เรื่องสั้น : เรื่องที่อยากเล่าให้ลูกฟังก่อนนอน (1) / จารี จันทราภา

เรื่องสั้น / จารี จันทราภา

 

เรื่องที่อยากเล่าให้ลูกฟังก่อนนอน (1)

 

ผมเคยคิดนะ คิดว่าจะเขียนบทภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อคนหนึ่งที่อยากเล่าเรื่องหลายเรื่องให้ลูกสาวฟังก่อนนอน

บทภาพยนตร์ที่ว่า ผมจะเขียนในทำนองนี้ โดยเริ่มต้นด้วยเสียงบรรยายเปิดเรื่องว่า

“ลูกสาวผมอายุ 7 ขวบ เธอชอบให้ผมเล่าเรื่องอะไรก็ได้ให้ฟังก่อน ไม่ว่าจะเป็นนิทานหรือเรื่องราวอะไรก็ได้ หนังสือนิทานในบ้านจำนวนหลายร้อยเล่มที่ผมเล่าไปแล้ว แต่ละเล่มก็วนเวียนเล่าซ้ำหลายสิบรอบ แต่มีเรื่องเล่าจำนวนหนึ่งที่ผมอยากเล่าแต่ก็ไม่เคยเล่าให้ลูกฟังเสียที

เรื่องราวเป็นเช่นนี้…

 

เรื่องแรก…

มีผู้ชายคนหนึ่งชื่อย้ง ย้งเป็นคนตื่นแต่เช้า เวลาตื่นนอนแทบทุกวันตามปกติหากไม่มีธุระอย่างอื่นก็คือตอนตีสี่ เมื่อลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟัน เสร็จธุระส่วนตัวแล้วก็ออกจากบ้าน เดินไปจ่ายตลาด กลับมาล้างเนื้อหมู พร้อมตั้งเตาสองเตา เตาหนึ่งต้มน้ำซุปกระดูกหมูหม้อใหญ่ อีกเตาเตรียมน้ำให้เดือดไว้ลวกลูกชิ้น ก่อนจะหันไปล้างเนื้อหมูแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ลวกลูกชิ้นหมูใส่ไว้ในหม้อ แล้วยกทั้งลูกชิ้นและชิ้นเนื้อหมูไปเทกองมุมหนึ่งในตู้ไม้หน้าบ้าน พร้อมกับแกะห่อเส้นเล็กเส้นใหญ่ออกจากห่อนำไปวางอีกมุมของตู้ไม้ จัดการหั่นผักชีกับขึ้นฉ่ายจนเสร็จ แล้วจัดขวดซีอิ๊วขาว, โถน้ำตาลให้เข้าที่ ยกชามตราไก่ออกจากครัวมาวางซ้อนกันจนสูงสองสามกอง ฯลฯ ทั้งหมดนี้ก็คือการเตรียมร้านขายก๋วยเตี๋ยวหมูของเฮียย้งในทุกๆ เช้า

ร้านแกเปิดตั้งแต่หกโมงเช้า ทุกๆ วันหลังเปิดร้านก็จะมีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งอายุประมาณเจ็ดขวบ กำเงินสองบาทสั่งเส้นเล็กหมูบะช่อหนึ่งชามรับประทานก่อนไปโรงเรียนแทบทุกวัน นั่นคืออาหารเช้าของหนูน้อยคนนั้น

จากนั้นราวเจ็ดโมงเช้า เฮียย้งจะข้ามถนนที่อัดแน่นด้วยดิน (หน้าฝนทีไรแกต้องหาถุงกระสอบมาไว้ให้ลูกค้าเช็ดรองเท้าก่อนเข้าร้าน) ข้ามไปซื้อปาท่องโก๋จากรถเข็นริมคลองมาเคี้ยวแกล้มกับกาแฟเป็นมื้อเช้า นี่คืออาหารเช้าของเฮียย้ง

