เรื่องสั้น : ความลับของเด็กชุดขาว / นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

เรื่องสั้น

นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

ความลับของเด็กชุดขาว

 

“แม่สายหยุด! แกได้ยินข่าวมั้ย ในตลาดเขาลือกันให้แซดเชียว”

เสียงป้าน้อยแทรกเข้ามา ในขณะที่สายหยุดและไอ้จ้อยลูกชายกำลังช่วยกันยกแกงหม้อขึ้นรถซาเล้งเพื่อเตรียมไปขายในตลาดเช้าวงเวียนหอนาฬิกา

“เรื่องอะไรล่ะป้าน้อย”

“ก็เมื่อวานนะซี่ ตอนแห่เจ้าพ่อกันอยู่ เขามีทรงเจ้า และพอถึงพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์กัน มันมีไอ้เด็กคนหนึ่งใส่ชุดขาวเชียว เข้าไปร่วมกับเขาด้วย”

สายหยุดนิ่งฟัง ก่อนที่ป้าน้อยจะสาธยายต่อ

“ชาวบ้านเขาว่ามันไม่ยอมถอดรองเท้าตอนลุยไฟ พอพวกคนที่จัดพิธีเห็นเข้าก็โวยวายกันยกใหญ่ หาว่าเด็กนั่นลบหลู่เจ้า จนพิธีต้องล่มเลยละ”

จ้อยได้ยินถึงกับหูผึ่ง วางมือจากหม้อแกง แล้วรีบขยับเข้ามาถามข่าวคราวกับป้าน้อย

“แล้วยังไงต่อครับป้า”

“ชาวบ้านเขาก็แตกตื่น ต่างร้องให้คนช่วยกันจับไอ้เด็กนั่นไว้ แต่ก็อย่างว่า คนมันแยะ ชุลมุนกันยกใหญ่ เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”

 

เป็นธรรมดาของวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เหล่าเด็กๆ ต่างรอคอย แต่สำหรับวันเสาร์นี้ ค่อนข้างจะพิเศษสักหน่อย นั่นเพราะในตลาดจะมีงานงิ้วสิบวันสิบคืน ซึ่งเป็นเทศกาลประจำปีของจังหวัด โดยจะจัดให้มีขึ้นในช่วงฤดูหนาว

ตั้งแต่ช่วงสายๆ แล้ว ที่พิธีเริ่มต้น โดยมีขบวนแห่อัญเชิญเจ้าพ่อซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง จากศาลเจ้าริมแม่น้ำมาประทับที่ศาลเจ้าชั่วคราวหน้าโรงงิ้ว บรรดาม้าทรง ตัวตลก แป๊ะยิ้ม ขบวนเอ็งกอ และการแสดงผาดโผนต่างๆ จะแห่แหนรอบตลาด จุดประทัด ฉาบ กลอง โหม่ง เหม่ง บรรเลงกันให้เป็นที่อึกทึกครึกโครม ผู้คนคอยออกันอยู่ริมถนน เพื่อจะเข้าใกล้ขบวนให้มากที่สุด ด้วยสีสันฉูดฉาด แต่งแต้มตามเสื้อผ้าหน้าผม เหล่าอาวุธ หอก ดาบ มังกร สิงโต ล้วนแล้วแต่เป็นที่ชอบอกชอบใจ

จ้อยกับเพื่อนๆ อีกสี่ห้าคนขี่จักรยานเล่น เตร็ดเตร่อยู่ในละแวกตลาดเพื่อรอคอยตั้งแต่เช้าแล้ว กิจกรรมวันหยุดนี้ได้ถูกวางไว้ในตารางยาวเหยียด หลังจากที่เล่นเอสสะไพอยู่ในวิกลิเกเก่าเสร็จ พวกเขาจึงออกมาหาน้ำแข็งไสกินพอให้ชุ่มปากชุ่มคอ ต่อจากนั้นเมื่อเห็นว่าบริเวณหอนาฬิกาผู้คนเริ่มมารวมตัวกันมากเข้า นั่นหมายความว่าขบวนแห่ใกล้มาถึง ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดที่มีพื้นที่กว้างมากที่สุดของถนน และยังใช้เป็นศูนย์กลางสำหรับการแสดงกายกรรมของบรรดาร่างทรงกับพวกเชิดสิงโต หรือแม้กระทั่งงานพิธีสำคัญต่างๆ ที่จัดขึ้นในเมือง ก็จะใช้ถนนตรงจุดนี้เองเป็นพื้นที่กลางในการประกอบพิธี

