เรื่องสั้น : ครั้งเดียวก็เกินสาย / ฉมังฉาย

เรื่องสั้น / ฉมังฉาย

 

 

ครั้งเดียวก็เกินสาย

 

ข้างบ้านผมมีเด็กสาวคนหนึ่งชื่อ “เอมอร” อายุมากกว่าผมสาม-สี่ปี บ้านเธอปลูกง่ายๆ มุงและกั้นสังกะสี แตกต่างจากบ้านผม ซึ่งเป็นบ้านปูนสองชั้นอย่างสิ้นเชิง เอมอรมีน้องสองคน เป็นชายทั้งคู่ เธอกับน้องๆ มีอายุห่างกันมาก เพราะแม่เธอมีผัวใหม่ หลังพ่อเธอตายไปหลายปีแล้ว เอมอรก็เหมือนเด็กชาวบ้านยากจนทั่วไป คือแทบไม่ได้เรียนหนังสือ เธอจบแค่ประถมหนึ่ง ดังนั้น จึงอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้เลย เธอจะขอความช่วยเหลือจากน้องๆ ที่เรียนหนังสือชั้นประถมตอนนี้ หรือบางทีก็วานผมให้ช่วยอ่านนั่นอ่านนี่อยู่เรื่อย หากเทียบกับเด็กสาวทั่วไป เอมอรไม่ได้งามอะไรเลย เฉียดไปทางขี้ริ้วขี้เหร่เสียมากกว่า แต่ด้วยวัยกำดัด ความเปล่งปลั่ง ความมีน้ำมีนวลจึงพราวอยู่เต็มกายที่คล้ำดำ หากเป็นดอกไม้ยามนี้ถือได้ว่านี่เป็นดอกไม้แรกแย้มดอกหนึ่ง และแน่นอนว่าย่อมเป็นที่หมายปองของหมู่ภมรทั้งหลายแหล่

“อีเอมอรมันโง่จะตาย ใครๆ ก็เอามันได้” แม่ผมตีตราอย่างหยามหมิ่น ซึ่งในความจริง คำกล่าวของแม่ไม่ได้เกินเลยความจริง เอมอรเป็นเด็กสาวใจแตก ข่าวว่านอนกับผู้ชายแล้วหลายคน ผมไม่รู้ว่าเธอร่านสวาท หรือว่าเธอขาดความรู้ (ผมไม่อยากใช้คำว่าโง่ตามแม่ เพราะฟังดูรุนแรงเอาการอยู่) กันแน่ ถึงได้ยอมชายเหล่านั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข แม่คงกังวลในเรื่องนี้เป็นแน่ จึงได้ย้ำคิดย้ำทำ และทุกครั้งที่พูด แม่จะกล่าวในเชิงข่มขู่พี่ชายผม “ไอ้นกมึงน่ะ อย่าไปยุ่งกับอีเอมอรเชียวนะ ถ้ารู้กูเฆี่ยนมึงตาย กูละเป็นห่วงจริงๆ ไอ้พวกโง่พอๆ กันเนี่ย มันจะทำให้กูขายหน้าชาวบ้าน”

น่าแปลกใจที่สุด ที่เรื่องนี้แม่ไม่เคยพูดกับผม หรือเป็นเพราะว่าพี่ชายจัดในพวกโง่เง่าเต่าตุ่น จบแค่ชั้นปอสี่ แม่ถึงต้องย้ำนักย้ำหนา ส่วนผมเป็นคนฉลาด เรียนหนังสืออยู่มัธยมปลาย แม่เลยไม่เข้มงวดกวดขันและจะไปเรียนที่กรุงเทพฯ หลังจากนี้ เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเอาเอง เพราะต่อมาได้ยินจากปากแม่ในวันหนึ่งหลังจากพี่ชายเถียงแม่ว่า “ว่าแต่ผม แล้วไอ้วิทย์ล่ะ” “โอย ไอ้วิทย์กูไม่ห่วงหรอก มันมีความรู้ เรียนหนังสือหนังหาสูง เป็นที่สามที่สี่ของห้องเชียวนะมึง” สรุปแม่ไว้ใจผมเกินพิกัด ไม่แม้จะมองผมด้วยสายตาเคลือบแคลงระแวงหรือสงสัย ว่าผมจะก่อความอัปยศอดสูให้เข้าสักวัน ซึ่งนี่เองมันเป็นแรงกดดันต่อผมมาก แม่มักจะฝากความหวังไว้กับผมทุกเรื่อง

