เรื่องสั้น : แสงอะไรแยงตา / โค้งน้ำ ลำวารี

เรื่องสั้น

โค้งน้ำ ลำวารี

 

แสงอะไรแยงตา

 

1. สายแล้ว เขามองผ่านมุ้งลวดซึ่งถูกเกสรดอกไม้และหยากไย่จับพราวออกไปนอกหน้าต่าง ต้นแก้วสะบัดกิ่งใบรับสายลมร้อน ลีลาวดีขาวพราวไหวโยกสะบัดพวงดอกเริงร่า วาสนาต้นสูงปรี๊ดเกือบเท่าหลังคาบ้านส่ายโยกสบายอารมณ์

วันนี้น่าจะเป็นวันที่สดชื่นถ้ามีเธอมายืนอยู่เคียงข้างไม่ใช่นอนอยู่ในห้องไอซียูแบบนั้น

 

2. รถตู้สีขาวติดไฟแวบวาบบนหลังคาพุ่งเข้าจอดหน้าตึกอย่างรวดเร็ว ชายในชุดอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยครบครัน 2 คน รีบเปิดประตูลงมา คนขับรีบไปเปิดกระโปรงท้ายรถตู้ บนเตียงสนามมีร่างหญิงคนหนึ่งนอนนิ่ง ใบหน้ามีหน้ากากอนามัยสวมอยู่ แต่ก็ยังมีเสียงหอบหายใจฟืดฟาดลอดออกมา

“เคสนี้เป็นเคสอุทาหรณ์เลยนะ คุณป้าติดเชื้อจากลูกสาวที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ เพราะว่าไม่ระวัง ไม่กักตัวให้ห่างกัน เนื่องจากลูกสาวคิดว่าตัวเองไม่น่าป่วย ไม่น่ามีอะไร เลยอยู่ด้วยกันตามปกติแม่-ลูก แม่มาเริ่มแยกตัวหลังจากลูกสาวเริ่มมีอาการเหมือนเป็นหวัด ไอ มีไข้ แต่ไม่ทันการณ์แล้ว ต้องเข้าโรงพยาบาลพร้อมกัน ตอนนี้คุณป้าอาการหนัก เหนื่อยหอบจนลุกเดินไม่ไหว ต้องให้รถพยาบาลไปรับมาเข้าห้องไอซียูอย่างรีบด่วน ทีมงานของพวกเราคงต้องทำงานกันอย่างหนักอีกแล้ว”

คุณหมอในชุดเครื่องป้องกันตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าบอกกับพยาบาลสาวและพลเปลชายที่ยืนอยู่ห่างๆ กัน ทุกคนอยู่ในชุดป้องกันความปลอดภัยอย่างมิดชิด

“พี่แพรว เราต้องเหนื่อยกันอีกแล้ว” หญิงสาวในชุดเสื้อคอบัวสีขาวพูดกับหญิงสาวในเสื้อคอฮาวายสีขาวเหมือนกัน ทั้งสองคนใส่กางเกงสีขาวคลุมถึงเท้า เพราะสะดวกในการเคลื่อนไหวมากกว่าสวมกระโปรง ด้วยงานของพวกเธอมักจะเป็นงานฉุกเฉินอยู่เสมอ

“จะทำยังไงได้ล่ะเจน เรามีหน้าที่ช่วยชีวิตคน แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องทำ คนไข้จะได้ปลอดภัย” พยาบาลประจำห้องไอซียูตอบเรียบๆ เธอเองก็เหนื่อยล้าไม่ต่างจากผู้ช่วยพยาบาล พลเปล และคุณหมอ เพราะมีคนไข้มาเพิ่มทุกวัน วันนี้เธอต้องเข้าเวรสองกะติดต่อกันโดยไม่ได้พัก

“เธออยู่ในขั้นวิกฤตนะ ทุกคนรีบหน่อย” คุณหมอตะโกนบอกหลังจากเพ่งดูใบหน้าของหญิงวัยกลางคน เธออยู่ในอาการเหนื่อยหอบอย่างมาก “เอาลงจากรถแล้วรีบนำไปห้องไอซียูเลย”