ใกล้เที่ยงลูกค้าจะมาก แกทำคนเดียวเองหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ลวกเส้น ปรุง เสิร์ฟ เข้าบ่ายสองหมูหมด เส้นหมด ลูกชิ้นหมด ลูกค้าก็หมด เฮียย้งก็จะเก็บกวาดร้าน แกกินมื้อเย็นตอนสี่โมงเย็น จากนั้นก็เข้านอน

กิจวัตรประจำวันแต่ละวันไม่ต่างไปจากนี้

ผ่านไปหลายปี เฮียย้งก็ยังตื่นนอนตอนตีสี่ ลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟัน เสร็จธุระส่วนตัวก็ออกจากบ้าน นั่งสามล้อถีบไปจ่ายตลาด กลับมาวางของทั้งหมดให้ลูกจ้างซึ่งมีสองคนจัดการ นอนเอนตัวบนแคร่หลังเคาน์เตอร์เก็บเงิน อ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจ สักพักราวเจ็ดโมงเช้า แกก็จะข้ามถนนลาดยางไปซื้อปาท่องโก๋ร้านห้องแถวริมคลองแกล้มกับกาแฟเป็นมื้อเช้า เวลาใกล้กันจะมีเด็กรุ่นๆ มาสั่งบะหมี่ลูกชิ้นสองชามรับประทานเป็นมื้อเช้าแทบทุกวัน

ใกล้เที่ยงจนเลยไปถึงบ่ายแก่ๆ ลูกค้าจะแน่นร้าน แกนั่งเก็บเงินทอนเงินอยู่หลังเคาน์เตอร์ จิบชาอู่หลงของแกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทุ่มก็ปิดร้าน ปล่อยให้ลูกจ้างปัดกวาดเช็ดถูไปตามที่ควรจะเป็น เฮียย้งจะเข้าอาบน้ำ แล้วลงมาปิดประตูไม้หน้าบ้าน เข้าห้อง เอนตัวดูโทรทัศน์จนมักจะม่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวเสมอๆ

กิจวัตรประจำวันแต่ละวันไม่ต่างไปจากนี้

ผ่านไปอีกหลายปี เฮียย้งที่ใครเคยเรียกก็เปลี่ยนเป็นแป๊ะย้ง แกยังตื่นนอนตอนตีสี่ ลุกจากที่นอนเมื่อไหร่ก็จะสูบบุหรี่ทันที พอบุหรี่หมดตัวก็จะจิบกาแฟแกล้มปาท่องโก๋ที่ร้านค้าฝั่งตรงข้ามนำมาส่งให้ทุกวัน ค่อยล้างหน้าแปรงฟัน แกไม่ต้องเดินข้ามถนนคอนกรีตเสริมเหล็กซึ่งแออัดคับคั่งไปด้วยยวดยานจอแจ การจราจรคับคั่ง ถนนที่กว้างหกเลนเพราะถมคลองทำถนนไม่ช่วยให้รถหายติดขัดเลย

เก้าโมงเช้าแป๊ะย้งกินก๋วยเตี๋ยวในร้านของตน ลวกเส้นและปรุงด้วยตัวเอง บัดนี้มีลูกจ้างซึ่งกลายเป็นภรรยาของแกดูแลจัดการร้านเองทั้งหมด แกไม่ต้องไปซื้อหาอาหารด้วยตนเอง

แกมักมองไปยังอีกฟากถนนที่มีร้านก๋วยเตี๋ยวร้านใหญ่ตึกแถวสามคูหา ลูกค้าแน่นร้าน แกอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเจ้าของร้านที่มักจะมองมาทางแกเช่นกัน