“ซวยที่เป็นคนโง่” พี่ชายผมบ่น

 

วันเสาร์นี้แม่ไม่อยู่ พี่ชายผมก็ไม่อยู่ เรามีกันสามคนแม่ลูกเท่านั้นแหละ พ่อผมตายไปห้าหกปีแล้ว ผมนอนดูโทรทัศน์อยู่ภายในบ้าน จอเต้นไหว ภาพไม่ค่อยชัดเท่าใด เสาอากาศปักไกลมาก แต่ถึงอย่างไรก็เลิศแล้ว เพราะมีไม่กี่บ้านในละแวกนี้ ที่จะมีเครื่องโทรทัศน์กัน แถมบางบ้านเป็นขาว-ดำอีกต่างหาก อากาศค่อนข้างร้อน ใกล้เที่ยงวัน ผมไม่ค่อยจะอภิรมย์กับรายการโทรทัศน์ ใจนึกไปถึงเรื่องอื่นมากกว่า ซึ่งรบกวนความรู้สึกนึกคิดผมตลอด และดูเหมือนว่าวันนี้จะรุนแรงเอาการเชียว

ผมพยายามจดจ่อกับจอสี่เหลี่ยม หวังทำลายล้างความรู้สึกอันนั้นเสีย แต่ผ่านไปแป๊บเดียว ผมก็พ่ายแพ้ต่ออำนาจมัน ผมเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ ไม่สนว่าจะเปลืองไฟหรือไม่ ซึ่งถ้าแม่มาพบก็จะว่าผม ถึงแม่จะบ่นเรื่องเปลืองไฟ ผมก็ทำเป็นหูทวนลม ซึ่งมักจะทำบ่อยในหลายเรื่อง ผมออกไปนอกบ้าน เดินไปด้านข้าง ฝั่งบ้านของเอมอร บ้านของเราติดกัน แต่บ้านเอมอรสร้างหลบลึกห่างจากถนนใหญ่มากกว่า ดังนั้น หน้าบ้านของเธอจึงมีพื้นที่กว้างขวางมากกว่าบ้านผม

“เอ้า นั่งอยู่นี่เอง” ผมทักน้องชายของเอมอร เขายิ้ม จากนั้นผมถามหาน้องชายของเขา

“อ๋อ…ไปหาปลากับแม่” เขาตอบ แต่ละครั้งการหาปลาใช้เวลานานมาก ผมถามว่าแล้วทำไมเขาไม่ไปด้วย เขาตอบอย่างเนือยๆ “ขี้คร้าน” ผมรู้สึกผิดหวังที่เขายังอยู่บ้าน วันหยุดอย่างนี้น่าจะไปกับพวกนั้น “แล้วเอมอรล่ะ” ผมถาม ก่อนหน้านี้ผมเห็นเธอเดินอยู่หลังบ้าน

“นอนอยู่ในห้อง” เขาตอบ น้องเอมอรคนนี้เรียนหนังสือชั้นปอสี่ พอได้ยินดังนั้นหัวใจผมเริ่มเต้นเร็ว ผมมองซ้าย-ขวา รอบบ้านเงียบเชียบ ถัดจากบ้านผมไปอีกสี่หลัง เป็นร้านค้าขายของชำ มีคนเดินเข้า-ออกสองสามคน เงียบเหมือนป่าช้า ผมขยับอย่างอึดอัด มันร้อนรุ่มไปหมด ไม่แน่ใจในสิ่งที่จะทำต่อไปนี้ พยายามหักห้ามใจมิให้ถลำลึก แต่ก็ไม่อาจจะคิดเลิกราได้ พยายามคิดเข้าข้างตนเองว่า ช่วงปลอดคนขนาดนี้ไม่มีอีกแล้ว ดังนั้น ถ้าไม่เลือกใช้โอกาสนี้ แล้วจะใช้โอกาสไหนเล่า

“นั่งอยู่หน้าบ้านนี้นะ อย่าลุกไปไหน ถ้าใครมาให้ตะโกนเรียกเลยนะ แล้วเดี๋ยวจะให้เงินสิบบาทกินขนม” ผมสั่งเด็กชาย เขางงงวย แต่ไม่วายพยักหน้ารับรู้ ก่อนผมจะผ่านประตูบ้านของเขาไป ผมพูดย้ำอีกที “อย่าเข้ามาในบ้านนะ ให้ดูคนด้วย หากใครมา เรียกดังๆ เลยนะ ไอ้สุนทร”