พลันที่ร่างของคนไข้ลงมาอยู่บนเตียง พลเปลทั้งสองคนรีบเข็นไปอย่างรวดเร็ว มีพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลวิ่งตามไปติดๆ

เมื่อพลเปลเข็นเตียงมาถึงหน้าลิฟต์แล้วกดลิฟต์รอเพื่อจะขึ้นไปชั้นที่ 3 ซึ่งจัดเตรียมไว้สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก พยาบาลสาวที่วิ่งตามมาด้วย เกิดอาการเหนื่อยหอบโงนเงนแล้วทรุดลงไปกองกับพื้น

“พี่แพรว พี่แพรวเป็นอะไร” เจนร้องลั่น รีบเข้าประคองร่างพยาบาลที่ฟุบหน้าหอบหายใจหนักๆ

 

3. วันนี้ไม่เหมือนวันวาน และวันไหนๆ คงไม่เหมือนกัน

ชายวัยสี่สิบสี่ อุ้มลูกชายวัย 4 ขวบลงจากรถกระบะมายืนมองตึกสีขาวตรงหน้า เขาไม่อยากก้าวเข้าไปในนั้นเลย ไม่อยากเห็นคนนอนร้องโอดโอย ไม่อยากเห็นคนนั่งกุมศีรษะปวดรวดร้าวใจ ความเป็นความตาย ความอับเฉาเศร้าสร้อยลอยอบอวลไปทั่ว

พนักงานบริษัทผลิตสินค้าส่งออกถูกพักงานสองเดือนจากพิษไวรัสร้าย กดรีโมตปิดล็อกรถด้วยมือซ้าย กระชับมือขวาอุ้มลูกชายแนบอก สาวเท้าช้าๆ ไปยังหน้าตึกผู้คนพลุกพล่าน

เรื่องของภรรยาวนเวียนกลับมาอยู่ในห้วงคิดของเขาอีก สามวันก่อน เป็นวันแรกที่ชีวิตของแพรวก้าวเข้าสู่หลักสี่ วันนั้นแพรวได้พักพอดี สามคนพ่อ-แม่-ลูก ฉลองกันง่ายๆ ในบ้านของครอบครัวเล็กๆ ที่ต้องคอยระแวดระวังตัวไม่ให้เป็นเหยื่อไวรัสร้าย แพรวตัดเค้กก้อนเล็กๆ ให้ 3 คนแยกกันกินคนละมุมโต๊ะ แล้วก็หัวเราะให้กัน

ในช่วงนี้แพรวใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่บ้าน พร้อมทั้งบังคับให้เขาและลูกใส่หน้ากากด้วย เธอบอกว่าความเสี่ยงของเธอสูงชนิด 100 เปอร์เซ็นต์ก็ว่าได้ ทั้งวันเธอต้องทำงานอยู่ในที่ที่มีเชื้อโรคเต็มไปหมด ไม่อยากให้ลูกกับผัวต้องเดือดร้อนตามไปด้วย เธอยังแยกตัวไปนอนในห้องเล็กซึ่งเตรียมไว้ให้ลูกชายตอนโต แยกเครื่องใช้ไม้สอย ตั้งแต่เสื้อผ้า ที่นอน ผ้าห่ม รวมทั้งจัดจานชามถ้วยช้อนไว้ประจำตัวชุดหนึ่ง ของกินก็ซื้อมากินเฉพาะตัวจากนอกบ้าน กินแล้วก็มัดของเหลือใส่ถุงขยะมิดชิด เอาไปใส่ถังขยะนอกบ้านทันที พร้อมทั้งห้ามไม่ให้เขาและลูกชายเข้าไปห้องของเธออย่างเด็ดขาด

“ตอนนี้เธอทำตัวเหมือนกำลังอยู่ในค่ายกักกันนะแพรว” สามีสัพยอกด้วยความเข้าใจและเห็นใจคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมาสิบปีเต็ม