เวลาเดียวกันก็ทอดสายตาไปทั่วร้านของตนเอง เก้าอี้แปดโต๊ะตั้งแต่ตั้งร้านก็แปดตัวเท่าเดิม ตู้ไม้ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยววางบนโต๊ะไม้ตัวเดิมอย่างไรก็อย่างนั้นมาตลอดห้าสิบปี ไม่ใช่ตู้และโต๊ะอะลูมิเนียมเหมือนอย่างร้านฝั่งตรงข้าม ไม่มีบรรยากาศสมัยใหม่ให้เห็น แกเคยขายเพียงก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น หมูสด หมูบะช่ออย่างไรก็อย่างนั้น มีเส้นบะหมี่ขายเพิ่มต่อมาอย่างไรก็อย่างนั้น ไม่มีเย็นตาโฟ ไม่มีเนื้อตุ๋น หมูตุ๋น โคขุน ขนมจีบ ซาลาเปา ขนมขบเคี้ยว ไม่เคยมีของพวกนี้อย่างไรก็อย่างนั้น ไม่เคยคิดที่จะขายราดหน้าเพิ่ม ไม่สนใจขายข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบเพิ่ม ไม่ต้องพูดถึงคิดจะขายข้าวมันไก่เพิ่ม ไม่เคยคิดอย่างไรก็ไม่เคยคิดอย่างนั้น

เที่ยงวันนั้นแป๊ะย้งลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวพลางมองดูลูกค้าสองสามคนในร้านของตนแล้วมองข้ามไปยังลูกค้ามากมายนับร้อยคนของร้านก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้ามแล้วหันมามองเมียและไล่สายตาไปหมดทั้งร้านของตน แกถอนใจดังเฮือก…

แกอายุเจ็ดสิบปีแล้ว มีโรครุมเร้าสารพัด ก่อนนอนแกมักจะจิบชาอู่หลงของแกและดูภาพยนตร์ไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะหลับคาจอโทรทัศน์

เป็นกิจวัตรของคนชื่อแป๊ะย้ง…

วันหนึ่งทุกคนรับรู้เหมือนๆ กันว่า แกไม่ได้ลืมตาตื่นอีกแล้ว แกไม่ต้องไปตลาด ไม่ต้องเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว ไม่ต้องจิบกาแฟแกล้มปาท่องโก๋ แป๊ะย้งไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ก่อนหน้านี้แป๊ะย้งเมื่อลืมตาตื่น ขณะสูบบุหรี่จิบกาแฟไม่ทันหมดก็ล้มลงหมดสติ เมียแกกับลูกจ้างช่วยกันนวด ช่วยกันใช้ยาดมจ่อจมูก แต่แกก็ไร้ลมหายใจไปแล้ว

แป๊ะย้งแกอาจจะดีใจที่ชายหนุ่มเจ้าของร้านฝั่งตรงข้ามเดินเข้ามาในร้านอย่างเงียบๆ พลางมองร่างแกที่นอนเหยียดยาวหันหัวออกหน้าร้าน ก่อนจะกวาดตามองไปรอบร้าน กวาดตาไปตามชามก๋วยเตี๋ยว ไปตามบรรดาโต๊ะเก้าอี้ที่เคยนั่งและเห็นอดีตของตัวเองกระจายทั่วร้าน

ชายหนุ่มบอกกับภรรยาแป๊ะย้งว่า “ผมขอเป็นเจ้าภาพงานศพคืนหนึ่งครับ”

 

เรื่องที่สอง

แถวบ้านเกิดพ่อเคยมีทางแคบๆ สายหนึ่ง พ่อมักใช้เป็นทางลัดเชื่อมไปยังถนนสายหลักเพื่อไปตลาดเป็นประจำ เป็นทางส่วนบุคคลที่คนในชุมชนใช้กันมานาน เป็นทางสายแคบพอคนเดินสวนกันได้

เมื่อมีรถจักรยานใช้เส้นทางร่วมกันกับรถมอเตอร์ไซค์ ทางซึ่งแคบจนไม่พอสวนกันได้นี้ รถจักรยานต้องแอบหลบชิดทางให้รถมอเตอร์ไซค์ไปก่อน

เมื่อมีคนใช้เท้าเป็นพาหนะ หากพบจักรยานมักต้องหลบให้จักรยานไปก่อน เช่นเดียวกันกับต้องหลบให้รถมอเตอร์ไซค์ไปหรือใช้เส้นทางนี้ก่อน ทำไม พ่อสงสัยเหลือเกินว่าทำไมต้องเป็นเช่นนี้

