เรื่องสั้น : เปลวเพลิงที่ไม่อาจดับได้ด้วยฝนนิรันดร์ / กิตติศักดิ์ คงคา

เรื่องสั้น

กิตติศักดิ์ คงคา

 

เปลวเพลิงที่ไม่อาจดับได้ด้วยฝนนิรันดร์

 

ฝนในเมืองนี้ไม่เคยหยุดตกมาเกือบหนึ่งร้อยปีแล้ว

นับตั้งแต่เจ้าเมืองคนใหม่ขึ้นกุมอำนาจ ฝนที่เริ่มต้นพรำในวันครองตำแหน่งก็ไม่เคยหยุดลง หยาดพิรุณปลดปลงราวกับฟ้าจะมืดบอด ตลอดทุกเคหาสน์เต็มไปด้วยความเหน็บหนาว ถนนหนทางเต็มไปด้วยความเฉอะแฉะอย่างไม่มีวันจบสิ้น บางวันฟ้าก็สว่างสาดลงจ้า แต่บางวันก็หาแสงแดดไม่ได้แม้แต่อณูเดียว ในเบื้องแรกชาวเมืองรู้สึกเพียงว่า วสันตฤดูปีนี้ช่างยาวนานกว่าปกติ แต่เมื่อวันต่อวันคืนต่อคืนพัดผ่านไป ใครต่อใครก็เริ่มงึมงำพูดกันในมุมมืด ปฐมบทแห่งกลียุคได้ถือกำเนิดขึ้นเสียแล้ว สมัยก่อนชาวเมืองโหยหาหยาดฝนอันชโลมซึ่งแผ่นดินแบบนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด พืชจะหยั่งรากแตกพันธุ์ บุหงาบุหลันจะชูช่อออกดอก แต่ปีแล้วปีเล่าที่ผ่านไป ใครต่อใครต่างสิ้นหวัง บนท้องฟ้ากว้างไม่มีขอบเมฆยาวสีเงิน

เจ้าเมืองบอกว่าฝนไม่ใช่ปัญหา มันไม่เคยเป็นปัญหา นอกจากผู้ปกครองจะไม่หาวิธีการแก้ปัญหาฝนที่ไม่มีวันหยุดตก หากแต่ยังตีขลุมเอาข้างว่านั่นคือสัญลักษณ์อันแสดงความชอบธรรมแห่งเก้าอี้ผู้ว่าการเมืองด้วย ฝนคือความดีงาม ฝนคือความถูกต้อง เหล่าทหารกล้าพึมพำระหว่างสวนสนามกลางหยาดโซม จากอาณาเขตดินแดนที่ชูเมืองพาณิชย์เป็นเอก การเกษตรเป็นรอง ผู้คนต่างพากันออกมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันหน้ากำแพงหินหนาอันเป็นเขตธาราสำคัญของขอบคู การเกษตรโทรมทรุดลงเป็นอันดับแรก เถือกสวนไร้การพัฒนา มีแต่ว่าจะล้าหลัง

ผู้ครองอำนาจเปลี่ยนนโยบายนิยมเป็นความแข็งแกร่งขึ้นเป็นหนึ่ง งบประมาณถูกเทไปในทางการสร้างป้อมปราการใหญ่ไร้พ่ายต่อเมืองอื่น ภาษีมีแต่ขึ้นกับขึ้น ส่วนการค้ากลับซบเซา เมืองที่เคยอึกทึกด้วยเงินหมุนกลับชะลอท้อถอยไปทุกเมื่อ เผลอชั่วไม่ช้านาน ชาวเมืองก็จนลงอย่างเห็นได้ชัด ทำมาค้าขายแค่พอจะยาไส้ แต่ไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปาก ความสิ้นหวังค่อย ๆ เป็นดั่งมะเร็งร้ายกระจายไปทั่วทุกผู้นาม แต่นั่นก็ไม่มากพอจะสั่นคลอนอำนาจของผู้ปกครองที่อยู่มายาวนานเกือบร้อยปีได้

หยาดฝนที่หลังรดชโลมพื้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงใดที่อยู่หลังกำแพงดิน

 

ท้องฟ้ามืดคล้อยถอยดำตามราตรีวิสัย ชายหนุ่มร่างกายกำยำหนาเปิดประตูเข้ามาในร้านเหล้า แหล่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นแดนซ่องสุมของอบายมุขเดียวในเขตเมือง ถึงแม้ว่าผู้นำเมืองจะชูอัตลักษณ์ความงามบริสุทธิ์ของผู้คนเป็นหลักสำคัญหนึ่งในการปกครอง แต่คูหาเพื่อร่ำสุราแห่งนี้ก็ยังไม่ถูกปิดตายลงไปได้ เสียงกระซิบร่ำลือกันว่า เหล่าเจ้าเมืองทั้งหลายก็โปรดปรานน้ำเมาไม่แพ้กัน การยังสถานที่นี้ไว้จึงเป็นการสร้างช่องทางซื้อสุราโดยทางการไม่ต้องออกตัว

