ขอบคุณข้อมูลจาก | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 ก.ค. 59 |
---|---|
เผยแพร่ |
โดย : วิสันต์
“ทุกอย่างเริ่มจากไอ้งั่งคนหนึ่งที่คิดว่าคนเราควรมีอายุแค่ 65 ปี โชคร้ายหมอนั่นดันเป็นนักพันธุวิศวกรรม”
วุฒินันท์คิดเช่นนี้ทุกครั้งที่รู้สึกปวดหัว เขาอยู่มาเกินกำหนดสองปีแล้ว และรู้ดีว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งรหัสมรณะที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอจะเริ่มเปลี่ยนเซลล์ให้กลายเป็นไวรัส เขาจะตายภายในสามสัปดาห์ อย่างมากหนึ่งเดือน แต่จากคำบอกเล่า ยิ่งอยู่นานยิ่งทรมาน
หากวันนั้นมาถึง เขามีตัวเลือกเพียงสองทาง นั่นคือนอนตายด้วยใบหน้าเหยเก หรือรับยาสวีตดรีมเพื่อจากไปอย่างสงบ ทุกคนทราบดีว่าอาการปวดหัวคือระยะเริ่มแรกของไวรัสมรณะ แต่ไม่แน่ เขาอาจแค่กลุ้มใจกับยอดเงินคงเหลือในบัญชีก็ได้
นั่นคือเหตุผลที่วุฒินันท์พาตัวเองมายังสำนักงานดุลยประชากรเพื่อตรวจเลือดให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย
ปลายศตวรรษที่ 23 โลกเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ ต้องขอบคุณเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทำให้ประชากรโลกเพิ่มขึ้นเป็น 12,000 ล้านคน มากกว่า 20% เป็นคนชรา สังคมต้องการผลผลิตมากขึ้นแต่แรงงานน้อยลง ภาษีจำนวนมากมายมหาศาลใช้ไปกับการจัดสวัสดิการให้กับผู้ที่ไม่มีเงินเก็บ รัฐบาลแต่ละประเทศพยายามแก้ไขปัญหาความสมดุลนี้ แต่ดูเหมือนสถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ
“ปัญหาคือโลกเรามีคนแก่มากเกินไป” ใครคนหนึ่งยกกำปั้นทุบดิน
ช่างเป็นคำอธิบายที่เรียบง่าย ชัดเจน เขาเดินจากไปก่อนพูดถึงวิธีแก้
“ไม่ใช่ผมไม่อยากตายนะ แต่มันไม่ยอมตายสักที จะให้ผมเอามีดจิ้มพุงตัวเองอย่างนั้นเหรอ?” ข้าราชการเกษียณอายุวัย 85 พูดติดตลก
“ผมอยากตายจะแย่อยู่แล้ว ทรมานกับโรคร้ายมานานหลายปี เบื่อเหลือเกิน ขอให้หมอฉีดยาให้ไปสบายหน่อยก็ไม่ได้ อ้างเรื่องจรรยาบรรณ เรื่องกฎหมาย อะไรก็ไม่รู้” ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายครวญ
เชื่อเถอะ ไม่ได้มีคนเดียวคิดแบบนี้ หลายคนทรมานจากการเจ็บป่วยไม่มีทางรักษา ได้แต่นอนทุรนทุรายรอวันตายอย่างสิ้นหวัง ความจริงพวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่อยากหลับและไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก
ยาสวีตดรีมหรือเอสดีจึงได้ถือกำเนิดขึ้น ใครเป็นคนคิดน่ะเหรอ? ไม่มีใครรู้ คงไม่มีใครอยากถูกจารึกชื่อในประวัติศาสตร์โลกว่าทำให้คนตายเป็นล้านๆ หรอก หลายคนบอกว่าบางทีรัฐบาลอาจอยู่เบื้องหลัง ในเมื่อทำบนดินไม่ได้เช่นนั้นทำใต้ดินก็แล้วกัน แต่เป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิดไม่มีหลักฐานใดๆ ประเด็นคือไม่มีใครสนใจที่มาอีกแล้ว เอสดีแพร่หลายรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง รัฐบาลทำเป็นมองไม่เห็น จนกระทั่งมันถูกเริ่มใช้โดยวัยรุ่นและวัยทำงาน เด็กที่สอบไม่ติด ผิดหวังอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็หายามากินประชดชีวิต คนตกงาน ผิดหวังในความรักเกิดคิดสั้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบจบชีวิตตัวเองอย่างน่าเสียดาย
เมื่อนั้นแหละ เอสดีจึงได้ออกจากเงามืดยกระดับตัวเองกลายเป็นยาควบคุมพิเศษห้ามซื้อขายอย่างเด็ดขาด แต่ประชาชนสามารถรับยานี้ได้ฟรีหากอายุ 65 ปีขึ้นไปหรือป่วยเป็นโรคร้ายแรงไม่มีทางรักษา และเพื่อป้องกันการแอบเบิกยาไปจำหน่ายต่อ แพทย์ที่เบิกยาชนิดนี้ต้องฉีดให้ผู้ป่วยด้วยตัวเอง
แน่นอน ในช่วงแรกย่อมถูกต่อต้านจากนักสิทธิมนุษยชนจำนวนหนึ่งเพราะถือเป็นการุณยฆาตเชิงรุก แต่คนจำนวนมากกว่าบอกว่ามันเป็นสิทธิของแต่ละคนในการเลือกวาระสุดท้ายของตัวเอง ผนวกกับสังคมสูงอายุทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที หลายฝ่ายจึงยินยอมพร้อมใจยกให้เอสดีเป็นยาถูกต้องตามกฎหมาย
หลายปีผ่านไป สถานการณ์คนชราล้นเมืองยังคงทรงตัว แม้หลายคนสมัครใจรับยาแต่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น และแล้วจุดเริ่มต้นแห่งความวิปลาสของมวลมนุษยชาติก็ได้อุบัติขึ้น
มีการเสียชีวิตของคนชราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนผิดสังเกต เมื่อชันสูตรศพเหล่านั้นพบว่ามียาทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรงถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน ใครกันทำเรื่องไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ ความจริงน่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือผู้ที่ได้รับยาซึมเศร้าทั้งหมดล้วนเป็นคนยากจน คนด้อยโอกาส ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นฝีมือของพวกเหยียดชนชั้นอย่างรุนแรง
หลายฝ่ายถูกโจมตีว่าอยู่เบื้องหลัง สุดท้ายไม่สามารถหาเบาะแสได้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด แต่เหตุการณ์นี้ล่วงรู้ไปถึงนักพันธุวิศวกรรมคนหนึ่งชื่อ จอห์น คิลเลียน ผู้ซึ่งโกรธแค้นกับการกระทำนี้เป็นอย่างมาก
ทำไม? คนจนไม่มีสิทธิมีชีวิตอยู่บนโลกนี้หรือ มันมากเกินไปแล้ว พวกนั้นต้องชดใช้ อยากแก้ปัญหาผู้สูงอายุใช่ไหม? ได้สิ ฉันจะช่วยด้วยอีกแรง อยากเก็บโลกนี้ไว้ให้เฉพาะพวกคนรวยเท่านั้นใช่ไหม? เสียใจด้วย ฉันจะเป็นคนสร้างความเท่าเทียมให้โลกใบนี้เอง ต่อจากนี้คนทุกคนไม่ว่ายากดีมีจนต้องตายเมื่ออายุครบ 65 ปี ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีทางแก้
