เรื่องสั้น : อโครงสร้างนิยม (1) / กิตติศักดิ์ คงคา

 

เรื่องสั้น / กิตติศักดิ์ คงคา

 

อโครงสร้างนิยม (1)

 

“ภาษาคือรากเหง้าและจิตวิญญาณ”

คณบดีคณะอักษรศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโลกเอ่ยกล่าวสุนทรพจน์ขึ้นด้วยเสียงที่เต็มไปความมั่นใจ ศ.ดร.พากย์ ภาคภูมิมั่นตระกูล กวาดสายตามองไปยังนักศึกษาโดยรอบ นักศึกษาที่ไม่ใช่บุคคลอันมีเลือดเนื้ออย่างแท้จริง

ภารกิจหลักของการเป็นคณบดีคณะอักษรศาสตร์ค่อนข้างหนักหน่วง แต่ก็เป็นภาระสุดหอมหวานที่เขาแสนจะภาคภูมิใจ ในยุคสมัยที่ปัญญาประดิษฐ์เก่งกว่ามนุษย์ไปไกลลิบ ในโลกนี้มีเพียงมนุษย์ไม่ถึงหยิบมือที่มีงานทำ คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตโดยใช้เงินสนับสนุนจากรัฐ มีชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ค่า แต่ยังกล้าที่จะภูมิอกภูมิใจกับตนไปว่าตัวเองคือผู้ที่แสนสุข มนุษย์ไร้งานยังหลงระเริงตัวเองไปว่าสูงส่ง เป็นเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่ถูกเลือก แต่ความจริงเบื้องหลังคือมนุษย์ผู้มีอาชีพเบือนหน้าหนีพวกไร้ค่าเหล่านั้นไปหมดแล้ว เมื่อไร้คุณค่าก็ไม่ต่างอะไรกับภาชนะที่ว่างเปล่า พวกเขาเรียกพวกไร้งานว่าโนจ (NOJ) ซึ่งย่อมาจาก No Job (ไม่มีงานทำ) คำเรียกนี้ถือเป็นคำเหยียดชนชั้นที่ห้ามพูดต่อหน้าสาธารณชน

งานหลักของคณบดีคณะอักษรศาสตร์คือการสะสางพจนานุกรม

พจนานุกรมถือเป็นเครื่องมือหลักในการเรียนภาษา ประชาชนทั่วไปอาจใช้เป็นเครื่องอ้างอิง แต่สำหรับนักศึกษาคณะอักษรศาสตร์แล้ว พจนานุกรมเปรียบได้ดั่งกับเครื่องยึดเหนี่ยวทางอาชีพและจิตวิญญาณ อักษรศาสตรบัณฑิตทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับการกล่อมเกลาพจนานุกรมให้รัดกุมรอบคอบและครบถ้วนที่สุด นั่นคือแก่นของภาษา คณะของเขามีหน้าที่เป็นตำรวจทางภาษาที่ไม่ให้คนใช้ภาษาไปในความหมายที่ผิดทาง

การใช้ภาษาอย่างถูกต้องเป็นเรื่องที่เคร่งครัดและจริงจังในยุคสมัยนี้ เขาเคยได้ยินคณบดีคนก่อนเล่าให้ฟังว่าภาษาในอดีตมีคำจำนวนมากมายที่แปลได้ซ้ำไปซ้ำมา ฟุ่มเฟือย และแสดงถึงความไร้อารยะ บางคำเกิดการการกร่อนคำ ย่นคำ รวบคำ หรือบางคำเกิดจากการพิมพ์ผิด ใช้ผิด จนเหล่าผู้เชี่ยวชาญยกให้เป็นเรื่องถูกก็มี นั่นคือสิ่งที่น่าแขยงขยาดเป็นอย่างมาก การใช้ภาษาผิดไม่ใช่เรื่องที่ให้อภัยได้ ภาษาที่ดีต้องรัดกุม ตีความง่าย และมุ่งไปที่ฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว

ภาษาของโลกถูกสังคายนาครั้งใหญ่ในปี 2500 เพื่อความเป็นประชากรโลก รัฐบาลทุกประเทศรวมตัวกันเพื่อตัดการใช้คำที่ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็นออก นี่คือสิ่งที่ละเลยไม่ได้ การมีภาษาในระดับที่ไม่มากเกินพอดีจะช่วยให้ชาวต่างชาติเรียนภาษาได้โดยง่าย นอกจากนี้ แต่ละภาษายังต้องมีการเทียบเคียงซึ่งกันและกันเพื่อปรับภาษาให้กลายเป็นระดับเดียว เมื่อภาษาทุกภาษามีจำนวนคำเท่ากันจนหมดแล้ว รัฐบาลทุกประเทศก็รวมตัวกันก่อตั้งภาษาโลกขึ้นมา ภาษาที่ถูกสร้างขึ้นใหม่และไม่ใช่ของประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ ประชากรทุกคนต้องเรียนภาษาโลกเป็นภาษาที่สอง แต่ประเทศส่วนใหญ่ยังใช้ภาษาแม่ของตนเป็นภาษาที่หนึ่งต่อไป ส่วนใหญ่ก็มาจากความคลั่งไคล้ในลัทธิชาตินิยม

การใช้ภาษาผิดประเภทมีโทษค่อนข้างรุนแรง คณะอักษรศาสตร์ยังเป็นคณะที่ได้รับความนิยมมากในยุคนี้ เพราะตำรวจภาษายังเป็นงานที่ต้องการตำแหน่งงานจำนวนมากและได้รับผลตอบแทนที่ดี ตำรวจภาษามีหน้าที่ตรวจสอบการใช้ภาษาของมนุษย์ทางช่องทางต่างๆ ผ่านการอำนวยความสะดวกของรัฐบาลโลก ก่อนจะนำมาเปรียบเทียบกับวิธีการใช้ทางหลักภาษาและความหมายทางพจนานุกรม โทษของการใช้ภาษาผิดความหมายหรือวิธีมีหลายระดับ ไล่ตั้งแต่การลดเงินปันส่วนจากภาครัฐ การตัดสวัสดิการพลเมือง การปรับเงิน ไปจนถึงโทษสูงสุดคือจำคุก ปรกติโทษจำคุกไม่ได้มีการถูกบังคับใช้บ่อยมากนัก ยกเว้นกรณีความผิดร้ายแรงทางภาษา

การบัญญัติหรือสร้างคำใหม่ขึ้นมาอธิบายความหมายของบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีในพจนานุกรม นั่นถือเป็นอาชญากรรม

 

“ดร.พากย์ครับ มีคดีขอปรึกษาครับ”

อาจารย์ประจำอยู่ภาควิชาป้องกันและปราบปรามการใช้ภาษาอย่างผิดวัตถุประสงค์ส่งข้อความสามมิติเข้ามาทางระบบติดต่อทางไกล เขาเปิดข้อมูลดูรายละเอียดคดี โดยปรกติแล้วตำรวจภาษาสามารถวินิจฉัยและจับกุมตามข้อกฎหมายที่มีอยู่ได้เลย แต่ในกรณีที่ค่อนข้างซับซ้อนและตีความลำบาก ตำรวจภาษามักจะมาปรึกษาคนที่เชี่ยวชาญด้านภาษาที่สุดในโลกแบบเขา

“คดีความทางภาษา หมายเลขรหัส 1458769312 ผู้ต้องสงสัยมีการใช้ภาษาที่ไม่อาจอธิบายได้ในพจนานุกรมมาตรฐานฉบับปี 2998 ข้อความต้องสงสัยมาจากหนังสือที่ชื่อว่า ไฟ เนื้อหาคือ ตื่นขึ้นเถิดหมู่คนบนโลกกว้าง ตื่นขึ้นสร้างแรงใจและไฟฝัน คำต้องสงสัยคือคำว่า ไฟ ที่คาดว่าจะมีการนำมาใช้อย่างผิดวิธี” เสียงจากปลายทางเกริ่นเริ่มอธิบายข้อคดี