ขาสั่นมากขณะที่เดินเข้าไปในบ้านของเอมอร เรี่ยวแรงที่มีอยู่พลันหายไปโข ผมกดน้ำหนักลงบนเท้าทั้งสอง ให้ทุกย่างก้าวมั่นคง ภายในบ้านมืดสลัว เพราะไม่ยอมเปิดหน้าต่างกัน แถมกลิ่นในบ้านก็แสนอับชื้น มันคล้ายกับผมเดินไปสู่โกดังอะไรสักอย่างที่ไม่สะอาด ดังนั้น เมื่อผมสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ เพื่อจะดับความตื่นเต้น ผมจึงเอาแต่อากาศเลวๆ เข้าไปเต็มพิกัด แต่ผมจะสนเรื่องนี้ไปทำไมในยามนี้

“เอมอร” ผมเรียกเบาๆ น้ำเสียงสั่นพร่า คอแห้ง เหมือนคนอดน้ำมาหลายวัน อาการประหม่าทำให้ผมผิดปกติเช่นนั้น “เอมอร” ผมกระซิบเรียกอีก เงียบ นึกฉุนที่เธอไม่ขานรับ หากเรียกดังกว่านี้เกรงว่าใครจะได้ยินเข้า เอ…หรือว่าเธอไม่ได้อยู่ในห้อง แต่น้องชายเธอก็บอกเองว่าเธออยู่ในนั้น

ผมอยากถอยหลังกลับ เดินออกจากบ้านเธอไป ไม่เอาแล้ว ไม่อยากตามใจกิเลสนี้แล้ว แต่พอได้ยินเสียงของเธอขานรับ ความรู้สึกของผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มุ่งมั่นเดินหน้าตามประสงค์เดิม เอมอรออกมาจากห้องนอน ทันทีที่เห็นผมแทนที่จะตกใจหรืออะไรก็ตามที่เป็นอาการชวนสะดุ้ง แต่กลับยิ้มอย่างพึงพอใจ คล้ายรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าทั้งหมด เอมอรใส่เสื้อยืด นุ่งผ้าถุง ผมเผ้ายุ่งนิดหน่อย เธอพยายามใช้มือสางผมให้เข้าที่เข้าทาง ขณะที่เดินออกจากห้อง หน้าอกของเธอไหวกระเพื่อมยวนตา

ผมตัวเย็นวาบ หัวใจเต้นถี่ยิบ “เอมอร” ผมครางชื่อเธอ ไม่เอ่ยอะไรให้มากความ ผมแน่ใจว่าเธอไม่ขัดขืน แต่ผมก็ยังให้สัญญาว่า “เดี๋ยวจะจ่ายให้ยี่สิบบาทนะ” ผมดันเธอกลับเข้าไปในห้อง หมุนตัวเธอกลับ ตอนนี้เธออยู่ในท่าหันหลังให้ ผมสอดมือเข้าไปในเสื้อยืด เลยรู้ว่าเธอไม่ได้ใส่ยกทรง นมเธอแข็งสู้มือ ผมได้ใจนวดเฟ้นหนักมือ หัวใจผมแทบจะระเบิดออกมานอกทรวง มีเวลาไม่มาก ยืดยาดไม่ได้ กลัวว่าใครจะกลับมาเห็นเข้า ผมกดบ่าเธอลงต่ำ ถลกผ้าถุงขึ้นไปค้างไว้ที่สะเอว กางเกงในของเธอถูกผมรูดหล่นไปสู่น่องอย่างรวดเร็ว ส่วนผมนั้นรูดกางเกงขาสั้นพร้อมกับกางเกงในไปค้างไว้ที่โคนขา เข้าประกบก้นเธออย่างไม่รีรอ ไม่มีอาการขัดขืนแต่อย่างใดจากเธอ ถ้าจำไม่ผิดเธอกระดกก้นขึ้นรับด้วยซ้ำขณะที่ผมพยายามรุกล้ำเข้าไปในกายเธอ

เพียงไม่ถึงครึ่งนาที ผมก็ล่มปากอ่าว

 