เขาตะโกนสั่งเหล้าหมักราคาถูกจากเจ้าของร้าน ร่างกายของชายหนุ่มทรุดลงนั่งตรงแบบแผงโต๊ะและเก้าอี้เรียงที่หน้าบาร์ยาว กล่องสี่เหลี่ยมแคบตกอยู่ในความเงียบ ดนตรีประหลาดดังคลอร้านไว้ในความอึมครึม ชาวเมืองจำนวนมากนั่งกระจัดกระจายกันอยู่ในร้าน นี่คือวิถีผ่อนคลายหลังทำงานหนัก ปกติต่อสายตาที่จะเห็นชายหนุ่ม-หญิงสาวที่มีผิวกร้านที่นี่หลังจากกรำงานหนัก บทสนทนาเงียบเชียบอย่างไม่มีใครต่อใครคุยซึ่งกันมากนัก ด้านข้างของเขามีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว เพียงชายหนุ่มหย่อนตัวลงนั่ง อีกฝ่ายก็ส่งสายตารังเกียจเดียดฉันท์ก่อนจะลุกจากไป เขาไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยอวัจนภาษาใดอีก เพียงยกแก้วเหล้าที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ขึ้นดื่มจนเกลี้ยงก้น ก่อนจะคว้ากระเป๋าที่ผู้หญิงคนนั้นวางทิ้งไว้แล้วเดินจากไป

เสียงฝีเท้าร่ำเร้าในเงาแห่งความหวาดผวา ชายหนุ่มเร่งเดินดุ่มในความเงียบเพื่อกลับเคหสถานให้ไวที่สุด สายตาระแวงภัยกวาดไกวไปโดยรอบ ลมหายใจระรัวสั้นอย่างจังหวะที่โดนเร่งเร้า เขาหยุดจังหวะเป็นครั้งเป็นครู่เพื่อฟังความผิดปกติในยามมืด ร่างกายเปียกฉ่ำแฉะไม่อาจสัมผัสสิ่งใดนอกจากฝนที่กรำอยู่ชั่วนาตาปีไม่รู้สิ้น เขาอาศัยจังหวะในวูบหนึ่งเลี้ยวเข้าทางลัดเปลี่ยวที่มุ่งตรงสู่ตัวบ้าน ร่างกายของเขาชนสิ่งของที่วางระเกะระกะไปทั่ว ไม่อาจควบคุมสติให้อยู่กับเนื้อตัว ไม่นานเกินห้านาทีได้ เขาก็คว้าลูกกลอนเปิดบ้านหลังน้อยออกพร้อมเร่งแทรกตัวเข้าไป หนึ่งในนั้นไม่ว่างเปล่า ชายในชุดทหารกว่าสิบนายถือปืนไฟจ่อตรงมาที่เขาเป็นหนึ่งเดียว

“ส่งหนังสือเล่มนั้นมา”

 

เสียงตะคอกดุดันดังมาจากเหล่าชายในชุดสีเขียวครึ้ม ฉากหลังของตรงหน้าคือสภาพบ้านของเขาที่ถูกรื้อเอาอย่างเละเทะ ชั้นไม้สูงถูกโค่นถล่มลงมากลางห้อง สารพันหนังสือกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น ชายหนุ่มชูมือทั้งสองขึ้นเป็นเชิงศิโรราบ กระเป๋าสะพายข้างถูกคว้าเอาไปตรวจสอบทันที ผืนผ้าเย็บน้อยถูกฉีกกระชากทึ้งจนขาดไม่เหลือรูป ภายในว่างเปล่าด้วยสิ่งที่ตามหา เศษเหรียญเงินเล็กน้อยตกกระจายลงกับพื้น ดวงตาแววโรจน์ดุดันพร้อมกับกระบอกปืนที่พุ่งตรงมาเสียบเอาที่ปลายคาง คำตะคอกขู่เข็ญผรุสวาทออกมาไม่หยุด เขายิ้มพราย ต่อให้ตาย ริมฝีปากนี้ก็จะไม่แพร่งพรายซึ่งสิ่งใด

