เรื่องสั้น : เรื่องที่อยากเล่าให้ลูกฟังก่อนนอน (จบ) / จารี จันทราภา

เรื่องสั้น / จารี จันทราภา

 

เรื่องที่อยากเล่าให้ลูกฟังก่อนนอน (จบ)

 

เรื่องที่อยากจะเล่าให้ลูกฟัง เรื่องที่ 4

มีพ่ออยู่คนหนึ่ง เมื่อถึงเวลาอาหารของลูกน้อยตอนเช้า ก็มักจะเตรียมทำไข่กวนผสมกับไก่สับให้ลูกกิน เขาทำเช่นนี้ทุกๆ วัน แม้แต่ระหว่างนั้นก็ชอบเปิดเพลงการ์ตูนที่ซื้อมาจากตลาดนัดให้ลูกน้อยฟัง แม้จะเคยได้ยินมาว่าเด็กๆ ควรฟังเพลงคลาสสิคมากที่สุด เขาจึงดาวน์โหลดเพลงคลาสสิคจากอินเตอร์เน็ตให้ลูกน้อยฟัง แต่ดูเหมือนลูกไม่ใคร่ชอบนักเมื่อเทียบกับเพลงจากการ์ตูน ยามที่ได้ยินเสียงเพลงจากการ์ตูนแม้เพียงท่อนอินโทร ลูกจะยิ้มแย้มและโยกตัวตามทันที เขาจึงเลือกเปิดแต่เพลงจากการ์ตูนให้ลูกฟังอย่างไม่ขาด

เช่นเดียวกันกับทุกสิ่งทุกอย่างหากได้ยินว่าดี ได้ฟังว่าเหมาะ จะมาจากใครหรือเป็นความรู้ที่อ่านพบ เขาจะสรรหามาให้ลูกเสมอ แม้รายได้เพียงน้อยนิดจากการขายข้าวแกงในตอนเช้าจะไม่มากมายพอให้ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย กระนั้นก็ตามทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ เขาก็มาลงที่ลูกก่อนเสมอ คู่ชีวิตเขาจากไปหลังจากลูกลืมตาดูโลกได้เพียงเดือนเดียว

เขาอายุสี่สิบปีแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวผจญโลกมาก็ไม่น้อย พิษเศรษฐกิจในช่วงหลายปีทำให้ต้องลดขนาดร้านลงเหลือคูหาเดียว เลิกลูกจ้าง เหลือขายแค่ก๋วยเตี๋ยวอย่างเดียว พอเกิดพิษไวรัสโควิด-19 ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เขาพยายามปรับตัวด้วยการขายออนไลน์ แต่เมื่อร้านเกิดไฟไหม้ ป้าตายในกองเพลิง ทุกอย่างก็พินาศในข้ามคืน เขากับภรรยาหอบลูกน้อยที่เพิ่งคลอดเช่าห้องเล็กๆ ซื้อรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวไปตามซอกซอยแทน ถึงกระนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกหนักหนาสาหัส แต่เมื่อภรรยาตายจากไป การมีลูกน้อยในวัยนี้และต้องเลี้ยงลูกคนเดียว กลับเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขา ต้องเริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับเด็กทั้งหมด หนังสือหนังหา ปากคำของคนมีลูกมาก่อน แม้แต่ความรู้ทางอินเตอร์เน็ตก็ไม่เคยไม่อ่าน ไม่ฟังหรือมองข้ามเลย ลูกคืออัญมณีของเขา คือแก้วตาดวงใจ ยิ่งคู่ชีวิตจากไปหลังอยู่กินกันได้ไม่นาน ความรักยังหอมหวาน ความทรงจำที่มีต่อกันจึงยังอบอุ่นและงดงามในใจไม่เลือน หลายครั้งที่เปิดเพลงโฮม ของธีร์ ไชยเดช จากแผ่นซีดีที่ได้ซื้อด้วยกัน ขอบตาเขามักจะเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความคิดถึง เขาจะหยิบกล่องบรรจุซีดีลูบคลำไปมา เพราะเป็นความทรงจำที่มีเสียง หลายคราที่เดินผ่านร้านขายต้นไม้ เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเขากับคู่ชีวิตเกือบจะได้ยืนขายต้นไม้ด้วยกัน เพราะเคยวาดฝันอยากจะทำร้านขายต้นไม้ แต่คู่ชีวิตกลับถูกรถชนเสียชีวิตที่หน้าร้านขายต้นไม้ เขาจึงเลี่ยงที่จะผ่านร้าน เพราะเป็นความทรงจำที่มีรสขม