จอห์นเสนอแนวคิดนี้ออกไป ซึ่งเสียงตอบรับหากไม่ใช่เสียงหัวเราะเยาะก็เป็นเสียงก่นด่าสาปแช่ง ไม่มีใครเห็นด้วยแม้แต่คนเดียว เรื่องอะไรจะลดทอนสิทธิการมีชีวิตของตนเอง จอห์นไม่ออกมาพูดเรื่องนี้กับสาธารณชนอีก แต่ไม่ได้หมายความว่าล้มเลิกความคิด ตรงกันข้ามเขาเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อวิจัยความเป็นไปได้ของแนวคิดนี้
เป็นเรื่องยากในการคาดเดาว่าจอห์นเริ่มแพร่กระจายไวรัสตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะผู้ที่ได้รับเชื้อเป็นเพียงพาหะ ไม่แสดงอาการใดๆ ตลอดช่วงชีวิต แต่ผลจะเกิดขึ้นในรุ่นลูก รุ่นหลานสืบทอดต่อไปเรื่อยๆ นั่นคือสาเหตุที่กว่าผู้คนจะรู้ตัวว่าต้องตายเมื่ออายุ 65 ปีก็อีกกว่าชั่วอายุคนต่อมา
เนื่องจากไวรัสติดต่อผ่านสารคัดหลั่งของร่างกาย ติดง่ายเหมือนไข้หวัด ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครป้องกัน สามารถแพร่กระจายอย่างอิสระเสรีกว่าศตวรรษ ทำให้ไม่มีใครในโลกรอดพ้นไปได้
ผู้เสียชีวิตรายแรกๆ ถูกวินิจฉัยว่าเป็นลูคีเมียชนิดเฉียบพลัน เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวถูกสร้างขึ้นมากกว่าปกติเป็นทวีคูณ แต่พอมีผู้เสียชีวิตด้วยอาการเดียวกันทั่วโลกหลายแสนคนในเวลาไล่เลี่ยกัน ต่อให้หัวทึบแค่ไหนก็ต้องรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นักวิทยาศาสตร์ถูกหลอกให้หลงทางเพราะคิดว่าเป็นโรคระบาดชนิดใหม่ หารู้ไม่ ไวรัสมรณะไม่ได้แพร่กระจายอยู่ภายนอกแต่ฝังตัวอยู่ในพันธุกรรมของมนุษย์ทุกคน และจะแสดงตัวต่อเมื่อคนผู้นั้นเข้าสู่วัยชรา กว่าความลับนี้จะถูกเฉลยเวลาก็ผ่านไปนานหลายปี
แนวคิดของจอห์นถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้งเพื่อหาทางแก้ไข แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเขาคืออัจฉริยะอย่างแท้จริง เขาวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วว่าต้องมีคนพยายามคิดค้นยาขึ้นมาต่อต้าน ดังนั้น หากไวรัสส่วนหนึ่งถูกทำลาย ส่วนที่เหลือจะกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วส่งผลให้ผู้รับแอนติโดทเกิดการดื้อยา นักวิทยาศาสตร์พากันปวดหัวเพราะการกำจัดไวรัสมรณะได้อย่างราบคาบในคราวเดียวนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย อีกทางหนึ่งบริษัทยาต่างๆ ช่วยกันคิดค้นวัคซีนเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ยังไร้วี่แววความสำเร็จเช่นกัน
สิ่งเดียวที่ไวรัสของจอห์นทำไม่ได้ตามแผนคือช่วงเวลาแผลงฤทธิ์ ตามสถิติผู้เสียชีวิตอยู่ในช่วงอายุ 52 ถึง 68 ปี หากใครคนหนึ่งมีพ่อเสียชีวิตที่อายุ 59 และแม่เสียชีวิตที่อายุ 67 ก็มีความเป็นไปได้ว่าตัวเขาจะเสียชีวิตตอนอายุ 63 ทุกคนจึงสามารถทราบชะตากรรมของตัวเองได้อย่างคร่าวๆ ผ่านตัวเลขแห่งความตายซึ่งภายหลังถูกเรียกว่า “อายุวิกฤต”