บ้านหลังน้อยโชติสว่างขึ้นอีกครั้ง ทหารจุดไฟลุกไหม้เผาหมายให้ไม่เหลือชิ้นดี ถึงแม้ว่าฝนจะตกแบบไม่มีวันสิ้นสุด แต่สุดท้ายเหล่าผู้ครองกฎก็พัฒนาวิธีทำลายรากให้ได้กลายเป็นจุณ ก่อนอื่นคือเริ่มทาผนังด้านใน-นอกด้วยยางไม้เหนียว ทิ้งจนแข็งจึงจุดไฟเผา กว่าฝนที่พรำลงมาจะหยุดเปลวร้อนได้ สถานอันเป็นเป้าก็เหลือเพียงแต่ซากพอดี กองเพลิงหลายต่อหลายกองถูกก่อขึ้นอย่างวนซ้ำ ผู้ครองปราการค่อนขวาของเมืองไม่เคยเฉลยเหตุผลใด ผู้อยู่เบื้องล่างค่อนซ้ายก็ไม่เคยยอมรับว่ามีสิ่งใดปิดบัง

ชาวบ้านออกมามุงดูกันด้วยความเงียบอันแสนเกรี้ยวกราด ปกติการหายตัวไปของประชาชนจะมีเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งมารองรับเสมอ ถึงแม้จะพอเชื่อได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่นั่นก็หมายถึงความมีขื่อแปในขอบคู แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ช่างไม้ขวัญใจคนเมืองหายไปแบบไร้ร่องรอยคำตอบ เจ้าเมืองไม่ตอบแม้กระทั่งเหตุผล กว่าจะรู้ตัวชัด บ้านของเขาก็ป่นเป็นธุลีซาก ลมคว้างกวาดเถ้าถ่านแห่งความสิ้นหวังให้ล่องลอย เหล่าทหารออกเดินลาดตระเวนฝ่าฝนกลับเป็นธรรมชาติ หยาดกายที่เปียกชุ่มไม่อาจสร้างความประทับใจใดแก่ผู้พบเห็นได้อีกแล้ว

เชื้อเพลิงชนิดใหม่ปะทุขึ้นในช่วงเสี้ยววินาทีเดียวกับบ้านที่มอดไหม้ได้ดับลง

 

“ออกไป”

เสียงกระซิบปนหวาดผวาดังขึ้นมาในซีกใดส่วนหนึ่งของตัวเมือง เหล่าผู้คนที่ออกมาออกันอยู่ส่งเสียงงึมงำจนกลายเป็นเสียงอื้ออึงที่แม้แต่หมู่ทหารกล้ายังต้องหยุดฟัง นั่นไม่ใช่เสียงกร้าวเพียงหนึ่งที่เจ้าเมืองผูกขาดใช้แต่ผู้เดียวมาอย่างต่อเนื่อง มันคือผรุสวาท สบถโกรธแค้น ด่าทอสิ้นหวัง ฟาดฟันกันไปมาในมวลอากาศที่เขม็งตึง ฝนยังตกลงมาไม่หยุด แต่เสียงเกรี้ยวก้องดังกว่าหยดน้ำกระทบพื้นดินแล้ว ชาวบ้านพากันออกมาออกันเต็มถนน เสียงฮือครางหึ่งไปตามเส้นทางการเดินของชายชุดสีเขียวขี้ม้า

“ออกไป!”

หญิงคนใดคนหนึ่งกรีดร้องก้องกังวานลั่นมาจากตรอกแคบ ด้วยกระทบสะท้อนสะท้านไปมาตามกำแพงหิน นั่นจึงโกรธเกรี้ยวด้วยโทสะถึงขีดสุด ประชาชนผู้อื่นร้องกระหึ่มขึ้นรับในทันที เหล่าชาวบ้านพากันยกมือขึ้นทุบไปตามกำแพงผนังอย่างอารยะต่อต้าน หมู่ทหารที่มีเพียงหยิบมือเริ่มกระวนกระวายไม่อยู่สุข จวบพอดีกับเสียงตวาดดังขึ้นซ้ำอีกรอบ ทหารขลาดคนหนึ่งก็คว้าปืนชี้ขึ้นสูง ลั่นไกซ้ำสามนัดเป็นสัญญาณ เสียงหวูดจากป้อมปราการโหยหวนรับ กองทัพเพื่อความสงบกรูออกมาจากที่มั่นเข้าควบคุมสถานการณ์

“ต่อให้เผาหนังสือนั่นได้ พวกแกก็ไม่อาจเผาพวกเราทิ้งได้จนหมดอยู่ดี”

