เรื่องสั้น : เพื่อนเก่า / กิติศักดิ์ ศรีแก้วบวร

 

เรื่องสั้น / กิติศักดิ์ ศรีแก้วบวร

 

เพื่อนเก่า

 

พอวัยล่วงเลย ผ่านพ้นช่วงกลางคนมาย่างเข้าวัยดึก ผมก็รู้สึกว่าชีวิตเริ่มโหยหาอดีตมากขึ้น ยิ่งไม่ได้พำนักอยู่ในบ้านเกิด ด้วยต้องมาทำงานอยู่ต่างจังหวัดนับสิบปี วันเวลาเก่าๆ มักจะย้อนเข้ามาในห้วงคำนึง คิดถึงเพื่อน คิดถึงครู คิดถึงโรงเรียน ยิ่งไปกว่านั้นทุกเหตุการณ์ ทุกวีรกรรม ยังคงถูกเก็บไว้ในลิ้นชักแห่งความทรงจำ ที่แง้มเปิดออกมาเมื่อใด ราวกับว่าทุกเรื่องราวเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้นี่เอง

อีกปีเดียวผมก็จะห้าสิบแล้ว เพื่อนวัยเดียวกันเริ่มมีอันเป็นไปทีละคน บางคนตายไปแล้วแต่ก็เหมือนยังอยู่ บางคนยังอยู่แต่ก็เหมือนตายจากกันไปแล้ว และผมได้ข่าวครูที่เคยประสิทธิ์ประสาทวิชาค่อยๆ ล้มหายตายจากไปถี่ขึ้น ประหนึ่งใบแก่ของไม้ใหญ่ทยอยกันผลัดใบลง จนคิดว่าป่านนี้คงไม่เหลือครูที่เคยอบรมสั่งสอนในวัยเยาว์หลงเหลืออยู่อีกแล้ว

แต่พอทราบข่าวว่า ครูเก่าซึ่งเคยสอนตอนประถมที่พัทลุง อาจยังมีชีวิตอยู่ท่านหนึ่ง ผมก็พยายามสืบเสาะทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้ที่อยู่ปัจจุบันของท่านมา และตั้งปณิธานขอให้ได้กราบครูผู้มีพระคุณท่านนี้อีกสักครั้ง…

ครูนงรามเคยสอนวิชาภาษาอังกฤษผมกับเพื่อนๆ ตอนอยู่ ป.6 สมัยนั้นพวกเรายังวัยกระเตาะ เพิ่งสิบเอ็ดสิบสองปีกันเห็นจะได้ ภาพครูในปัจจุบันจึงสุดจะคาดเดา

ผมเริ่มต้นโดยติดต่อไปยังโรงเรียนเก่า ทว่าได้รับแจ้งกลับมาว่า หลังรุ่นผมจบการศึกษา ครูนงรามย้ายไปสอนโรงเรียนแถบภาคกลาง ไม่มีข้อมูลอื่นใดอีก ทั้งที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ ผมจึงมาสืบหาจากญาติของครู แต่ก็คว้าน้ำเหลว ญาติห่างๆ ของครูบอกว่าไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้ว

เหมือนจะมืดไปแล้วเจ็ดด้าน แต่ผมยังไม่ถอดใจ พยายามหาหนทางอื่นเพื่อติดต่อครูให้จงได้ วินาทีนั้นผมนึกถึงอินเตอร์เน็ต ‘กูเกิล’ อาจเป็นด้านที่แปดซึ่งมีแสงสว่างรออยู่ แต่หากครูแต่งงานมีครอบครัว ต้องเปลี่ยนนามสกุลตามสามี การสืบค้นข้อมูลก็คงเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก

ผมเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ขณะพิมพ์ชื่อ-นามสกุลของครู ตามด้วยกดปุ่มค้นหาข้อมูล กระทู้ที่ปรากฏหน้าจอ ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลของผู้ที่มีชื่อหรือนามสกุลซึ่งสะกดคล้ายๆ กันกับครูแทบทั้งสิ้น