วันหนึ่งพ่อใช้จักรยาน เมื่อพบมอเตอร์ไซค์ขับตรงมาข้างหน้า ทั้งๆ ที่พ่อเข้ามาถึงท้ายซอยแล้วและรถคันนั้นเพิ่งเข้าปากทางได้ไม่ถึงสามเมตร มอเตอร์ไซค์ไม่ยอมหยุด กลับบีบแตรไล่ เมื่อพ่อไม่หยุด เขาดึงหน้ากากหมวกกันน็อกขึ้น มองหน้าพ่อและทำท่าไม่พอใจ พ่อไม่ตอบด้วยสีหน้า แต่ตอบด้วยคำพูดกลับไปว่า “ก็ผมเข้ามาจนจะออกแล้ว คุณเพิ่งเข้ามานะ”

และอีกวันหนึ่งพ่อใช้มอเตอร์ไซค์ มีรถจักรยานขับขี่สวนมา พ่อหลบหลีกทางให้ เพราะเห็นว่าเขาขี่มาจนจะออกจนจะสุดทางแล้ว แต่พ่อเพิ่งเข้ามา เขากลับลงจากจักรยานจูงเข้าข้างทางหลบให้ เป็นเวลาเดียวกันกับที่พ่อก็หยุดรถและหลบให้เช่นกัน

เขามองพ่ออย่างแปลกใจ

และอีกวันหนึ่งเช่นกันที่พ่อเดินเท้าและไม่หลบให้มอเตอร์ไซค์ที่ขับควบตะบึงตรงมา เพราะพ่อหิ้วของพะรุงพะรังกำลังจะไปทำบุญที่วัด จักรยานพ่อยางแบน มอเตอร์ไซค์ก็มีเพื่อนบ้านยืมไปใช้ พ่อเห็นว่ารีบและการเดินไปก็ไม่ลำบากอะไร วัดห่างไปไม่ถึงกิโลเมตร คนขี่มอเตอร์ไซค์ตะคอกพ่อว่าทำไมไม่หลบให้รถ…

……………………

ผ่านไปหลายปีเมื่อพ่อกลับแถบนั้นอีกครั้ง พ่อเห็นทางแคบๆ สายนั้นได้รับการขยายให้กว้างขึ้น กว้างพอให้รถยนต์ รถกระบะพอจะขับสวนกันได้ และเป็นถนนคอนกรีตไม่ใช่ทางเดินเต็มไปด้วยต้นไม้รากไม้ย้อยระย้าปะหัวไต่ตัวพันหน้ายามใช้ทางแล้ว แต่พ่อไม่เคยลืมวิธีการใช้ทางแคบสายนี้เลย

พ่อยังสงสัยและคงสงสัยต่อไป

 

เรื่องที่สาม

“ผมช่วยไหมครับ” พ่อถามผู้หญิงคนนั้น

เธอเงยหน้าจากรถเข็นช้อนสายตามองพ่อ “อ้อๆ ดีค่ะ”

“จะไปไหนหรือครับ”

“ไปกดตังเอทีเอ็ม ว่าแต่ตู้อยู่ไหนไม่รู้”

“เดี๋ยวผมถามให้” พูดจบ หันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล “ขอโทษนะครับ ตู้เอทีเอ็มต้องไปทางไหน”

“เดินไปสุดทางเลี้ยวขวา เดินไปสุดทางแล้วก็เลี้ยวซ้ายอีก” เห็นเขาพูดว่าขวา แต่มือทำท่าเลี้ยวไปทางซ้ายจึงถาม “เลี้ยวขวาใช่ไหมครับ”

คนฟังฟังแล้วคงเห็นมือไม้ตัวเองที่ออกท่าออกทางไปด้วยจึงหัวเราะ “ใช่ๆ เลี้ยวขวาค่ะ ขวาแล้วก็ขวาอีก”

“ครับๆ ขอบคุณ” เมื่อเห็นคนบอกทางเดินไปแล้วจึงเข็นรถเดินหน้า พลางคุยกับหญิงในรถเข็น “เมื่อตะกี้เห็นเหมือนผมใช่ไหม ปากบอกว่าขวา แต่มือทำท่าเลี้ยวซ้าย ผมเองก็เคยเป็นแบบนี้ ใจเราคิดอย่าง ปากพูดอีกอย่าง”