ใครคนหนึ่งประกาศกล้าท้าทายในฝูงชน ฟางเส้นน้อยขาดสะบั้น ทหารที่อยู่ไม่ห่างจากเสียงนั่นพุ่งตรงเข้าหมายจับกุม แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กำปั้นต่อกำปั้น หมู่ประชาที่ยืนอออยู่ไม่ยอมถูกกดขี่ฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว พวกเขาพวกหล่อนสู้ยิบตาอย่างหลังชนฝา ทหารที่เหลือรุมเข้าตะลุมบอนทันที ถึงแม้จะมีจำนวนคนมากกว่ามาก

แต่ด้วยอาวุธที่แตกต่าง เสียงกรีดร้องโอดโอยจึงมาจากเหล่าชาวบ้านที่ถูกประทุษร้าย ดั่งก้อนมะเร็งร้าย เมื่อได้เกิดขึ้นก็จะเร่งเติบโต

 

“พวกแกไม่มีวันจะได้หนังสือนั่น”

เสียงอีกฟากหนึ่งของเมืองดังขึ้นไม่ห่างมาก ทหารอีกหมู่หนึ่งกรูเข้าไปในทันที หนึ่งต่อสอง ไล่จนลามเป็นนับไม่ได้ เสียงอื้ออึงดังลั่นจากทุกด้านร้องระงมขึ้นต่อสู้กับเสียงการกดขี่ที่ไม่มีทีท่าจะจบลง ฝนยังคงตกจากฟากฟ้า ราวกับคืนวันนิรันดรจะหมุนเวียนเปลี่ยนซ้ำในห้วงอนธการแห่งชีวิต หมู่คนตาบอดพากันมะงุมมะงาหราหาทางออกจากเขาวงกตแคบ ทุบฟาดต่อตีทุกที่ทุกแดนที่ขวางอยู่เบื้องหน้า ชั่วเพียงไม่ช้านาน เปลวไฟสว่างร้อนก็วูบขึ้นในความมืดสนิท เคหาสน์บ้านเรือนถูกเผาขึ้นซ้ำซากด้วยหวังจะเอาชนะ นั่นคือเชื้อไฟ ชาวบ้านพากันคว้าอาวุธที่พอจะหาได้ลุกขึ้นต่อต้านอย่างไม่มีอะไรจะเสีย กลิ่นดินปืนคลุ้งขึ้นเปิดศักราชแห่งความหวาดกลัว ประชาชนเริ่มล้มตาย ซากศพถูกโยนลงในแดนไฟราวกับประวัติศาสตร์ที่ลบออกได้โดยง่ายด้วยปากกา

มือหนึ่งคว้าหนังสือสีแดงสดขึ้นชูเหนือฝูงชน เหล่าประชาและทหารต่างกรีดร้องราวฝูงผึ้งที่แตกจากรวงรังสิ้น ทหารเลวนายหนึ่งคว้าปืนยิงขึ้นฟ้าต่อเนื่องห้าครั้ง หวูดป้อมปราการขานรับขึ้นอย่างฉับพลัน ธงเมืองมลังเมลืองปลิวสะบัดชั่วจังหวะที่ประตูหอคอยได้เปิดเผยออกมา เจ้าเมืองย่ำเท้าเสียงสนั่นออกจากโลกงาช้าง สีหน้าเรียบตายเด็ดขาดพาเอาชาวบ้านเข็ดขยาดหวาดกลัว บรรยากาศโกลาหลตื่นร้อง หนังสือนั่นถูกหมายตาแล้ว พวกเขาพวกหล่อนพามันหลบหนี มือต่อมือส่งกระดาษเย็บเล่มเร่งฝีเท้าหลบหลีกจากอันตราย

กลิ่นดินปืนฉุนตีตัดฆานประสาท ชีวิตล้วนชีวิตปลิดปลิวลงอย่างไร้ค่า ใครที่ต้องหนังสือนั่นถูกสังหารทิ้งอย่างเลือดเย็น แต่เชื้อไฟแห่งความหวังไม่สิ้นสุด เมื่อลมหายใจหนึ่งดับดิ้น ใครสักคนจะหยิบเล่มขึ้นคว้าวิ่งหนีไปต่อ ราวกับจะเป็นปีศาจที่ถ่ายทอดวิญญาณให้กันด้วยจิตอิสระแห่งความตาย เสียงร้องระงมดังลั่นไปทั่ว ความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำเอาคนเมืองวิ่งแตกหนีอย่างไร้ทิศทาง แต่หนังสือเล่มแดงโดดชัดแม้ฝนยังกระหน่ำซัด ผู้นำอันครองปืนไฟสั่งรัวไกไม่หยุด กลิ่นฟืนไหม้ตีจมูกไปตลอดสองข้างทาง