ผมเป่าปาก รู้สึกผิดหวัง เมื่อลุ้นผ่านหน้าแรกไป โดยไม่มีเบาะแสใดๆ ให้ตามต่อได้เลย

กระทั่งไล่อ่านไปในหน้าที่สอง มีกระทู้ของเพจไทยแลนด์เยลโลเพจเจส แสดงชื่อ-นามสกุลของครูที่ถูกต้อง ระบุภูมิลำเนา พร้อมหมายเลขโทรศัพท์บ้าน ข้อมูลสั้นๆ นั้นทำเอาหัวใจผมพองโต ใจเต้นไม่เป็นส่ำเลยทีเดียว

หลังได้คุยโทรศัพท์ทางไกลกับครูนงรามวันนั้น จึงทราบว่าครูเกษียณราชการมาหลายปี ยังครองโสดและใช้ชีวิตอยู่ที่อัมพวา สมุทรสงครามตลอดมา ตั้งแต่ย้ายภูมิลำเนาไปจากปักษ์ใต้

นับว่าโชคชะตายังเข้าข้างผมกับเพื่อนพ้องไม่น้อย ท้ายที่สุดเราก็ตามหาครูจนเจอ

ก่อนหน้านี้ผมกับเพื่อนๆ เคยนัดพบปะกันมาบ้างแล้ว การสื่อสารยุคใหม่ช่วยให้เราติดต่อถึงกันสะดวกและรวดเร็วขึ้น พอได้ข้อมูลของครู ผมจึงแจ้งไปยังไลน์กลุ่ม เพื่อนัดรวมตัวกันที่อัมพวาในอีกหนึ่งเดือนถัดมา แม้เพื่อนที่ทราบข่าวประสงค์จะมาร่วมงานพบปะที่กำลังจะมีขึ้น แต่หลายคนก็จำต้องล้มเลิกความตั้งใจ ยอมปล่อยให้โอกาสสำคัญหลุดลอย จากสารพันปัญหาอันส่งผลต่อการเดินทาง ขณะที่บางส่วนยังไม่สามารถติดต่อได้

 

เราสิบกว่าคนไปถึงบ้านครูตอนสายวันหนึ่งของเดือนมีนาคม ผมเห็นหญิงวัยต้นเจ็ดสิบยืนรอรับพวกเราหน้ารั้วบ้าน อดีตครูสอนภาษาอังกฤษสุดเปรี้ยว แต่งตัวโฉบเฉี่ยวนำสมัยที่สุดในโรงเรียน บัดนี้ก็ยังคงมีร่องรอยเหล่านั้นปรากฏให้เห็น ครูนงรามรูปร่างผอมบาง งามสมวัย สุขภาพแข็งแรงและกระฉับกระเฉงกว่าที่เราคิดกันเอาไว้เสียอีก

“ครูคงทำบุญร่วมกับพวกเธอไว้ ถึงได้มาพบกันอีกนะ” ครูนงรามเอ่ยทักทายขึ้นเป็นประโยคแรก ดวงตาฉายประกายปลื้มปีติ น้ำตารื้นขณะกวาดสายตามองพวกเรา หลังจากนั้นเพื่อนๆ จึงทยอยเข้าสวมกอดครู สลับถามไถ่กันเสียงเจื้อยแจ้วจนแทบไม่มีช่องว่างให้ผมพูดแทรก

ผมปล่อยให้เพื่อนเดินไปล่วงหน้า ผ่านบริเวณสวนหย่อมและแปลงผักสวนครัวเล็กๆ ตามครูเข้าในบ้าน ขณะนึกขึ้นได้ว่าลืมของชิ้นหนึ่งไว้ จึงย้อนกลับไปที่รถอีกครั้งเพียงลำพัง