หลายหนที่เห็นชาย-หญิงเดินอุ้มลูกจูงมือด้วยกัน ขอบตาของเขาจะร้อนผะผ่าวและอดสะท้อนใจไม่ได้ ต้องหลบสายตาไม่มอง เพราะเป็นภาพทรงจำที่มีกลิ่นเหม็น

 

ลูกร้อง เขาจึงเดินไปอุ้ม ได้กินแล้วลูก โอ๋ๆ อย่าร้องนะคนดี

จะกินไอติม จะกินไอติม ลูกน้อยร้องบอกด้วยเสียงใสๆ น่าฟังน่าเอ็นดูสำหรับเขามาก ระยะหลังมานี้ลูกชอบกินไอศกรีม ไม่ว่าจะไอศกรีมรสชาติใดลูกชอบกินหมด เขาทั้งเคยเรียกรถสามล้อถีบสั่งไอศกรีมกะทิให้ลูกกิน เคยเรียกรถเครื่องสั่งไอศกรีมในตู้ไม่ว่าจะของยี่ห้อใดเขาก็เคยเรียกหยุดและอุ้มลูกน้อยค้อมตัวมองไปในตู้เลือกรสชาติที่ลูกต้องการกินเสมอ ไม่เคยให้ต้องอด

แต่สัปดาห์มานี้รายจ่ายมากกว่ารายได้ พูดให้ชัดเข้าเดือนที่ผ่านมาหาเงินได้น้อยกว่าที่ควรเป็น ฝนตกยังไม่ทำเนาเท่ารถกระบะที่หักหลบรถคันอื่นมาชนเข้ากับรถเข็นก๋วยเตี๋ยวจนเสียหายต้องซ่อมหมดเงินไปไม่น้อยและอดขายไปหลายวัน เมื่อมาขายอีกครั้งก็เหมือนจะขายได้ไม่ดี ฝนตกทุกเช้าลูกค้าหายหมด หลายวันต้องกินก๋วยเตี๋ยวที่เหลือและให้ลูกได้กินน้ำก๋วยเตี๋ยวแทนข้าวด้วยกันก็หลายมื้อหลายวัน เพิ่งมีมื้อเช้าวันนี้ที่ลูกกลับมาได้กินไข่กวนผสมไก่สับเหมือนเดิม

กินข้าวก่อนนะ เดี๋ยวฝนหยุดตก หนูจะได้กินนะลูก เขาบอกลูกอย่างอ่อนโยน เด็กน้อยทำตามแต่โดยดี

 

ตอนแรกเขาไม่อยากให้ลูกกิน เพราะลูกเพิ่งหายป่วยจากหวัด แต่ในเมื่อเคยสัญญากับลูกว่าเมื่อหายดีแล้วจะให้กินไอศกรีมได้หนึ่งแท่ง เมื่อลูกงอแงขอกินไอศกรีม เสียงลูกพูดแต่คำว่า ไอติม ไอติม สัญญากับหนูแล้วนะ วนเวียนไปมา เขาจึงรู้สึกผิดพอๆ กับเจ็บแปลบขึ้นมา

ตอนที่ตัดสินใจตามใจลูกนั้น เขานึกไปถึงวัยเด็กที่เขาเองขาดแคลนความรักความอบอุ่นจากพ่อจากแม่ ไม่เคยได้กินในชนิดอาหารที่อยากกิน ไม่เคยได้อ้อมกอดที่อยากกอด เขามักจะนึกถึงพ่อกับแม่อุ้มแล้วในมือของตัวเองมีไอศกรีมเสมอๆ ในภาพนั้นเขาจะเลียกินยิ้มแย้ม ปากเลอะไอศกรีม หยอกล้อกับพ่อกับแม่ไปด้วย เขาอดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้เมื่อนึกภาพฝันนี้ขึ้นมา มันเสมือนการหาความชอบธรรมให้กับลูกได้กินไอศกรีมครั้งนี้

ในร้านสะดวกซื้อ จึงถามลูกว่าจะกินรสไหน

ลูกก้มลงไปเลือกมาแท่งหนึ่ง ราคาของมันสี่สิบบาท!