“ไฟ ตามพจนานุกรมมาตรฐานฉบับปี 2998 แปลความหมายได้ 3 ความหมาย คือ (1) ชื่อธาตุ (2) ผลจากปฏิกิริยาเคมีซึ่งก่อให้เกิดความร้อน แสงสว่าง และเปลว และ (3) ไฟฟ้า” เขาพูดตอบโดยไม่ต้องเปิดเอกสารอ้างอิงได้ ดร.พากย์ท่องจำพจนานุกรมได้ทุกตัวอักษร ทุกหน้า ทุกบรรทัด

“คำว่าไฟฝัน ไม่สามารถแปลโดยตรงได้ตามพจนานุกรม ทางตำรวจภาษาตีความว่าผิด แต่ยังไม่มั่นใจในเรื่องของธาตุที่ทางผู้ต้องสงสัยโต้แย้งเข้ามาว่า ความฝันอาจจะตีความได้ว่าเกี่ยวกับเป็นธาตุทั้ง 4 ได้ ทางตำรวจภาษาจึงส่งเรื่องมาปรึกษาทางคณะอีกครั้งครับ” อีกฝ่ายอธิบายเหตุผล

“ผู้ต้องสงสัยมีความผิดจริง ตามพจนานุกรมมาตรฐานไม่สามารถแปลความคำว่าไฟฝันได้ ส่งเรื่องกลับไปที่สำนักงานตำรวจภาษาแห่งชาติได้ แนะนำให้ดำเนินการตามความเหมาะสม”

เขาตอบอย่างไม่คิดอะไรมาก ฟังดูก็รู้ว่านี่คือการใช้ความหมายโดยแฝง ความหมายที่ผิดไปจากพจนานุกรม การกระทำนี้ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เขาช่วยให้คำแนะนำในการตัดสินคดีแบบนี้มามากมาย คนส่วนใหญ่ที่ทำเรื่องแบบนี้มักเป็นพวกโนจ ไร้ค่าไร้แก่นสาร พูดพร่ำร่ำบทกวีไปแต่ละวัน ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้โลกเจริญ

“ทางตำรวจภาษาขอคำแนะนำเรื่องการพิจารณาโทษด้วยครับ กรณีนี้ทางตำรวจไม่มั่นใจเรื่องความร้ายแรง แต่ผู้ต้องสงสัยมีการตีพิมพ์หนังสือออกมาด้วย ทางตำรวจภาษาคิดว่าค่อนข้างร้ายแรง” ระบบสื่อสารทางไกลส่งเสียง

“ตามพระราชบัญญัติภาษาแห่งชาติ ฉบับปี 2550 มาตราที่ 15 วรรค 3 ย่อหน้า 4 หากผู้ใดตั้งใจใช้คำที่ผิดไปจากความหมายของพจนานุกรมมาตรฐานฉบับล่าสุดที่ประกาศใช้อยู่ตามประกาศแนบของพระราชบัญญัติฉบับนี้ โดยมีการพิมพ์ซ้ำเพื่อขายหรือแจก ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 10 ปี” ชายหนุ่มพูดออกมาจากข้อกฎหมายที่จำได้ขึ้นใจ

“บทลงโทษขั้นต่ำควรเป็นการติดคุก 10 ปีตามกฎหมาย แต่จะเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ตรงนี้แล้วแต่ตำรวจจะพิจารณา”

ชายหนุ่มในชุดภูมิฐานพูดต่อจนจบก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน เขาเก็บสิ่งของเข้ากระเป๋าอย่างเป็นระเบียบ ดร.พากย์มุ่งตรงสู่โรงพยาบาลที่เขาจำเป็นต้องไปตรวจติดตามและรับยาเพื่อควบคุมอาการของโรคที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด

 

“โรคของ ดร. ลุกลามไปเร็วนะครับ แต่ยังโชคดีว่าคนในตระกูลของ ดร. เก็บจำนวนสเต็มเซลล์ไว้กันมาหลายรุ่นมาก ถึงแม้ว่าอาจจะต้องย้อนกลับไปใช้สเต็มเซลล์ในอดีตมาก แต่ก็น่าจะเพียงพอครับ”

นายแพทย์หนุ่มพูดขึ้นหลังจากตรวจร่างกายของเขาเสร็จ ชายหนุ่มที่เพิ่งออกมาจากเครื่องตรวจโดยระบบแรงแม่เหล็กไฟฟ้าขมวดคิ้ว เขาป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อทำลายตนเองตั้งแต่เด็ก เขาจึงต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันที่มากเกินไปตลอด และนำสเต็มเซลล์ของคนในตระกูลที่เก็บไว้รุ่นสู่รุ่นมาสร้างภูมิคุ้มกันใหม่ขึ้นมาใช้ นี่คือเรื่องปรกติ เราทุกคนบนโลกต่างเก็บสเต็มเซลล์แช่แข็งไว้ให้ลูกหลานในอนาคตกันทั้งสิ้น บางตระกูลมีย้อนไปเป็นพันปี

“ต่อไปผมจะขอนำสเต็มเซลล์ของตระกูลรุ่นถัดไปของ ดร. มาใช้นะครับ”

นายแพทย์หนุ่มพูดต่อ ดร.พากย์ไม่ได้ตอบอะไรไปมากนอกจากพยักหน้ารับทราบอย่างคุ้นเคย โรคของเขาค่อนข้างใช้สเต็มเซลล์เปลืองมาก กว่าจะอยู่ได้มาถึงปัจจุบัน เขาก็ใช้สเต็มเซลล์ไปสิบกว่ารุ่นแล้ว นี่ก็จะเป็นอีกครั้งที่เขาจะต้องเริ่มใช้สเต็มเซลล์ใหม่จากบรรพบุรุษคนใหม่

“นี่หลอดสเต็มเซลล์ครับ ส่วนสเต็มเซลล์ข้างใน ผมจะเก็บไว้ในระบบของโรงพยาบาล คาดว่าจะใช้ต่อไปได้อีกหลายปี”

ดร.พากย์ยื่นมือไปรับหลอดสเต็มเซลล์ที่ว่างเปล่ามา เขากวาดตาดูบนหลอดตามสัญชาตญาณ ปี 2488 ย้อนกลับไปกว่า 500 ปีแล้ว โรคของเขาใช้ความร่วมมือจากบรรพบุรุษได้สิ้นเปลืองจริงๆ ชายหนุ่มเลื่อนนิ้วไปอีกฟากของหลอดสเต็มเซลล์ ตรงนั้นมีตัวอักษรสามตัวและสระสองตัวเขียนไว้ น่าจะเป็นชื่อของคนในตระกูลเขา

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ เขาอ่านไม่ออกและไม่เข้าใจความหมาย

กฎหมายในประเทศถูกตราไว้เป็นพันปีแล้วว่า ชื่อของประชาชนที่ถูกตั้งต้องมีความหมายตามพจนานุกรมเท่านั้น แต่เขาผู้ท่องพจนานุกรมได้ทุกคำทุกประโยคทุกบรรทัดกลับแปลความหมายของคำนั้นไม่ได้ ดร.พากย์แบกร่างกายกลับบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

นี่คือจุดด่างพร้อยแรกของชีวิต ถึงแม้ว่าจะเป็นคำในยุคก่อนชำระพจนานุกรม แต่สำหรับคนที่เก่งภาษาที่สุดในโลกอย่างเขา การแปลคำใดคำหนึ่งไม่ออกก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละออกจากความคิดไปได้โดยง่าย