บ้านครึ่งปูนครึ่งไม้สีขาวของครูหลังนั้น ไม่ได้หรูหรา หากแต่ดูอบอุ่น ภายในห้องรับแขกจัดวางข้าวของเครื่องใช้อย่างเป็นระเบียบ ด้านหนึ่งเปิดหน้าต่างรับลมจากแม่น้ำ ชุดรับแขกถูกจัดวางชิดผนัง เพิ่มพื้นที่กลางห้องวางโต๊ะยาวพร้อมเก้าอี้ เตรียมอาหารว่างมากมายไว้ต้อนรับพวกเรา ฝั่งตรงข้ามมีตู้ไม้ใส่ของเก่าเก็บ ใกล้กันเป็นตู้เสมอเอววางโทรทัศน์ ผนังอีกด้านเรียงรายด้วยภาพถ่ายบ้างสีบ้างขาว-ดำ ในกรอบหลากแบบหลายขนาด แขวนเกือบเต็มพื้นที่ ราวแกลเลอรี่แสดงภาพถ่ายของศิลปินดัง ส่วนใหญ่เป็นภาพครูขณะร่วมกิจกรรมจิตอาสาอันน่าประทับใจ รวมทั้งภาพในอิริยาบถต่างๆ พร้อมเพื่อนพ้อง ขณะท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายมุมโลก เป็นที่ตื่นตาของพวกเราเมื่อได้เดินดูอย่างชื่นชม

พอเห็นว่าได้เวลา ผมถือโอกาสเป็นตัวแทนของเพื่อนทั้งหมด มอบของขวัญชิ้นพิเศษที่เตรียมมา เป็นที่ระลึกสำหรับครู มันเป็นภาพถ่ายหน้าเสาธงของพวกเราพร้อมคณะครูในวันที่จบการศึกษาชั้นประถมปลาย ขยายใหญ่ แต่งสีซีเปีย ใส่กรอบไม้เรียบๆ แต่ดูทรงคุณค่า

“โอ้ สวยมาก ขอบใจลูกทุกคนจริงๆ” ครูนงรามยิ้มพราย แม้จะผ่านมาเนิ่นนาน แต่แววตาเปี่ยมเมตตาคู่นั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนก้มพินิจในภาพตรงกลุ่มเด็กผู้ชายที่ยืนเรียงแถวบน พลางเอ่ยขึ้น “นี่นายพีระ อดุลย์ เชิงชาย…ใช่มั้ย?” แล้วช้อนตามอง “มากันครบทั้งสามคนเลยนะ”

“สูงโปร่งนี่หัวหน้าห้องของเรา…กิตติชัย” ครูนงรามชี้ค้างตรงกลางภาพ แล้วเงยหน้ายิ้มปริ่มมายังผม ก่อนวางสายตาไปในภาพเก่าอีกครั้ง

“นายเอกรัฐ… เมื่อก่อนตัวขาวผมทองเหมือนลูกฝรั่ง ตอนนี้กลายเป็นลุงแซมใส่แว่นตาไปเสียแล้ว” ครูนงรามหันไปสัพยอกคนที่รูปร่างท้วมขึ้นผิดหูผิดตา แต่ยังคงบุคลิกขี้เล่น คุยสนุก ทว่าแฝงความจริงจังเป็นบางคราว เปลี่ยนบรรยากาศซาบซึ้งเป็นครึกครื้นเฮฮาขึ้นมาทันใด

“ตัวเล็กสุด…วิเชษฐ์ใช่มั้ย?” ครูทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “มาถึงโรงเรียนแต่เช้าก่อนใครทุกวันเลย”

“ต้องรีบมาแต่ไก่โห่ เพราะต้องมาลอกการบ้านเพื่อนครับครู” เชิงชายโพล่งขึ้น เพื่อนๆ ระเบิดหัวเราะกันยกใหญ่ ขณะเจ้าตัวส่ายหัว ยิ้มหน้าแดง

“นี่แม่อิงอร ชฎาพร ยุภารัตน์…สินะ” ครูเลื่อนสายตาลงมาตรงแถวนั่งของเด็กผู้หญิง

“แต่ก่อนร้องไห้ขี้มูกโป่งเวลาถูกครูดุ ตอนนี้ยังเป็นอยู่ไหม” ครูนงรามปรายตาเย้ายุภารัตน์