“พี่วุธก้อ เรากันไว้ก่อนก็ดี ถ้าติดกันหมดทั้งบ้านละก็ยุ่งกันใหญ่เลย” พยาบาลวิชาชีพมองทะลุถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตถ้าไม่ระมัดระวังให้มาก

แต่คล้อยหลังไม่กี่วันก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดกับเธอ เธอกลายเป็นผู้ป่วยต้องนอนในห้องไอซียู สราวุธไม่อยากอุ้มลูกไปที่หน้าห้องนั้นเลย แต่แววตาวิงวอนนั่น ทำให้เขาต้องฝืนใจทำ เขาหวังว่าบางทีความรักความผูกพันอันล้ำลึกนั้นอาจจะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้

 

4. “เชื้อในตัวเธอเหลือไม่เยอะแล้ว อีกไม่กี่วันเธอน่าจะกลับบ้านได้”

เมื่อวานหมอโทรศัพท์มาบอกกับเธอแบบนั้น ทำให้นัสตี้ดีใจมาก เธอไม่ชอบเอาเสียเลยกับการนอนอยู่เฉยๆ เคลื่อนไหวไป-มาได้เฉพาะในห้องเท่านั้น เธอคิดว่าคงอีกวันสองวันหมอจะให้เธอกลับบ้านได้แล้ว

แต่ว่าวันนี้กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เธอต้องรีบตื่นแต่เช้า เมื่อแม่ที่นอนอยู่ข้างๆ กันหน้าซีดเซียว บอกว่าหายใจลำบาก เหมือนจะหายใจไม่ออกเอาเสียเลย เธอต้องรีบโทรศัพท์ไปหาคุณหมอซึ่งก็งัวเงียรับสาย หมอวางสายเพียงครู่เดียว ชายในชุดแต่งกายมิดชิดก็เข้ามาในห้องพร้อมเตียงสนาม พวกเขาบอกให้เธอออกไปห่างๆ แล้วเอาเปลสนามวางลงบนเตียง บอกให้แม่ขึ้นไปบนนั้นแล้วรีบแบกร่างของแม่ออกไปอย่างรวดเร็ว

“แม่ของเธออาการไม่ดีนะ ต้องรีบย้ายเข้าห้องไอซียูเดี๋ยวนี้เลย” คุณหมอโทรศัพท์มาบอกกับเธอหลังจากชายสองคนนั้นเข้ามาในห้องไม่ถึงนาที

“หนูตามไปด้วยได้มั้ยคะ” ลูกสาวรู้สึกเป็นห่วงแม่ขึ้นมา

“ไม่ได้ครับ คุณยังไปไหนไม่ได้” คุณหมอพูดจบก็วางสายทันที

“แม่นะแม่ จู่ๆ ทำไมถึงอาการกำเริบขึ้นมาได้ ทั้งที่เมื่อวานก็ยังคุยกันดีอยู่ๆ” หญิงสาวที่เพิ่งเดินทางกลับจากฝรั่งเศสเมื่อเดือนก่อนพึมพำ

“ไอ้โรคบ้านี่ มันมาจากไหนก็ไม่รู้ ทำเราหมดสนุกไปเลย” นัสตี้ปาโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงด้วยความหงุดหงิด

“เมื่อไหร่จะได้ออกจากห้องทึมทึบน่าเบื่อสักทีโว้ย” หญิงสาวตะโกนลั่น

 

5. เมื่อ 4 ปีก่อน เขาเปิดประตูประคองคนท้องอุ้ยอ้ายลงมาจากรถคันนี้ แต่วันนี้เธอไม่ได้มาด้วย เป็นลูกชายมาแทน เขาเปิดประตูชะโงกตัวเข้าไปอุ้มออกมา

