบและมองไม่เหมือนกัน จำไม่ได้หรือว่าวันที่พี่จะไป แม่เพียงพูดห้าม แต่ไม่ได้บังคับ”

จริงสิ…แม่ไม่ได้บังคับลูกเลย ปล่อยให้ไปทั้งๆ ที่หัวใจปวดร้าว แล้วก็แตกสลายกับการรอคอยลูกชายคนโตที่ไม่เคยกลับบ้าน แม่เคยบอกว่าเลี้ยงลูกได้แต่ตัว แต่หัวใจเป็นของลูกเอง

“เราเลี้ยงเขาได้ แต่เขาก็ตัดสินใจเองได้ การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่เป็นของคนใดคนหนึ่ง ประเทศชาติไม่อาจพัฒนาหรือเดินหน้าไปได้ด้วยคนที่มองเห็นแต่ปัญหาของตัวเอง เราต้องมองปัญหาร่วมกัน คิดไปด้วยกัน พ่อ-แม่อย่างพวกเราก็ต้องเปิดใจรับฟังลูกๆ บ้าง รับฟังคำถามของเขา พร้อมหรือไม่พร้อมจะตอบ แต่ก็ควรรับฟัง ควรให้ลูกได้พูดในสิ่งที่เขาเห็นและเป็นไป ให้ลูกรู้สึกว่าตัวเขาเองก็มีคุณค่า เพียงแต่สอนให้ลูกอย่าล้ำเส้นและละเมิดสิทธิ์ของคนอื่นหรือทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็นับว่าดีแล้ว คอยเป็นพี่เลี้ยงอยู่ข้างๆ แต่อย่าเพาะบ่มสอนความเกลียดชังให้เขา” พี่สาวกล่าวยืดยาวอย่างคนอัดอั้นตันใจ

ผมเห็นด้วยและคล้อยตาม ปกติเราพี่น้องสองคนจะพูดกันไม่มาก แต่วันนี้พี่สาวร่ายยาวเหมือนอยากระบายความในใจออกมาบ้าง

“จนป่านนี้ก็ไม่มีข่าวคราวของพี่ชาย แต่พี่ก็ยังหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลับมาหาพวกเราทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะผ่านมานานมากแล้ว” เสียงพี่สาวอ่อนและเบาลง “ถ้าคนเรายอมรับความเห็นต่าง เปิดใจให้กว้างกว่าที่ผ่านมา ก็คงไม่มีคนตายและลี้ภัย หรือถูกจำคุกและถูกอุ้มฆ่า”

 

วันนัดชุมนุมใหญ่มาถึง ผมรอพบลูกชายก่อนที่เขาจะออกจากบ้าน

“ผมจะไปแล้วพ่อ”

“จะทำอะไรคิดให้ดี พ่อมีขอบเขตในการช่วยเหลือลูก แต่ไม่ใช่ช่วยได้ตลอดเหมือนลูกทำผิดอยู่ในบ้าน จำไว้ให้ดี”

“ครับพ่อ ผมจะไม่ทำให้พ่อเดือดร้อน”

“ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมเตรียมแมสก์ แอลกอฮอล์และร่มกันแดดกันฝนไปด้วย” ผมยังอดเป็นห่วงไม่ได้

ครั้งนี้ลูกชายเดินเข้ามากอดผมแน่น นานแล้วที่เราสองคนพ่อ-ลูกไม่ได้กอดกันอย่างนี้…นานเหลือเกิน ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นตอนที่เขาเรียนชั้นประถมต้น

“ผมรักพ่อครับ” เขากระซิบเสียงเบาข้างหูผม

“พ่อก็รักลูกมากๆ เหมือนกัน”

ผมกระชับวงแขนกอดให้แน่นกว่าเดิมพลางตบแขนของลูกเบาๆ ไม่อยากให้ลูกชายเดินออกจากบ้าน ทำให้คิดถึงแม่…วันนั้นพี่ทั้งสองกอดแม่แน่นก่อนผละจากอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่ไป…เหมือนนกน้อยโผบินไปใฝ่หาเสรีภาพในโลกกว้าง ผมได้แต่ภาวนาขออย่าให้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นกับลูกเลย และหวังว่าคงไม่ต้องมาฟังเพลงเดือนเพ็ญเหมือนอย่างแม่ที่รอลูกชายด้วยหัวใจแตกร้าว

รอวันแล้ววันเล่า…ลูกชายคนโตของแม่ก็ไม่เคยได้กลับบ้าน