“ตอนนี้หนูได้เป็นแม่พิมพ์เหมือนครูแล้วนะคะ จะทำตัวเหมือนแต่ก่อนให้เด็กๆ เห็นจะไม่ได้แล้วค่ะ” ยุภารัตน์แก้เก้ออย่างภาคภูมิใจ

“โอ ครูดีใจด้วยจริงๆ แล้วก็ยินดีกับความสำเร็จของลูกทุกคนด้วยค่ะ ฝากบอกคนที่ไม่ได้มาวันนี้ด้วยนะ”

 

ทว่าในท่ามกลางความเบิกบานยินดีของเหล่าเพื่อนและครูนั้น ผมกลับสังเกตเห็นใครคนหนึ่งขยับยิ้มอย่างฝืดฝืน แววตาหม่นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ที่ต่างออกไปจากเพื่อนคนอื่นอย่างสิ้นเชิง

เอกรัฐเริ่มหน้าถอดสีตั้งแต่เข้ามาในห้องรับแขกได้สักพัก ดูเหมือนเขาจะนิ่งเงียบไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นคนชวนเพื่อนๆ คุยจ้อมาตลอดทาง

ช่วงหนึ่ง ครูย้อนเรื่องราวหลังย้ายมาอยู่อัมพวาให้พวกเราฟังอย่างเพลิดเพลิน ทุกวันตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้า วิ่งเหยาะๆ ในสวนสาธารณะใกล้บ้าน รับอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด เลือกกินแต่สิ่งมีประโยชน์ เน้นผักปลา ที่สำคัญสวดมนต์ทำสมาธิก่อนนอนสม่ำเสมอ ยังแนะนำให้พวกเราเอาไปปฏิบัติบ้าง จะได้ห่างไกลโรค และอีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลย คือต้องเข้าร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคม ช่วยเหลือส่วนรวมตามที่ยังพอมีกำลัง

ใกล้เที่ยงครูพาพวกเราลงรับประทานอาหารกลางวันในเรือยนต์มีหลังคาลำใหญ่ หัวเรือแหวกน้ำเป็นริ้วระลอก ผืนน้ำสะท้อนแสงแดดวิบวับ มองเห็นเรือน้อยใหญ่แล่นสวนกันไปมา ขณะลมแม่น้ำพัดพาไอเย็นมาปะทะแสนสดชื่น ทั้งยังได้ลิ้มรสอาหารทะเลแบบดั้งเดิมแท้ๆ สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้าน และชมทัศนียภาพสองฝั่งแม่กลองอันสวยงาม นี่มันสวรรค์ชัดๆ ผมอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้เสียจริง

ช่วงที่รับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยกันนั้นเอง พีระได้เปรยขึ้นเป็นนัย

“ได้ลงเรือลำเดียวกันกับครู ผมภูมิใจที่สุดเลยครับ”

“ใช่ค่ะครู” อิงอรร่วมสำทับ

ผมเข้าใจสิ่งที่เพื่อนทั้งสองต้องการสื่อ แต่คงจะดีกว่าหากจะเปลี่ยนเรื่องเสีย ผมจึงพยายามชวนคุยออกนอกประเด็นอยู่เป็นระยะ เพื่อรักษาบรรยากาศแห่งความสุขครั้งนี้ให้ผ่านไปด้วยดี

 

พอบ่ายคล้อย เรือจึงพาพวกเราทวนน้ำกลับมายังบ้านครูอีกครั้ง…

เวลาแห่งความสุขที่บ้านครูนงรามหมดไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน นอกจากความรู้สึกดีใจที่ได้พบเพื่อนพบครูแล้ว ผมยังรู้สึกโล่งใจราวยกภูเขาออกไปจากอก เมื่อตลอดห้วงเวลานั้น ไม่มีใครอุตริชวนเสวนาเรื่องการบ้านการเมืองขึ้นมา ด้วยเห็นความขัดแย้งมานักต่อนัก เมื่อวงสนทนาวกเข้าเรื่องอันล่อแหลมนั้น ไม่ว่าจะในครอบครัวเดียวกัน เครือญาติ หมู่เพื่อนฝูง หรือในที่ทำงาน เป็นต้องเกิดเรื่องวุ่นวายร้าวฉานให้ต้องวงแตกเสียทุกครั้งไป ผมคิดเสมอว่าสังคมอยู่ได้โดยความต่าง ถ้าเราทุกคนมีอะไร ทำอะไรเหมือนๆ กันทั้งหมด เราจะไม่สามารถเรียกวิถีที่เราอยู่รวมกันว่า ‘สังคม’ ได้เลย เพียงแต่เราต้องเคารพสิทธิของกันและกันเอาไว้เป็นสำคัญ