สราวุธมาจอดรถหน้าร้านขายต้นไม้ร้านเดิม ร้านเป็นเพิงข้างถนนทางเข้าวัดใหญ่ที่วันนี้เงียบสนิท เขาอยากจะเข้าไปขอพรพระเหมือนครั้งก่อนที่ไปขอพรให้มีลูกก็ไม่ได้ พระท่านต้องปิดวัด เกรงว่าเชื้อโรคร้ายจะเข้าไปเพ่นพ่านในวัด เดี๋ยวจะยุ่งกันใหญ่

“เอาต้นอะไรดี ป้ามีหมดทั้งมะลิ กุหลาบ แก้ว ลีลาวดี ต้นวาสนา” ป้ายังคงพูดเก่งเหมือนเดิม แม้จะใช้ผ้าคลุมหน้ามิดชิด แต่เขาจำน้ำเสียงและท่าทางได้

“ขอเข้าไปเดินดูข้างในก่อนนะครับป้า เดี๋ยวซื้อต้นไหนจะมาบอก” เขาบอกออกไปแบบนั้นทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะซื้อต้นไม้อะไร

ชายวัยสี่สิบสี่วางลูกชายลงกับพื้น เปลี่ยนมาเป็นจูงมือเดินเข้าไปสวนของคุณป้าที่มุงด้วยสแลนสีดำ เขานึกชมในใจ ป้าดูแลต้นไม้ทุกต้นเป็นอย่างดี ไม่มีต้นไม้ต้นไหนเหี่ยวเฉาเลย เขาเดินวนดูอยู่รอบหนึ่งแล้วกลับมายังโซนดอกไม้ที่ต้องการ คุณป้าคงเดาออกว่าลูกค้าต้องการอะไร รีบเดินมาประกบ

“มันเป็นต้นไม้มงคลนะ คนไทยโบราณนิยมปลูกไว้ในบ้านเพื่อเสริมสิริมงคล เขาว่าปลูกแล้วจะทำให้คนในบ้านมีจิตใจผ่องใส สงบสุขบริสุทธิ์ดังแก้วใส ดอกมันมีกลิ่นหอมเย็น ยิ่งตอนกลางคืนด้วยแล้ว มันจะส่งกลิ่นตลบอบอวลเลยทีเดียว” คุณป้าร่ายยาวอย่างมีภูมิรู้ในต้นไม้ที่นำมาวางขาย

พ่อลูกอ่อนจ้องมองต้นไม้ตรงหน้า กำลังตัดสินว่าจะซื้อกี่ต้นดี แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้มีสามคนพ่อ-แม่-ลูก “เราจะเป็นสามประสานที่ร่วมกันฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน”

“เอา 3 ต้นนะป้า เอาต้นที่ดอกมันจะทยอยบานไล่ๆ กันนะครับ” หนุ่มใหญ่ปรารถนาให้ดอกไม้บานต่อเนื่องกันไป ไม่ใช่บานแล้วโรยพร้อมกันหมด

“ได้ ได้ ป้าจะเลือกให้อย่างดีเลย” เจ้าของร้านต้นไม้เดินเข้าไปเล็งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เลื่อนกระถางต้นไม้ 3 กระถางออกมาจากกลุ่ม

สราวุธมองอย่างสำรวจตรวจตราแล้วพยักหน้า ต้นไม้ชนิดนี้ไม่ต้องรดน้ำบ่อย สอง-สามวันถึงรดน้ำทีหนึ่ง เขาอยากให้แพรวรดน้ำด้วยมือของเธอเอง ซึ่งเรื่องนี้เขาจะต้องพึ่งเจน

 

6. ผู้ช่วยพยาบาลสาวคอยชำเลืองมองผ่านกระจกไปยังหญิงวัยกลางคนที่นอนอยู่ข้างในห้องพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตระโยงระยาง ทั้งสายน้ำเกลือ ท่อช่วยหายใจ นางเป็นผู้ป่วยวิกฤตที่คุณหมอสั่งเฝ้าจับตาดูทุกระยะ

“เราต้องช่วยกัน ถ้าไม่อยากเห็นทีมงานของเราล้มเหลว” อาจารย์หมออายุรแพทย์กำชับกำชาหนักแน่น “มันหมายถึงชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของพวกเราทั้งทีม”