เป็นเพราะผมล่มปากอ่าวไม่เป็นท่าครั้งแรกกับเธอ ผมจึงไม่สนใจในคำสัญญานั่น ไม่ว่าเธอหรือน้องชายเธอผมไม่จ่ายสามสิบบาทให้ บวกกับไม่เห็นว่าพวกเขาจะทวงเงิน ผมจึงปล่อยเรื่องเงินผ่านเลยไป กล่าวง่ายๆ คือผมตั้งใจเบี้ยวพวกเขาชัดๆ

ผมเฝ้าสังเกต สุนทรนิ่งเงียบ แต่ผมรู้ว่า เขารู้ว่าผมเข้าไปในบ้านเขาทำไมในเวลานั้น ดังนั้น ผมจึงตระหนักได้ว่าผมไว้ใจเขาได้ แต่หากเขาจะแพร่งพรายเรื่องนี้ ก็ง่ายนิดเดียว ผมก็ปฏิเสธไปซี ปากแข็งเข้าไว้ ก็เขาไม่เห็นผมทำอะไรพี่สาวเขานี่ ส่วนเอมอร นี่คือของจริง เธอทำให้ผมหวั่นสะทก กลัวหรือ… กลัวหรือเปล่าที่เธอจะปากโป้ง แน่นอนว่ากลัว…กลัวมากด้วย แต่พอผ่านไปหลายวัน ความหวาดเกรงว่าเรื่องจะแดงขึ้นก็จางคลายไป ผมว่าเธอคงไม่คิดอะไรมากกับการยอมผม มันก็เหมือนกับที่เคยยอมผู้ชายคนอื่นนั่นแหละ ผมกับคนพวกนั้นก็ไม่ต่างกันที่ต่างก็มาระบายความใคร่กับเธอ ผมอาจผิดแผกจากผู้ชายเหล่านั้นอยู่บ้าง ตรงที่ผมไม่เข้าท่า นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ ก็จบเกมแล้ว

ผมคิดผิดถนัด ที่คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะจบสิ้นกัน ไม่เลย ไม่เลยจริงๆ เอมอรมีอาการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากคนที่พูดจากับผมตามปกติ มาบัดนี้มักมองผมด้วยสายตาเยิ้มฉ่ำ แถมบางครั้งมักซ่อนหลบดวงตานั้นด้วยการมองต่ำ เหมือนสาวน้อยโดนเกี้ยวพาน อาการเหล่านี้ทำให้ผมกังวลใจยิ่งยวด

ผมไม่รู้จะปรามเธออย่างไร พูดไปก็จะเข้าข่ายตีตนไปก่อนไข้ ไม่เป็นไรหากเธอจะทำกิริยาท่าทางแบบนั้นกับผมตอนอยู่สองต่อสอง แต่ถ้าเธอทำต่อหน้าแม่ผมล่ะ ตายห่า…เวรเอ้ย เรื่องอาจยุ่งไปกันใหญ่ แต่แล้วความปริวิตกของผมก็หนีไม่พ้นความจริงข้อนั้น เมื่อวันหนึ่งเธอยิ้มอย่างเขินอาย และพูดจากับผมอย่างสนิทสนมมากๆ ต่อหน้าแม่ผม

โอย อยากจะเป็นลม ผมครางในใจ เย็นวาบจากหัวไปสู่ปลายเท้า พยายามชักสีหน้าปรามเธอ แต่ดูว่าเธอไม่ยอมหยุด ผมจะตีสีหน้าข่มต่อไปไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะจับพิรุธได้ ผมวางสีหน้าเรียบปกติ พยายามพูดจากันเช่นที่เคยเป็น แต่คนมันความผิดติดตัว จะให้เก็บอาการได้เนียนๆ ยากอยู่นะ ผมไม่ค่อยเก่งเรื่องนี้เสียด้วย

ผมกลุ้มจัด สุดท้ายลุกหนีจากวงสนทนามาดื้อๆ

 