งานเลี้ยงเลิกราลงแล้ว เพื่อนทุกคนต่างเรียกร้องให้นัดพบปะกันอีกในปีต่อไป ก่อนกลับผมขอช่องทางติดต่ออื่นๆ ของเพื่อนทุกคนไว้อีกครั้ง นอกจากเบอร์มือถือและไลน์ซึ่งมีอยู่ก่อนหน้า ตอนนี้เพื่อนส่วนใหญ่ก็เริ่มมีเฟซบุ๊กส่วนตัวกันแล้วด้วย

จะมีก็แต่เอกรัฐที่ยืนกรานว่าไม่มีเฟซบุ๊กส่วนตัว เขาไม่ชอบโลกเสมือนจริง!

 

หลังกลับจากอัมพวา ดูเหมือนในไลน์กลุ่มของพวกเราคึกคักยิ่งขึ้น เมื่อได้ต้อนรับสมาชิกใหม่อีกหลายคน ขณะที่บางคนกลับเงียบหายไป…

กระทั่งวันหนึ่งสมาชิกในไลน์กลุ่มแจ้งข่าวว่า มีเพื่อนสมัยประถมของเราคนหนึ่งเสียชีวิตลงกะทันหัน เขาถูกยิงกลางวงเหล้าในงานบวช เหตุเพราะพูดไม่เข้าหูกันด้วยความเห็นต่างทางการเมือง ข่าวร้ายนี้ทำเอาผมใจหายและรู้สึกหดหู่มิใช่น้อย แน่ละ ความตายเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องประสบพบพานเข้าสักวัน แต่ชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่ง ต้องผ่านความยากลำบากมามากมาย

มันจะคุ้มค่ากว่าไหม หากจะตายด้วยเหตุผลอันสมควรกว่านี้

 

ต้นเดือนเมษายนปีถัดมา เราชวนกันมากราบครูนงรามที่อัมพวาอีกครั้ง โดยเปลี่ยนมาจัดที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านครูนัก แม้มีคนมาเพิ่มขึ้น แต่เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยมาด้วยกันเมื่อปีก่อน กลับหายตัวไปไร้ข่าวคราว

ก่อนกลับมาเยี่ยมครูนงรามหนนี้ ผมพยายามติดต่อเอกรัฐด้วยหลายๆ ช่องทางอยู่นานนับเดือน ปรากฏว่านอกจากจะเปลี่ยนเบอร์มือถือไปแล้ว เขายังพาตัวเองออกไปจากไลน์กลุ่มโดยไม่รู้สาเหตุ ไม่มีใครติดต่อเขาได้อีกเลย ขณะที่เพื่อนหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากแยกย้ายกันที่อัมพวาครั้งนั้น เขามีท่าทีต่อเพื่อนๆ เปลี่ยนไป

“ปีนี้มาเพิ่มกันหลายคน… วรัญญา เรืองเดช พงพัฒน์ ห้อง 6/1” ครูไล่เรียงทีละคน พลางถามขึ้น “อ้าว แล้วปีนี้เอกรัฐล่ะ ไม่มาหรอกหรือ?”