เสียงโวยวายเกรี้ยวกราดของผู้คนเริ่มซาลง พวกเขาเหล่านั้นเริ่มปลงตกและปรับตัวให้เข้ากับอายุวิกฤตของตัวเอง สำหรับบางคนเริ่มคิดว่ารู้ล่วงหน้าก็ดีเหมือนกันเพราะมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจและจัดการภาระให้เสร็จสิ้นเพื่อใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างไร้ห่วงกังวล
เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางศตวรรษที่ 25 ประชากรบนโลกลดลงเหลือไม่ถึง 5,000 ล้าน มีคนชราไม่ถึง 10% แบบนี้จะเรียกว่าเป็นความสำเร็จของจอห์นได้ไหมนะ…
วุฒินันท์เริ่มปวดหัวอย่างรุนแรงเมื่อหลายวันก่อน อายุวิกฤตของเขาคือ 63 อยู่มาเกินเกือบสองปี ได้กำไรแล้ว หลายคนชอบพูดอย่างนั้น แต่ตัวเองยังไม่อยากเชื่อ เดือนก่อนสุขภาพยังแข็งแรงดีอยู่แท้ๆ เขาเคยได้ยินว่าบางคนอยู่เกินอายุวิกฤตมากกว่าสิบปีด้วยซ้ำ…เปล่าประโยชน์ อย่าปลอบใจหรือหลอกตัวเองอีกเลย เผชิญหน้ากับความจริงดีกว่า คิดได้ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางมาสำนักงานดุลยประชากรเพื่อตรวจสอบให้แน่ชัด
ขั้นตอนเจาะเลือดผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดนเข็มจิ้มเข้าที่แขนคราวนี้ช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยซะเหลือเกิน
เขานั่งรอฟังผลอยู่บริเวณเก้าอี้ยาวรวมกับคนอื่นๆ แววตาสิ้นหวังของแต่ละคนแทบไม่ต่างกัน
“ปี๊บ!” ชายชราใจหายวาบเมื่อได้ยินเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงส่งสัญญาณเตือน เขาหยิบขึ้นมาดูหมายเลขห้องตรวจที่ปรากฏบนหน้าจอ ได้เวลาฟังผลแล้ว
เขาเดินเข้าไปยังห้อง 207 โต๊ะของหมอวางชิดกำแพงด้านขวา ถัดมาเป็นเก้าอี้สำหรับผู้มาตรวจ เตียงนอนวางอยู่ด้านซ้าย พยาบาลกำลังจัดระเบียบผ้าปูเตียงอันยับย่น ดูเหมือนใครบางคนเพิ่งถูกลากตัวออกไป
“เชิญนั่งก่อนค่ะ คุณหมอกำลังปรึกษาผลตรวจเลือดกับหมอท่านอื่นเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด”
ทำไมต้องปรึกษากับหมอท่านอื่นหากเป็นแค่ไข้หวัด คำพูดของเธอไม่เปิดช่องให้เขาคิดเข้าข้างตัวเองเลย
พยาบาลสาวปรายตามองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาคิดอย่างไร เธอคงเคยเห็นแววตาของผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตมานับไม่ถ้วน “หากเป็นสมัยก่อนเราต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคร้ายทั้งๆ ที่ไม่มีทางรักษา แต่ต้องทนนอนเจ็บปวดอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหมดลมหายใจ เทียบกับสมัยนี้ ความตายแทบไม่น่ากลัวเลย เหมือนหลับไปเท่านั้นเอง”
“ผมอยู่มาเกินอายุวิกฤตประมาณสองปีแล้ว” เขาพูดขณะนั่งลง
“กำไรตั้งสองปี ยินดีด้วยนะคะ”
สีหน้าของชายชราไม่บ่งบอกว่ายินดีเลยสักนิด “ทุกคนก็พูดอย่างนั้น แต่ผมอยากอยู่ให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย ทำไมเราต้องถูกกำหนดให้มีชีวิตเท่านั้นเท่านี้ด้วย คุณพยาบาลไม่คิดว่าเราถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเหรอ?”