ผมอยากตบหัวตัวเองที่ขี้เหนียวไม่เข้าเรื่อง ไปเบี้ยวเงินสามสิบบาททำไมก็ไม่รู้ หลายครั้งผมอยากเรียกพวกเขามารับเงิน มันจะได้จบสิ้นกันเสีย แต่มันจะจบสิ้นจริงหรือ ดูพวกเขาไม่ได้สนเรื่องเงิน (ห่า) นั่นด้วยซ้ำ ยิ่งสุนทรเขาใบ้จับ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ ผมขบคิดว่าในยามนี้เงินไม่ใช่ประเด็นใหญ่สำหรับพวกเขาแล้ว ฉะนั้น ผมจะไปสะกิดให้ความจริง (ในวันนั้น) ผุดเด่นชัดขึ้นมาในความทรงจำพวกเขาโดยการหยิบยื่นเงินให้อีกทำไม แต่ถึงผมจะปล่อยเลยเรื่องเงินไป ทว่าผมหนีความจริงไม่พ้น เพราะกาลถัดมาเธอมักทำเป็นหน้าแดงใส่ผมต่อหน้าแม่ผม มักทำเป็นหัวเราะคิกคักใส่ผมต่อหน้าแม่ (ช่างแสดงเก่งเหลือเกิน) หนักข้อคือพูดกระเซ้าแม่ผมว่า หากใครได้เป็นสะใภ้บ้านแม่ผมจะโชคดีมากๆ และที่หนักหนาสุดๆ คือลามปามโดยพูดจาหยอกล้อผมราวกับว่าเราเป็นผัว-เมียกันต่อหน้าแม่ผม แต่พอผมไม่ร่วมแสดงบทบาทนั้นด้วย (แค่ครั้งเดียว จะมาถือเป็นผัวเป็นเมียได้อย่างไร) เธอก็ส่งสายตาประมาณว่า “อย่านะ…อย่านะ ฉันกุมความลับของเธออยู่นะ” มาข่มขวัญผม

ซึ่งได้ผล คือผมเข้าขั้นสะพรึงกลัวเชียวล่ะ คนโง่เง่าไม่มีการศึกษาแบบเธอ ทำอะไรก็ได้หมดแหละ ดังนั้น อีแค่ปากโป้ง บอกว่าผมดอดเข้าไปในบ้านแล้วทำอะไรเธอ ยกพยานมาอ้างก็ยังได้ คือสุนทรเห็นว่าผมเข้าไปจริงในวันนั้น มันจะยากอะไรเล่า

อีนรกนี่ หรือว่า…หรือว่า…ผรุสวาทในใจ ในขณะความเกลียดชังก่อตัวขึ้นอย่างท่วมท้นในใจ

 

“อีเอมอรนี่ สักวันต้องท้องไม่มีพ่อ หรือไม่ก็เป็นโรคตาย เล่นให้ใครต่อใครเอาไม่เลือกหน้าอย่างนี้ อีนี่โง่…อีนี่ร่าน…อีนี่สิ้นคิด” ช่วงหลังผมไม่เข้าใจแม่จริงๆ ว่าทำไมชอบพูดจาเหยียดหยามเอมอรให้ผมฟังถี่ยิบ แม่หวังผลอะไรในการนี้หรือ แต่แน่นอนวาจาของแม่ทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ จนต้องกดข่มหรือเก็บอาการอย่างหนักหน่วง แต่อย่าหวังว่าผมจะแบไต๋นะ อันที่จริงคำว่าใครต่อใครนั้น ผมก็ไม่อาจระบุให้คุณทราบได้ว่ามีจำนวนมากมายขนาดไหน ที่ผมเห็นก็แค่สอง-สามเท่านั้นเองที่มักแวะเวียนมาบ้านเธออย่างจริงจัง สอง-สามคนเท่านั้นจริงๆ และเป็นพวกไม่มีความรู้ด้วย ก็เป็นพวกใช้แรงงานชั้นต่ำนั้นแหละ เออ…ลืมไป มีอีกคน…ไอ้ห่าเอ๋ย ไม่น่าเลยกู ไม่น่ารวมจำนวนกับพวกเขาเลย ผมพยายามสลัดความคิดอุบาทว์ทิ้งไป ไม่สนว่าใครจะไปใครจะมา แต่สิ่งที่สลักสำคัญ คือผมต้องการไถ่ถอนหรือขจัดความยุ่งยากใจออกไปจากใจผมเสีย ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่า วิธีการจะยกความทุกข์ระทมทั้งมวลออกไปให้สิ้นซากนั้น ต้องทำยังไง ไม่มีใครรู้ดีหรอกว่ามันหนักหนาแค่ไหน ถึงผมจะสามารถบรรยายเป็นตัวอักษรได้ก็ตาม คุณก็ไม่รู้ซึ้งหรอก นอกจากว่าต้องมาแบกทุกข์นั้นเอง หนักวันเข้าๆ ไม่เพียงในห้วงเวลาจริงเท่านั้น ในห้วงฝันเอมอรก็รุกไล่เข้าไปคุกคามผมไม่วางเว้น