“เขาหายไปไหนไม่ทราบค่ะครู หลังกลับจากบ้านครูเมื่อปีก่อนก็ไม่มีใครติดต่อได้อีกเลย” ลัดดาพูดขึ้นอย่างฉงนปนขุ่นเคือง

“เขาอาจจะติดธุระก็ได้นะ” ครูแก้ต่างให้ ก่อนตัดบทถามไถ่ถึงครอบครัวและหน้าที่การงานเป็นรายคน

ร่วมรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จสรรพ คุยกันอีกพักใหญ่ พอตกบ่ายจึงจัดพิธีรดน้ำขอพรครูในโอกาสที่เทศกาลสงกรานต์กำลังจะมาถึง เป็นสิริมงคลต่อชีวิตของพวกเรา ทุกคนต่างมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม เมื่อได้แสดงมุทิตาจิตต่อครูผู้มีพระคุณ กลิ่นดอกมะลิและน้ำอบไทยฟุ้งอบอวลไปทั่วรีสอร์ต

ชวนให้หวนนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ในวันไหว้ครูที่โรงเรียนสมัยก่อนไม่น้อย

 

วันแม่ปีนั้น ผมถือโอกาสกลับมากราบแม่และเยี่ยมพ่อที่บ้านเกิด หลังจากห่างหายไปนาน มัวแต่สาละวนกับงานราษฎร์งานหลวงที่นครศรีธรรมราชเสียหลายเดือน

ตกเย็นไอแดดเริ่มเจือจาง ใกล้ถึงบ้านอยู่รอมร่อ ทว่าความถวิลหาความหลังสั่งผมให้เลี้ยวรถเข้าไปแวะเวียนในโรงเรียนแห่งนั้น บ้านหลังที่สองของผม ที่ซึ่งมีเรื่องราวแห่งวัยเยาว์เล่าขานไม่รู้จบ นานแล้วที่ไม่ได้เข้ามาเยือน ได้แต่เหลียวมองเวลาขับรถผ่านเพียงแค่นั้น

ผมจอดรถตรงมุมหนึ่ง ถึงแม้สิ่งต่างๆ จะทรุดโทรมไป แต่มนต์เสน่ห์ของอดีตยังคงหลงเหลืออยู่ ราวได้ก้าวผ่านประตูแห่งกาลเวลากลับมา ผมลงจากรถมานั่งลงที่โต๊ะหินขัดใต้ทิวสนริมสนาม กวาดตามองไปรอบๆ บริเวณ บัดนี้โรงเรียนดูเงียบเหงา อาคารไม้สองชั้นสีครีมเหมือนดั่งชายชราที่อ่อนล้า ทว่าทนฝืนหยัดยืนทำหน้าที่ไปจนถึงที่สุด

ผมได้ยินข่าวมาเป็นระยะว่าโรงเรียนนี้อาจถูกยุบในอนาคตอันใกล้ หากจำนวนนักเรียนยังลดลงต่อเนื่องทุกปีเช่นนี้ มองไปยิ่งรู้สึกใจหาย

แม้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก หากความผูกพันกับสถานที่แห่งนี้ยังมั่นคงมิเสื่อมคลาย ผองเพื่อนที่เคยร่วมเรียนเล่นมาด้วยกัน ต่างคนต่างแยกย้าย ต่างมีเส้นทางของตัวเอง ทว่ามิตรภาพเยาว์วัยช่างไร้เดียงสา คงไม่อาจมีสิ่งใดมาทำลายลงได้…

จริงสิ ป่านนี้เอกรัฐเพื่อนรักของผม จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ?

จู่ๆ ภาพภายในห้อง ป.6/2 เมื่อเกือบสี่สิบปีก่อน ก็หวนย้อนมาปรากฏขึ้นต่อหน้าอีกครั้ง…

“โตขึ้นใครอยากเป็นอะไรกันบ้าง…” ครูประจำชั้นยิงคำถามเปิดประเด็น

“เป็นข้าราชการครับ มีคนนับหน้าถือตา ได้เป็นเจ้าคนนายคน” ใครคนหนึ่งยกมือตอบอย่างมั่นใจ

“อ้าว ไหนใครอยากเป็นข้าราชการบ้าง” ครูประจำชั้นถามย้ำ

นักเรียนในห้องทุกคนรวมทั้งผมยกมือเห็นด้วยกับความคิดนั้นกันพึ่บพั่บ ตามที่ถูกฝังหัวมา มีเพียงคนเดียวที่กลับนั่งนิ่งไม่คล้อยตาม ก่อนจะลุกพรวดขึ้นพูดด้วยเสียงกร้าว