โห แพงไปลูก แพงไป

ก็ไหนบอกหนูว่าจะให้เลือกไง

ก็… เขาพูดได้เพียงเท่านี้แล้วหยุดไว้

มันแพงลูก ตอนนี้พ่อไม่ค่อยมีตังค์ เอาแท่งที่ถูกกว่านี้นะ คนดีนะ คนดีของพ่อ

เขาพยายามก้มลงหอมแก้มลูก ทำท่าเอาใจ ปลอบใจแกสารพัดอย่างไรก็ไม่เป็นผล เด็กน้อยต้องการแต่แท่งราคาสี่สิบบาทท่าเดียว เขารู้สึกหนักกระเป๋าเงิน เหมือนมีก้อนหินอยู่ในกระเป๋าเงินในกระเป๋ากางเกงต้นขา ไม่อยากยกขาก้าวเดินเลย

จะเอาแท่งนี้ จะเอาแท่งนี้ ลูกน้อยร้องโยเยเหมือนเรียกสายตาพนักงานในร้านให้มองมาที่เขากับลูก คนเดินผ่านไปมาก็มอง เขารู้สึกเหมือนตัวหดเล็กอยากเดินออกจากร้าน แต่ลูกก็ยังร้องโยเยบอกความต้องการไม่หยุด

ลูกยังร้องโยเยบอกความต้องการไม่หยุด ลูกยังร้องโยเยบอกความต้องการไม่หยุด

ในที่สุดเขาตัดสินใจให้ลูกได้แท่งที่ต้องการ

เด็กน้อยก้มลงหยิบ แกหยิบไม่พลาด มองแท่งไอศกรีมไม่วางตา

 

เขาวางลูกให้ยืนกับพื้น เด็กน้อยกำแท่งไอศกรีมนั้นอย่างยิ้มแย้ม แกว่งไอศกรีมในมือไปมาอย่างมีความสุข ขณะเขาจ่ายเงินสี่สิบบาทให้พนักงานแล้วก้มลงอุ้มลูกน้อย ก่อนจะแกะซองพลาสติกที่หุ้มห่อออกอย่างช้าๆ มองไอศกรีมแท่งราคาสี่สิบบาทที่เกิดมาก็ไม่เคยกินและไม่เคยคิดจะกิน

ซองพลาสติกค่อยๆ เลื่อนออก เผยให้เห็นเนื้อไอศกรีมอวบหนา ไอเย็นออกจากตัวไอศกรีมโยนตัวไปมา กลิ่นหอมเสียเหลือเกิน รอบแท่งไอศกรีมมีช็อกโกแลตเคลือบ มีถั่วอะไรสักอย่างปะปนในเนื้อช็อกโกแลตที่ห่อหุ้มนั้น ลูกน้อยยื่นมาจะแย่งไอศกรีมในมือ

เดี๋ยวลูก พ่อแกะให้ไง

ลูกจะแย่งอีก เขาบอกลูกเช่นเดิม เดี๋ยวก่อน พ่อแกะให้ไง

ทันใดลูกก็ยื่นมือมาแย่งจากมือพ่อ เขาหลบแต่กลับกลายเป็นว่าปัดไอศกรีมแท่งนั้นหลุดจากมือ เขาเห็นไอศกรีมหลุดจากมือตัวเองพร้อมใจที่หายไปแทบทั้งหมด ไอศกรีมแท่งราคาสี่สิบบาทตกลงบนพื้นหน้าร้าน เหมือนเสียงระเบิดตกลงตูมใหญ่ตามมา เขาไม่เห็นหน้าลูกแล้วเวลานั้น ทั้งโมโหทั้งโกรธ ดุด่าลูกสารพัดท่ามกลางเสียงลูกร้องไห้แทรกมา ทั้งตกใจทั้งไม่เข้าใจ

ยิ่งมีคนเดินผ่านมองมา ยิ่งเหมือนกระตุ้นให้ดุด่าลูกไม่หยุด เมื่อเขาไม่หยุดลูกก็ไม่หยุด

เขาไม่หยุดลูกก็ไม่หยุด! เขาไม่หยุดลูกก็ไม่หยุด!