“ส่งหนังสือเล่มนั้นมา”

เพียงชั่วไม่นาทีผ่าน ต้นสายปลายทางของหนังสือเจ้ากรรมก็จนมุมที่ฝั่งหนึ่งของกำแพงเมืองหน้า เด็กหญิงตัวน้อยกอดกุมกระดาษหนาไว้แนบอก รอยตาฟูมฟายออกมาอย่างขัดขืนต่อสู้ ลำกระบอกปืนเล็งตรงมาอย่างหมายชีวิต

 

“คุณฆ่าฉันไม่ได้” เสียงอุทธรณ์ผรุสวาท

“ทำไมจะฆ่าไม่ได้” ผู้นำกร้าวสวนทันทีทันใด

“คุณคือฉัน ฉันคือคุณ ฉันคือตัวคุณที่อยู่ในคุณเอง คุณจึงฆ่าฉันไม่ได้ เพราะการฆ่าฉันคือการฆ่าคุณ” เจ้าหล่อนกรีดร้องด้วยเสียงแหลมเล็ก มือยังกอดหนังสือเล่มแดงแน่น ชายในชุดสีเขียวทึบเปียกปอนมองนิ่งอย่างไร้หัวใจสิ้น เจ้าเมืองดึงปืนในมือขึ้นตามทิศทางการวิ่งหนีครั้งสุดท้ายของเด็กน้อย นิ้วยาวคว้าลั่นไก ลูกปืนทะลุแผ่นหลังด้านซ้ายทะลุจนหนังสือที่กอดอยู่ด้านหน้าระเบิดปลิว

เด็กหญิงล้มแน่นิ่งดั่งผลส้มที่หลุดออกจากขั้ว ชายผู้นั้นรักษาตัวเอง ความเงียบย่างเยื้องไปที่สมุดเล่มแดงเจ้าปัญหามาถืออยู่ในมือ สมุดสีสดถูกพลิกเปิดออก ในไม่กี่หน้าต้นมีข้อความยาวหนึ่งถูกขีดเส้นใต้ไว้อย่างเด่นชัด เลือดปลายนิ้วป้ายมาจากร่างกายของเด็กหญิง ทาทับลงบนข้อความนั่นด้วยสีอันเป็นหนึ่งเดียว ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

ผู้ถือปืนคว้าปิดสมุดเล่มนั้นและวางไว้บนร่างของเด็กหญิงที่นอนคว่ำหน้า เพลิงแห่งความว่างเปล่าถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ร่างของเจ้าหล่อนค่อยๆ ถูกเปลวร้อนชะล้างความทรงจำทิ้งไปทีละยาม อึดใจหนึ่งนั้น ไฟก็ลุกขึ้นโชติช่วง สมุดเล่มนั้นกับร่างน้อยกลายเป็นเถ้าธุลีผง เปลวไฟจากต้นทางปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ เหย้าเรือนอาศัยโดยรอบต่างทำขึ้นจากไม้ ไฟลุกไหม้อย่างห้ามปรามมิได้

ทะเลเพลิงโหมโชติช่วงขึ้นบนดินแดนแห่งความสิ้นหวัง

 

แผ่นดินประกอบร่างสร้างขึ้นด้วยเชื้อไฟที่ไม่มีวันดับสิ้น แม้แต่หยาดฝนที่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็ไม่อาจชะล้างเปลวเพลิงที่ถูกจุดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกต่อไป เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบ หมู่ผู้คนสูญหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ บ้านเรือนอารยธรรมเก่าค่อยๆ ตกอยู่ในเถ้าถ่านสูงพะเนินอย่างเชื่องช้า ปลาสนาการสิ้นเสียทุกอย่างแล้ว ชายอันเหลืออยู่ผู้เดียวในเมืองร้างค่อยๆ ย่ำฝีเท้าตรงสู่ป้อมปราการสูงที่กำลังถูกล้อมด้วยแดนเพลิง

หลังจากนั้นร่างกายแกร่งก็ไม่เคยเปียกฝน ทะเลเพลิงโหมลุกชะล้างเศษซากเมืองไม่มีหยุด หยาดฝนยังตกลงมาต่อราวกับเป็นคำขออันเป็นนิรันดร์ ทันทีที่ลั่นไกฆ่าเด็กหญิง หน้าอกข้างซ้ายของชายผู้นั้นก็เว้าว่างหายไป เมืองตกอยู่ในความเงียบ ปราศจgากสิ้นไร้เสียแล้วชีวิตในดินแดนแห่งความสิ้นหวัง

เปลวไฟยังลุกไหม้ หยาดฝนก็ยังไม่หยุดพรำ