ภาพที่คุณหมอให้ดูนั้นยังลอยอยู่ตรงหน้า มันเป็นภาพที่แชร์ว่อนโลกออนไลน์ ภาพของคุณหมอเข็นคนไข้ออกจากห้องผู้ป่วยวิกฤตเพื่อไปส่งกลับบ้าน โดยสองข้างทางที่ผ่านมีทีมงานคอยปรบมือให้กำลังใจไปตลอดทาง โดยพวกเขาต้องใช้เวลาต่อสู้ถึง 4 สัปดาห์เต็ม “เฮ้อ…ทีมของเราจะไหวไหมหนอ” เธอถอนหายใจแล้วชำเลืองไปในห้องอีกครั้ง

แสงไฟสลัวๆ ยามดึกทำให้บรรยากาศดูวังเวงอย่างบอกไม่ถูก เพื่อนร่วมทีมของเธอฟุบหน้าหลับกับโต๊ะ เจนรู้สึกเห็นใจพี่ผึ้งต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าเมื่อขาดพี่แพรวไป พูดถึงพี่แพรวแล้วน้ำตาซึมออกมา พี่แพรวทุ่มเททำงานหนักแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนจนโรคหัวใจกำเริบต้องเข้าไปนอนในห้องไอซียูเสียเอง “เฮ้อ…” หญิงสาวในเสื้อคอบัวถอนหายใจยาวอีกทีแล้วมองไปตึกฝั่งตรงข้าม ในชั้นและห้องตรงกันมีร่างของพี่แพรวนอนอยู่ในสภาพไม่ต่างจากผู้ป่วยที่เธอต้องคอยเฝ้าดู จะเข้าไปเยี่ยมก็ไม่ได้เพราะคุณหมอสั่งห้าม เกรงว่าจะเอาเชื้อไปติดทำให้พี่แพรวอาการหนักขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้ก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว จะทำได้ก็เพียงแต่ส่งกำลังใจไป

“เราน่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้นะ” เจนเพ่งมองไปยังห้องนั้นแล้วครุ่นคิด

 

7. หญิงสาวถูกปลุกกลางดึกด้วยเสียงโทรศัพท์ภายใน มันทำให้เธอสะดุ้งตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความหงุดหงิด หลังจากหมอบอกข่าวดีเมื่อตอนเย็น ทำให้เธอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยด้วยความสบายใจที่จะได้ออกจากห้องราวถูกคุมขังนี่เสียที มันทำให้เธอเพิ่งผล็อยหลับไปได้ไม่นาน ไม่น่าจะถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ

นัสตี้บิดตัวอิดออดอยู่ครู่หนึ่งจึงคว้าโทรศัพท์มาแนบหู ฟังเสียงคุณหมอพูดด้วยความงุนงง

“ให้ไปเยี่ยมแม่ตอนกลางดึกนี่นะอะไรของหมอเค้านี่” เธอให้รู้สึกแปลกใจที่คุณหมอบอกว่าตอนนี้คุณแม่ของเธอต้องการกำลังใจอย่างเร่งด่วน

“จะให้รอถึงตอนเช้าก่อนไม่ได้หรือไง” เธอพึมพำขณะเอาหวีแปรงผม มองออกไปข้างนอกห้องตอนนี้เปิดไฟสว่าง พวกมนุษย์ต่างดาวในความรู้สึกของเธอเพราะแต่งตัวมิดชิดแม้แต่หน้าตาก็มองไม่เห็นมายืนรออยู่หน้าห้อง ประตูห้องก็เปิดออกแล้ว

 

8. สราวุธพลิกตัวเอามือควานหาโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างหมอน เมื่อคว้าขึ้นมาได้ก็เพ่งดูชื่อที่เม็มไว้ มองไม่เห็นว่าเป็นใคร แต่ก็กดรับสายทันที