“ผมไม่อยากเป็นข้าราชการ เช้าชามเย็นชาม ต้องคอยแต่ทำตามคำสั่งเบื้องบนหรอกครับ ผมอยากเป็นนักธุรกิจยิ่งใหญ่ ร่ำรวยเป็นเศรษฐีพันล้าน”

แม้วันเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน จนเพื่อนในชั้นอาจลืมเลือน หากน้ำเสียงหนักแน่นของเอกรัฐวันนั้นยังคงก้องดังในใจผมเสมอ เมื่อใดที่คิดถึงเพื่อนคนนี้ขึ้นมา ความคิดความเห็นของเขามักไม่เหมือนใครๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผมได้พบกับน้องชายของเอกรัฐโดยบังเอิญ คงเห็นผมพร่ำบ่นว่าติดต่อเอกรัฐไม่ได้เลย เขาจึงแนะนำผมว่าให้ลองติดต่อไปทางเฟซบุ๊ก พร้อมบอกชื่อเฟซบุ๊กของพี่ชาย ในตอนนั้นเองผมจึงได้รู้ความจริงว่าเอกรัฐก็มีเฟซบุ๊กเหมือนเพื่อนคนอื่น เพียงแต่ไม่มีใครรู้ เพราะเขาไม่ได้ใช้ชื่อ-นามสกุลจริง

หลังจากเข้าไปแอบส่องดูเฟซบุ๊กของเขาสองสามครั้ง ก็พบว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ล้วนเป็นกิจกรรมของคนเสื้อแดง โดยเฉพาะในวันที่ 26 กรกฎาคมนั้น ผมจดจำได้อย่างแม่นยำ เขาได้โพสต์อวยพรวันเกิดอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศอย่างเปิดเผย

เป็นคืนนั้นเอง ที่ทำให้ผมคิดว่า พอจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่างทะลุปรุโปร่งขึ้นแล้ว คนเราก็มักเป็นเช่นนี้ เมื่อรักใครเรามักจะลืมความเลวจนหมด เมื่อชังใครเรามักจะลืมความดีเสียสิ้น

ผมนั่งปล่อยใจเรื่อยไหลไปกับเรื่องราวคาใจที่ไม่อาจบอกใครๆ ซึ่งวันนี้เริ่มกระจ่างแจ้ง อันที่จริงเวลาไม่ได้ทำให้คนเราเปลี่ยนไปหรอก แต่เวลาทำให้หลายๆ อย่างชัดเจนขึ้นต่างหาก กระนั้นสำหรับผมเพื่อนก็คือเพื่อน สัมพันธภาพก่อนเก่ายังคงงดงามในใจอยู่เสมอ แม้บริบทบางอย่างอาจเปลี่ยนไป ทว่าความเห็นต่างใดๆ ไม่อาจทำให้มิตรภาพของเราขาดสะบั้นลงได้แน่นอน หากเอกรัฐอยู่ตรงหน้าผมในเวลานี้ ผมอยากจะบอกเขาเช่นนั้น

เย็นมากแล้ว ป่านนี้พ่อกับแม่คงคอยท่า คงต้องลาจากโรงเรียนอันเป็นที่รักไปอีกครั้ง

ตอนออกรถพาตัวเองมาจากโรงเรียนเก่า ผ่านหน้าเสาธงสูงเด่น จุดที่พวกเราเคยถ่ายภาพหมู่ร่วมกันพร้อมคณะครูในโรงเรียนวันจบการศึกษา ขณะหนึ่งภาพของครูนงรามในชุดเสื้อสีเหลือง นุ่งกางเกงยีนส์ทะมัดทะแมง คาดศีรษะด้วยริบบิ้นลายธงชาติไทย มือซ้ายชูกำปั้น มือขวาถือมือตบ กำลังร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างแข็งขัน ซึ่งแขวนบนผนังบ้านครูที่อัมพวาอย่างติดตาภาพนั้นก็พลันแทรกเข้ามาในห้วงความคิด…