“เคยเป็นค่ะ”

ระหว่างทางเข็นรถไป “ว่าแต่คุณเป็นอะไรครับ ขาถึงได้หัก ขอโทษนะครับ ผมแค่ชวนคุย”

“ขี่มอ’ไซค์ แล้วรถเก๋งมาจากไหนไม่เห็นเลย ชนเต็มๆ รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ไกลจากรถ ขาหัก นี่เข้าเฝือกมาสี่เดือนแล้ว หมอเอ็กซเรย์ทีไร กระดูกยังไม่สมานสักที” เธอหยุด ก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่คุณมาทำไรที่โรงพยาบาล”

“พาป้ามาฉีดสีวันนี้”

“ท่านเป็นอะไรคะ”

“เส้นเลือดสมองตีบ”

ผู้หญิงเงียบ แล้วค่อยพูด “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ถาม”

“ไม่เป็นไรครับ ผมมีแต่ป้าคนเดียวที่เป็นญาติ ได้แกช่วยทำมาหากิน ผมขายก๋วยเตี๋ยวครับ”

“หรือคะ แถวไหน”

พ่อบอกตำแหน่งแห่งหนไป เธอพยักหน้ารับ

“ไม่ได้มีก๋วยเตี๋ยวอย่างเดียวนะครับ ขนมจีบ ซาลาเปา ข้าวมันไก่ ข้าวหมูกรอบหมูแดงก็มี”

“โอ้โห” เธอเว้นจังหวะ “แต่หนูชอบหมูตุ๋นมากกว่า”

“น่าน ร้านผมก็มี”

“โอ้โห” เธอร้อง

พ่อเห็นตู้เอทีเอ็มอยู่ข้างหน้า “นั่นไงตู้ ทางนั้น ระวังขาด้วย”

“ตู้ย้ายมาหลบถึงข้างใน เขากำลังปรับปรุงโรงพยาบาล ผมมาติดๆ กันในช่วงเดือนนี้”

“หนูไม่ได้มาสองเดือนแล้ว มาวันนี้งงเลย”

พ่อมองเข้าไปในตู้ “อ้าว จอดับ เอ ปลั๊กไฟก็เสียบอยู่นะ สงสัยเสีย”

“อืม”

“ข้างล่างมีอีกตู้ แต่เข็นรถลงไปไม่ได้ มันเป็นบันได ไม่มีทางลาด ญาติคุณล่ะ”

“มาคนเดียว นั่งแท็กซี่มา หนูมาทำงานกรุงเทพฯ เช่าบ้านอยู่คนเดียว ไม่มีแฟนค่ะ” ถึงตรงนี้พ่อก้มมองเธอที่เงยหน้ามายิ้มกับพ่อ” ผู้หญิงคนนั้นหยุด ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นพ่อเงียบ “พาไปที่ฉายรังสีได้ไหม ไม่รู้จะไปทางไหน งงหมดล่ะ”

“ได้ๆ ผมรู้จัก”

ระหว่างที่เหลืออีกราวร้อยเมตร พ่อกับเธอกลับเงียบ ไม่พูดจาชวนคุยกันเหมือนตอนแรก

พ่อคิดว่าไม่น่าเป็นการดี จึงหาเรื่องชวนคุย “หมอเขาให้กินแคลเซียมกับวิตามินดีหรือเปล่าครับ”

“ให้ค่ะ”

“กินนมเยอะๆ ด้วยนะครับ มันช่วยได้”

เมื่อถึงแผนกรังสี พ่อพูดขึ้น “ถึงแล้ว เดี๋ยวคุณโทร.หาแฟนให้มาตรงนี้”

“บอกแล้วไงว่าโสด”

พ่อยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “โชคดีครับ”

“เดี๋ยวค่ะ” เธอเรียกพ่อให้หยุด แล้วยื่นโทรศัพท์เธอให้พ่อ “ถ้าหนูอยากกินหมูตุ๋นจะได้โทร.สั่ง”

พ่อยิ้มอีก แล้วกดหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวของพ่อให้เธอ