“พี่วุธมาโรงพยาบาลด่วนเลยนะ” เป็นเสียงของเจนนั่นเอง

“มีอะไรรึเจนถึงโทร.ตามพี่กลางดึกแบบนี้” เขาถามด้วยเสียงอู้อี้เพราะเพิ่งหลับตาลงไปไม่นานหลังจากกล่อมลูกชายที่ร้องหาแม่จนหลับไป

“หมอสั่งให้มาด่วนเลยค่ะ” เสียงของผู้ช่วยพยาบาลดังลั่นหูแล้ววางสายไป

สราวุธพยายามตั้งสติ “หรือว่า…” คิดได้แค่นั้น เขาก็รีบลุกเปิดไฟ วิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้าเปลี่ยนจากชุดนอนสีครีมเป็นเสื้อยืดสีขาว กางเกงสีกรมท่าที่ใส่เป็นประจำ หลังจากถูกให้พักงานอยู่บ้าน วิ่งไปเปิดลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง คว้ากุญแจรถ กุญแจบ้าน และกระเป๋าสตางค์มาใส่กระเป๋ากางเกง คว้าโทรศัพท์มาถือด้วยมือซ้าย แล้วอุ้มลูกชายขึ้นจากเตียง

“ไปนอนต่อในรถนะลูก พ่อจะพาไปหาแม่” เขาบอกลูกพร้อมกับรีบสาวเท้าออกจากห้องโดยไม่ได้ปิดไฟ ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องของแพรวเท่านั้น

 

9. หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องนั้นด้วยอาการกล้าๆ กลัวๆ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกแบบนั้น ทั้งที่คนที่นอนอยู่นั่นก็เป็นคนที่นอนด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต จะมาห่างกันก็ในช่วงโตเป็นสาว เมื่อพ่อซึ่งแยกทางกันไปส่งเธอไปเรียนต่อต่างประเทศ

นัสตี้รู้สึกว่าขามันสั่นจนยากแก่การควบคุม ค่อยๆ ก้าวช้าๆ มายืนอยู่หน้าเตียง จ้องมองไปยังร่างที่นอนนิ่ง จมูกใส่ท่อช่วยหายใจ มือข้างซ้ายมีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเป็นน้ำตาแห่งความรู้สึกผิด

“ตอนนี้แม่ของหนูอาการหนักมากนะ ท่านอยู่ระหว่างความเป็นความตายเลยก็ว่าได้ หมอช่วยด้วยเครื่องมือแพทย์เต็มที่แล้ว แต่อาการของท่านยังไม่ดีขึ้น เหลือแต่หนูเท่านั้นแหละที่จะช่วยท่านได้ เพราะหนูคือดวงตาดวงใจของท่าน”

เสียงของคุณหมอดังก้องอยู่ในหู

นักศึกษาสาวซึ่งกำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยเก่าแก่ในซีกโลกตะวันตกก้มหน้าลงไปแนบอกตรงหัวใจของผู้ให้กำเนิด เอาสองมือกุมมือขวาของร่างที่นอนนิ่ง ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าไปยืนข้างหมอน ก้มหน้าลงกระซิบข้างหู

“หนูรักแม่นะ สู้สู้นะแม่ หนูจะอยู่เคียงข้างแม่ตลอดเวลา” พลันที่พูดจบน้ำตาก็พรูไหล เธอรู้สึกว่ามือที่เธอกำแน่นนั้นมีการตอบรับ นิ้วมือของแม่ขยับบีบมือของลูกสาวเบาๆ ก่อนจะคลายออก

“แม่ต้องไม่เป็นอะไรนะ ไม่ต้องเป็นห่วงหนู หนูหายแล้ว ตอนนี้หนูอยากกินต้มยำรวมมิตรฝีมือแม่มากเลย มันอร่อยมาก แม่รีบลุกขึ้นมาทำให้หนูกินนะ”

หญิงสาวไม่รู้ว่ายืนกุมมือแม่น้ำตาไหลพรากอยู่นานแค่ไหน มารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เธอจึงได้หันไปมอง ค่อยๆ ปล่อยมือที่กุมมือของแม่ เดินช้าๆ ออกจากห้องด้วยใจที่เลื่อนลอย