คนมองเขามากขึ้น เหมือนทุกสายตากำลังจับจ้องเตรียมขม้ำเขาอันเป็นเหยื่อโอชะ เขาพลันโมโหมากขึ้นเมื่อลูกยิ่งร้อง

เขาก้มลงกางมือตีลูก ลูกไม่หยุดร้อง

ลูกยังไม่ยอมหยุด เขาจึงตีลูกอีก ตีลูกครั้งแล้วครั้งเล่า!!

 

เงินสี่สิบบาทหายไป ไอศกรีมแท่งราคาสี่สิบบาทตกลงบนพื้นสกปรกจากพื้นรองเท้าของคนนับไม่ถ้วน เงินสี่สิบบาทหายไป เขาบอกตัวเอง เสียดาย กว่าจะหามาได้แต่ละบาท เขาบอกตัวเองอีก ย้ำอีกหลายครั้ง ทันใดนั้นเองเขาก็ร้องถามตัวเองว่า กับเงินแค่สี่สิบบาททำไมมีค่ามากมายนักนะ ทำให้ต้องรู้สึกเจ็บ ทำให้ต้องคิดมากมายขนาดนี้ นาทีนั้นทุกอย่างพลันแปรเปลี่ยนเป็นความโมโหและโกรธตัวเอง!

เขาโมโหและโกรธตัวเอง! เขาโมโหและโกรธตัวเอง!

ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาร้องไห้และดุด่าลูก

เขาร้องไห้และดุด่าลูก…

ทั้งหมดเป็นเรื่องราวพ่ออยากเล่า แต่สุดท้ายพ่อก็ไม่เคยได้เล่าให้ลูกฟัง”

 

ตอนท้ายของบทภาพยนตร์ ผมจะเขียนว่า เป็นภาพรถกระบะที่มีต้นไม้ในกระถางอยู่ด้านใน มีต้นไม้ในถุงชำต้นไม้สีดำ ทั้งต้นเล็กใหญ่วางอยู่ถัดมา เมื่อประตูฝั่งคนขับเปิดออก ผู้ชายในรถลงมาเจรจากับคนซื้อ กล้องจับภาพรถกระบะทั้งคันในมุมกว้าง ผู้ชายคนนั้นอยู่มุมหนึ่งของกล้อง กำลังรับส่งเงินกับลูกค้า

จากภาพที่แช่กล้องไว้ที่ตัวรถกระบะ เผยให้เห็นรถที่ด้านข้างคนขับมีแต่ตุ๊กตาตัวใหญ่ตัวหนึ่งวางอยู่บนผ้าห่มนวมผืนใหญ่ ตัวกล้องค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปจนเห็นตุ๊กตาเต็มเฟรม แล้วกล้องก็เคลื่อนถอยออกห่างแทนดวงตาคนมอง จนเห็นตุ๊กตาเป็นจุดเล็กๆ

ภาพตัดมาเป็นภาพผู้ชายคนหนึ่งก้าวเข้านั่งในตำแหน่งคนขับ แล้วรถก็เคลื่อนไปข้างหน้า โดยภาพยังคงแช่นิ่งไว้จนเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวด้านหลังแทนที่ เห็นโปสเตอร์หาเสียงของนักการเมืองท้องถิ่น คนถีบจักรยานขายล็อตเตอรี่พลางตะโกน “พรุ่งนี้รวย พรุ่งนี้รวย”

แล้วภาพก็ตัดมาเป็นภาพพื้นดำ มีคำว่า เมืองไทย 2564 ด้วยฟอนต์ TH sarabunPSK

ก่อนจะขึ้นเครดิตภาพยนตร์

ผมจะเขียนให้ออกมาอย่างนี้…