พยาบาลสาวจัดเตียงเสร็จแล้ว เธอหันมาทางเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“อืม! พวกเราไม่เคยอยู่ในยุคสังคมสูงอายุ ยุคที่ทรัพยากรขาดแคลนอย่างหนัก ประชาชนในสังคมเกือบหนึ่งในสี่เป็นคนชรา และส่วนใหญ่ป่วยกระเสาะกระแสะทำงานไม่ได้ แค่คิดก็รู้สึกถึงความยากลำบากแล้วนะคะ คุณอยากอยู่ในยุคแบบนั้นเหรอ แลกกับการมีชีวิตยืนยาวอย่างไม่แน่นอนคาดการณ์อะไรไม่ได้”
“ผมคงเกิดผิดยุคกระมัง” เขาตอบ
“สุดท้ายแล้วก็ต้องตายอยู่ดี ฉันคิดว่าการที่คนเราสามารถวางแผนชีวิตได้ตั้งแต่เกิดจนตาย ดีกว่าเป็นไหนๆ”
“อายุวิกฤตของคุณคือเท่าไหร่ครับ?” ถามแบบนี้หนักกว่าถามคนแปลกหน้าว่าคุณเงินเดือนเท่าไหร่เสียอีก “เอ่อ…ขอโทษครับ ผมลืมตัวไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ฉันคงให้คำตอบแน่ชัดไม่ได้เพราะว่าพ่อแม่ยังไม่เสีย ถ้าหากคำนวณจากอายุของปู่ย่าตายาย ค่าเฉลี่ยคงอยู่ราวๆ 67 ปี”
“แต่คุณรู้ดีว่านั่นเป็นแค่ตัวเลขโดยประมาณ มันอาจกลายพันธุ์ อายุวิกฤตของคุณอาจหดเหลือแค่ 45 ปีก็ได้ คราวนี้แผนที่อุตส่าห์วางไว้ก็ล้มเหลวหมด ถึงตอนนั้นคุณยังสามารถยอมรับสภาพได้อย่างหน้าชื่นตาบานหรือเปล่า?”
พยาบาลสาวอึ้งไป
“มันไม่ใช่แค่หลับไปหรอก มันเหมือนถูกขโมยอิสรภาพของการมีชีวิตมากกว่า หลายปีมานี้ผมต้องนอนขวัญผวาระแวงตลอดเวลา เพราะไม่รู้เมื่อไหร่จะถึงคิวของตัวเอง ถ้าหากนายจอห์นนั่นอัจฉริยะจริง ทำไมไม่ระบุให้ชัดเจนล่ะว่าทุกคนต้องตายเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ตายแบบเป๊ะๆ ไปเลย หากทำได้ผมจะไม่ว่าอะไรสักคำ”
บทสนทนาขาดห้วงทันทีที่หมอหนุ่มเดินเข้ามาภายในห้อง ในมือถือกระดาษมาด้วยหนึ่งแผ่น
“คุณวุฒินันท์ ใช่ไหมครับ?” หมอถามขณะเดินไปนั่งที่โต๊ะ
“ใช่ครับ” เขาตอบ “ผลเป็นอย่างไรครับ?” แววตาเหมือนจะบอกว่าไม่ต้องอารัมภบทให้เสียเวลา
หมอจ้องดวงตาของอีกฝ่าย มือทั้งสองผสานกันอยู่บนโต๊ะ เป็นอีกครั้งที่เขาต้องแจ้งข่าวร้ายให้กับบุคคลตรงหน้า
“ผลเป็นบวกครับ ไวรัสเริ่มทำงานแล้ว อาการปวดหัวคือสัญญาณในระยะแรก และหนักขึ้นเรื่อยๆ ภายในสองสัปดาห์ หากปล่อยถึงสัปดาห์ที่สามคุณจะไม่มีสติหลงเหลืออีก”
ชายชราแทบไม่ได้ยินสิ่งที่หมอพูดหลังจากคำว่า “ผลเป็นบวก” แม้พยายามทำใจมานานแล้ว แต่คำตอบที่ได้ยินเหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงใส่ความหวังอันเปราะบางจนขาดกระจุยกระจายหายไปในอากาศ
“กรณีของคุณถือว่าโชคดีนะครับที่เลยอายุวิกฤตมาแล้ว น่าจะทำใจได้ง่ายหน่อย ผมเคยเจอบางรายอายุสั้นกว่ากำหนดเป็นสิบปี ผมเชื่อว่าคุณคงเคยได้ยินคำแนะนำจากสำนักงานดุลยประชากรมาบ้างเรื่องแผนจัดการทรัพย์สินต่างๆ”