 

10. “ขอโทษนะพี่วุธที่เจนต้องโทร.ไปหากลางดึก พี่แพรวเธออยากเจอภัทรค่ะ”

เจนบอกขณะมายืนคอยอยู่หน้าห้องที่เขาไม่อยากเข้าไปเลย แล้วเธอก็รีบขอตัวไปโดยบอกว่ามีงานต้องทำอยู่อีกตึกหนึ่ง

ชายผู้ใจกำลังสั่นสะท้านเหลียวมองลูกชายที่เกาะไหล่หลับอยู่ไม่ต่างจากลูกลิงเกาะอกแม่ ยืนตั้งสติไล่ความกล้าๆ กลัวๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรวบรวมความกล้าเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เปิดไฟสลัวๆ

การเข้ามาในห้องครั้งนี้แปลกตากว่าทุกครั้ง เขาพบว่าคืนนี้แพรวนอนตะแคงซ้ายเหมือนว่ากำลังมองอะไรที่นอกหน้าต่าง บนใบหน้าของเธอไม่มีเครื่องช่วยหายใจครอบอยู่ มีเพียงสายน้ำเกลือเสียบอยู่ที่แขนข้างขวา

เธอค่อยๆ หันหน้ากลับมาช้าๆ เมื่อเขาไปยืนข้างเตียง แววตามองมายังอิดโรยเหมือนคนผ่านการต่อสู้มาอย่างหนัก

“เอาภัทรมานี่หน่อย แพรวอยากกอดลูก” เสียงของเธอแหบแห้งแต่พอจับใจความได้

สราวุธรีบเอาลูกชายที่ยังคงไม่ลืมตาวางบนอกของภรรยา แล้วโน้มตัวลงไปกอดทั้งคู่ น้ำตาหยดแหมะลงไปบนแก้มของแพรว

“พี่วุธอย่าขี้แยสิ เดี๋ยวลูกก็ขี้แยตามไปด้วยหรอก” เสียงพูดของหญิงสาวชัดเจนขึ้น

สามีค่อยๆ ยกหน้าขึ้น จ้องมองดวงตาคู่นั้น แววตาเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น แพรวคนเดิมกลับมาแล้ว

“พี่วุธ แพรวรู้สึกว่ามีแสงอะไรแยงตา พี่ช่วยเปิดม่านให้แพรวหน่อยสิ”

หนุ่มใหญ่พยักหน้าแล้วเดินไปรูดม่านเปิดออกช้าๆ ตึกฝั่งตรงข้ามมีไฟสีชมพูสว่างไสว แพรวจ้องมองแล้วยิ้มให้กับดวงไฟที่รวมกลุ่มกันเป็นรูปหัวใจส่องแสงสดใส เธอคิดว่าต้องเป็นฝีมือของเจนแน่ๆ

“แพรวว่าแพรวได้กลิ่นดอกไม้หอมๆ นะ คิดว่ามันอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ พี่วุธช่วยแง้มหน้าต่างให้หน่อยซิ”

สราวุธเลื่อนม่านไปจนสุด แล้วแง้มหน้าต่างออก ลมพัดวูบเข้ามาในห้องพร้อมกลิ่นอบอวล แพรวจ้องมองต้นไม้ 3 ต้นเรียงกันอยู่นอกหน้าต่างแล้วหัวเราะ

“พี่วุธเดินมานี่หน่อยซิ”

สามีเดินมาหาอย่างว่าง่าย หญิงสาวโน้มตัวของเขาลงไปกอดเคียงข้างลูกชาย แล้วกระซิบข้างหู

“ขอบคุณมากนะพี่ พี่ไม่เคยทิ้งแพรวเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาแต่เช้าเลยนะ มาพาแพรวไปรดน้ำต้นแก้วหน่อยนะ แพรวไม่รู้ว่าไม่ได้รดน้ำต้นไม้มากี่วันแล้ว”