ผมฝันร้ายบ่อยมาก

 

อีนี่ กูต้องฆ่ามัน ผมประกาศก้องในใจ ไม่มีวิธีไหนแล้วที่จะดับปัญหาของผมได้ นอกจากวิธีการนี้ ขืนปล่อยเนิ่นช้าไปกว่านี้ ผมคงเพี้ยนบ้าเป็นแน่ ผมคิดค้นวิธีการฆาตกรรมเธออยู่หลายวัน และหลายแบบ เอาตามหนังบ้าง คิดเองมั่วๆ บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเอาแบบเนียนๆ ไร้หลักฐานเชื่อมโยงมาสู่ฆาตกร และในที่สุดผมก็พบวิธีการดับชีพของเธอ ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า ผมหัวเราะก้องในใจ

วันนั้นผมเอ่ยปากชักชวนเธอไปยังบ้านร้างหลังหนึ่ง ตรงนั้นมีบ่อน้ำลึก ทันทีที่ผมหลุดปากออกไป เธอทำท่าบิดตัวเอียงอาย คล้ายผัวชวนเมียขึ้นเตียง แน่นอน ผมเดาทางออก ก็เป็นไปตามแผน อีนี่มันร่าน จิตคิดไม่พ้นเรื่องนั้น ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนในกิริยาของเธอ แต่ช่างเถอะ ผมปลอบขวัญตัวเอง ให้เธอเข้าใจว่าผมชวนเธอไปทำเรื่องอย่างว่าไปเถอะ ฮึ่ม ผมคำรามอยู่ในใจ ไม่กี่นาทีข้างหน้าเรื่องราวทั้งหมดก็จะจบสิ้น ละครอุบาทว์จะได้รูดม่านเสียที จะหมดเสี้ยนหนามมาทิ่มตำความรู้สึกของผมแล้ว

ที่บ่อน้ำ ผมพยายามตีสีหน้าหื่นๆ ดันเธอไปหาบ่อน้ำเรื่อยๆ ทุกก้าวย่างนั้น คือการคืบคลานไปสู่ความตาย เอมอรไม่เฉลียวใจสักนิด เพราะคิดว่าผมกำลังจะสมสู่เธอตรงหน้าบ่อน้ำ เมินเสียเถิด กูไม่เอามึงแล้ว คนอะไร (วะ) ความตายอยู่เบื้องหลังแท้ๆ ยังไม่สำเหนียกสำนึก ในสมองมีแต่เรื่องเอากับเอากัน อีนี่ร่านสวาทไม่มีใครเปรียบอย่างที่แม่พูดไม่ผิด ใกล้ปากบ่อ ซึ่งขอบบ่อต่ำเตี้ยเพียงหัวเข่า ผมย่ามใจ รุนเธอไปหาขอบบ่อมรณะอย่างเร็วรี่ เธอพยายามจะเอามือแตะขอบบ่อ แต่ด้วยแรงถลารุนแรง แรงหญิงหรือจะสู้แรงชายได้ ร่างเธอผงะหงายหลังหล่นลงสู่บ่อน้ำ บ่อน้ำซึ่งลึกถึงยี่สิบลูกท่อซีเมนต์

เสียงเธอหวีดร้องก้องบ่อ สนทำไม ไม่มีใครได้ยินอยู่แล้ว และเพียงไม่อีกอึดใจ ภายในบ่อลึกทุกอย่างเงียบสนิท บ่อร้างกลืนกินชีวิตเอมอรเรียบร้อยแล้ว