วุฒินันท์พยักหน้าช้าๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จะได้ไม่มีเรื่องวุ่นวายหลังจากคุณไม่อยู่”
“ขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมครับ?” เขาจ้องมองแผ่นกระดาษบนโต๊ะ
“ได้สิ เชิญเลย”
“นักวิทยาศาสตร์ยุคนี้มัวทำอะไรกันอยู่ ทำไมยังกำจัดไวรัสจากหลายศตวรรษก่อนไม่ได้ ไม่น่ายากขนาดนั้น ไม่ใช่เหรอ?” เขาพยายามข่มความโกรธไม่ให้ปนอยู่ในน้ำเสียง ซึ่งทำได้ยากเต็มที
หมอหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เขาเริ่มอธิบายด้วยความใจเย็น
“มันไม่ได้ทำง่ายๆ เหมือนกำจัดรอยห้อเลือดที่เกิดจากการเผลอเหวี่ยงค้อนกระแทกโคนเล็บนะครับ กรณีนั้นคุณไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ตัดเล็บที่งอกยาวออกมาเรื่อยๆ รอยช้ำจะค่อยๆ เลื่อนไปจนถึงปลายเล็บและถูกตัดทิ้งในที่สุด แต่การกำจัดไวรัสยุ่งยากกว่านั้นมาก โดยหลักการแล้วมีสองวิธี วิธีแรก คือใช้กลไกตามธรรมชาติ เคยเห็นนกปักษาสวรรค์หางยาวกว่าลำตัวถึงสามเท่าหรือลิงจมูกยืดยาวกว่าปกติไหมครับ สิ่งเหล่านั้นเกิดจากการกลายพันธุ์ ไม่มีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตแต่ตัวเมียดันชอบ พวกนี้จึงมีโอกาสสืบพันธุ์และสืบทอดจุดเด่นนั้นต่อไป ดังนั้น หากต้องการกำจัดไวรัสมรณะก็แค่ออกกฎหมายห้ามคนที่มีอายุวิกฤตต่ำกว่า 70 ปีมีลูกโดยเด็ดขาด แค่นี้เองพันธุกรรมของคนอายุสั้นจะถูกคัดออกไปเรื่อยๆ จนเหลือแต่คนอายุยืน แต่ผมถามหน่อยหากรัฐบาลออกกฎหมายแบบนี้จริง จะเกิดอะไรขึ้น?”
วุฒินันท์ไม่ตอบ
“คุณคงรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือสร้างแอนติโดทกำจัดไวรัสโดยตรงซึ่งทำได้ยากมาก เพราะทันทีที่ยาเข้าสู่ร่างกาย ไวรัสจะกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนไม่สามารถกำจัดได้ทัน ส่งผลให้ผู้รับยาอายุสั้นลงไปอีก”
ปัญหาทั้งหมดเกิดจากอะไรกันแน่ ชายชราถามตัวเอง ทุกสิ่งล้วนเริ่มจากความต้องการเอาชนะธรรมชาติ ความไม่รู้จักพอ ความเจ้ากี้เจ้าการของมนุษย์ทำให้ความเรียบง่ายของชีวิต รวนเละเทะไปหมด
“หากผมบริจาคร่างกายจะมีประโยชน์บ้างไหมครับ?” ชายชราพูดขึ้น
“แน่นอน ถึงแม้นำอวัยวะไปใช้ไม่ได้ แต่จะมีประโยชน์สำหรับงานวิจัยอย่างมากทีเดียว” หมอหนุ่มตอบ “ไม่ทราบว่าคุณอยากใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวสักกี่วัน ผมแนะนำว่าไม่ควรเกินสองสัปดาห์ ไม่เช่นนั้น…”
“ผมไม่ต้องการเวลามากขนาดนั้นหรอก ความจริงออกจากบ้านมาวันนี้ได้เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจไม่ได้กลับไปอีก”
ความเงียบปกคลุมภายในห้องเหมือนเฝ้ารอผลการตัดสินใจอันหนักหน่วง