ผมเดินออกจากที่เกิดเหตุ พลันเจอสุนทร ผมแสร้งทักเขา แต่เขาเงียบไม่สนใจผมเลย แถมสายตาที่มองมาเป็นสายตาที่ไม่ไว้ใจผมด้วย ผมชาวาบทั้งร่างในวินาทีนั้น หายใจติดขัดยิ่งกว่าภาวะหมดอากาศในปอด ผมยิ้มเจื่อนๆ ยืนหยั่งเชิงอยู่ตรงนั้น (เข้าข่ายขวางทางไปบ่อน้ำร้างนั้นด้วย) จนกระทั่งเขาเดินไปบ้านเขา ผมจึงแน่ใจว่าเขาไม่เห็นพี่สาวตกบ่อน้ำ แต่ทว่า…แต่ทว่า…ในวันต่อมาล่ะ เมื่อมีคนพบร่างขึ้นอืดของเธอในบ่อน้ำ สุนทรอาจให้การซัดทอดผมก็ได้ว่าเคยเจอผมที่นี่เวลานี้ แล้วอย่างนี้หลักฐานก็จะถูกเชื่อมโยงมาผูกมัดผม (ผมทิ้งหลักฐานอะไรไว้ในที่เกิดเหตุบ้างนะ) ห่า งานนี้ยุ่งยากแล้วล่ะ เหตุการณ์เข้าตาจนเสียแล้วล่ะ ไม่เพียงแต่เด็กสาวเท่านั้นที่ผมต้องขจัดหรือลบออกไปจากชีวิตผม เด็กผู้ชายคนนี้ผมก็ไม่อาจเว้นได้ ยกเว้นว่า…ยกเว้นว่า…

เฮ้อ แค่คิดก็เหนื่อยฉิบหาย แต่ไม่ใช่ความผิดของผม…ไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อย (โว้ย) ที่เรื่องราวถูกต้อนเข้าสู่มุมอับเช่นนี้ พวกเขาต่างหากที่ทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิงปานนั้น พวกเขานั่นแหละเป็นตัวการทั้งหมด ดังนั้น พวกเขาจึงต้องชดใช้

 

วันเสาร์นี้ไม่มีใครอยู่บ้าน ผมนอนดูโทรทัศน์อยู่ภายในบ้าน อากาศค่อนข้างร้อน ใกล้เที่ยงแล้ว ตอนนั้นผมไม่ค่อยจะอภิรมย์กับโทรทัศน์หรอก ใจผมนึกไปถึงเรื่องอื่นมากกว่า ผมพยายามมีสมาธิจดจ่อกับรายการโทรทัศน์ แต่เวลาผ่านไปแป๊บเดียว ผมก็พ่ายแพ้ต่อมัน ผมเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ ออกไปนอกบ้าน เดินไปด้านข้าง ฝั่งบ้านของเอมอร

“เอ้า นั่งอยู่นี่เอง” ผมทักสุนทร เขายิ้มเป็นมิตรกับผมมาก เด็กชายให้ความเคารพผม ผมถามหาน้องชายเขา “ไปหาปลากับแม่” เขาตอบ

“แล้ว เอมอรล่ะ” ผมถามถึงพี่สาวเขา ก่อนหน้านี้ผมเห็นเธอเดินอยู่หลังบ้าน

“นอนอยู่ในห้อง” เขาตอบ ผมยืนแชเชือนอยู่ตรงนั้นนานโข รอบบ้านมีแต่ความเงียบ มองไปที่ร้านขายของชำมีคนเดินเข้า-ออกสอง-สามคน เสียงโทรทัศน์ในบ้านผมเท่านั้นที่แหวกทำลายความเงียบให้ขาดวิ่น ผมยิ้มให้กับสุนทร แล้วหันกลับเข้าบ้าน

โทรทัศน์ยังเป็นรายการน่าเบื่อ แต่ก็ไม่มีอะไรทำดีกว่านี้อีกแล้วในวันหยุดเรียน

 

ตอนผมเดินไปหลังบ้านในวันนั้น เห็นเอมอรเดินมาจากหลังบ้านเธอ หิ้วถังใบใหญ่มาด้วย “ไปซักผ้ามา” เธอบอก ทั้งที่ไม่ได้ถูกถาม ผมเห็นผ้าเต็มล้นในถัง บ่อน้ำของเธออยู่หลังบ้านเธอ

“จะไปไหน” เธอถาม ผมตอบว่าเดินเล่น ผมตั้งใจจะไปที่บ่อน้ำร้าง เหมือนเธอนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเหลียวหลังไปมองเส้นทางที่เธอเพิ่งจากมา ไม่นานนัก มีคนคนหนึ่งโผล่พ้นแนวพงหญ้ามา

“เอ้า พี่นก” ผมร้องทัก พี่ชายผมยิ้มเจื่อน ท่าทางออกลุกลี้ลุกลนพิกลๆ อยู่ เขาก้าวเท้าผ่านผมไป โดยไม่ยอมโอภาปราศรัยด้วย แต่ลอบมองเอมอรด้วยหางตานิดหนึ่ง

“แปลกเจ้าหมอนี่” ผมบ่นลับหลัง