วุฒินันท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ผมต้องการรับยาเอสดีโดยทันที ผมไม่มีครอบครัว ไม่มีเรื่องต้องสั่งเสีย ที่สำคัญไม่อยากกลับไปนอนขวัญผวาอีกแล้ว”
หมอหนุ่มจ้องมองแววตาอันเด็ดเดี่ยวของชายชรา “ผมเคารพการตัดสินใจของคุณครับ” เขาเลื่อนเอกสารพร้อมปากกามาอีกฟากหนึ่งของโต๊ะ
โดยปราศจากความลังเล ชายชราคว้าปากกาแล้วเซ็นลงในกระดาษแผ่นนั้นทันที
หมอหันไปพูดกับพยาบาล “ช่วยไปตามพยานมาให้ด้วย”
“ได้ค่ะ” พยาบาลรับคำก่อนเดินออกจากห้อง
“ขั้นตอนนี้ต้องมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานดุลยประชากรเป็นพยานครับ” หมอหนุ่มพูดพลางผายมือไปยังเตียงนอนด้านซ้าย
ผ้าปูเตียงถึงเวลาต้องยับย่นอีกครั้ง
เข็มสีเงินถูกถอนออกจากแขนของชายชรา มันช่างเรียบง่ายเหลือเชื่อ พยาบาลออกไปส่งพยานและไปตามบุรุษพยาบาล ภายในห้องเหลือเพียงคนสองคน
“หมอรู้ไหม บางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า เราทำแอนติโดทไม่สำเร็จเพราะเราไม่อยากทำมากกว่า ไวรัสเป็นเครื่องควบคุมประชากรชั้นดี รัฐบาลคงไม่อยากให้มันถูกทำลายหายไป” วุฒินันท์เอ่ยขณะนอนจ้องมองรอยเปื้อนบนเพดาน
หมอหนุ่มมองไปรอบห้อง ก่อนตัดสินใจบอกความลับให้กับร่างที่กำลังหมดลม “คุณพูดถูกครึ่งหนึ่ง ผมบอกว่าแอนติโดททำได้ยากก็จริง แต่ไม่ได้บอกว่าทำไม่สำเร็จ”
เขาหันไปทางหมอ ความสับสนปนเปอยู่บนใบหน้า
“แอนติโดทถูกคิดค้นขึ้นนานแล้ว แต่เป็นความลับสุดยอดและไม่ฉีดให้บุคคลทั่วไป ก็อย่างที่คุณพูดนั่นแหละ ไวรัสเป็นเครื่องควบคุมประชากรชั้นดี สำนักงานดุลยประชากรจึงถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นผู้ชี้ขาดว่าใครมีคุณสมบัติเหมาะสมในการมีชีวิตอยู่ต่อไป…บังเอิญคุณไม่ใช่”
ชายชราอยากหัวเราะให้กับความวิปลาสของมนุษย์ ทำไมใครคนหนึ่งถึงมีสิทธิตัดสินว่าใครควรอยู่หรือใครควรตาย ตรรกะของผู้คนมันบูดเบี้ยวไปหมดสิ้นแล้ว
“จอห์นสร้างไวรัสนี้ขึ้นมาเพื่อต้องการประชดความเหลื่อมล้ำในสังคม แต่มันกลับทำให้ช่องว่างนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“ความเหลื่อมล้ำมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย มันคือสิ่งที่คู่กับสังคมมนุษย์ไม่มีวันจางหาย เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปตามกาลเวลาเท่านั้น” หมอหนุ่มตอบ
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ชายชราได้ยิน เขาคิดเพียงว่าความลับเรื่องแอนติโดทคงถูกเปิดเผยเข้าสักวัน เมื่อนั้นความโกรธแค้นจะแพร่กระจายออกไป จอห์นคนที่สองจะถือกำเนิดพร้อมกับความคิดอันวิปริตยิ่งกว่า
ประวัติศาสตร์กำลังวนกลับมาซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
วุฒินันท์หลับตาลงอย่างสงบและหายใจออกเป็นครั้งสุดท้าย