“ไปเว้ย! ใกล้มาถึงแล้ว คนเต็มเลย เดี๋ยวเข้าไปดูไม่ถึง”

ใครคนหนึ่งในกลุ่มร้องกระตุ้น จ้อยรีบคว้าจักรยาน แล้วถีบบึ่งตามกลุ่มเพื่อนๆ ออกไป

 

“นี่จ้อยไม่รู้เรื่องเลยหรือ ป้าก็ลองมาถามดูเผื่อว่าเป็นพวกเพื่อนๆ ของเอ็ง จะได้บอกให้มันไปขอขมาลาโทษเจ้าพ่อท่าน”

“ไม่รู้เลยครับป้า” จ้อยเสบอกปัดไป

“แล้วมันไม่แค่นั้นน่ะสิ เมื่อตอนเช้ามืดป้าไปตลาดมา พ่อค้าแม่ค้าพูดกันแต่เรื่องไอ้เด็กชุดขาวคนนั้น ตาโตคนขายหมูก็บอกเห็นกับตาเลย พอไอ้เด็กคนนั้นวิ่งยังไม่ทันพ้นกองไฟดี เท้ามันก็มีเปลวไฟลุกไหม้เนื้อ จนเห็นกระดูกขาวอยู่รำไร เหมือนไฟมันจะลามเร็วผิดปรกติชอบกล ทั้งที่มันก็ใส่รองเท้านะ”

“อาม่าขายซาลาเปา แกยังมาร่วมสำทับอีกคน แกว่า”

“อั๊วเห็งมังร้องดิ้งทุรงทุราย เนื้อหนังอีนี่เปื่อยยุ่ยไปหมก อั๊วเห็งเลี้ยวยังหวากเสียว”

“ขนาดนั้นเลยหรือป้า” จ้อยกระตือรือร้นให้ความสนใจซักถามป้าน้อย

“แล้วยังไงต่ออีกครับ”

ป้าน้อยแกเริ่มเมาน้ำลายตามปรกตินิสัย กระหวัดนึกไปถึงบทสนทนาที่แกได้ยินได้ฟังมาจากตลาด ทั้งยายหง่าขายไข่ นางหนูขายผัก ตาเข่งขายปลา โต้ขายเครื่องสังฆภัณฑ์ ไหนจะชาวบ้านที่ล้วนก็อยู่ร่วมในเหตุการณ์ลุยไฟและมีประสบการณ์ร่วมจากเมื่อวาน มาบอกกล่าวพูดคุยแลกเปลี่ยนกันแทบทั้งสิ้น

“โอ้ย! เขาว่า ขามันไหม้พอง จนน้ำเลือดน้ำหนองไหลเยิ้มเชียวละ แล้วยังมีเหตุวิปริตผิดเพี้ยนตามมาอีกนะ พูดแล้วป้าก็ขนลุก”

ป้าน้อยทำท่าลูบเนื้อลูบตัว ก่อนจะเล่าต่อ

“เขาว่าจังหวะที่ไอ้เด็กคนนั้นมันวิ่งฝ่ากองไฟไปน่ะ จู่ๆ ท้องฟ้าที่ใสสะอาดก็เกิดมืดมัวไปหมด ลมพายุไม่รู้มันมาจากไหน พัดเศษฝุ่น เศษถุงพลาสติก กิ่งไม้ ใบไม้ กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ แปลกตรงที่มันเกิดขึ้นก็เฉพาะแต่ตรงบริเวณพิธีน่ะซี่ ซ้ำกองไฟที่ก่อไว้เป็นทางยาวให้คนวิ่งสะเดาะเคราะห์ พลันก็ดับลงซะเฉยๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย”

“แถมพวกร่างทรงที่เป็นคนประกอบพิธีก็เนื้อตัวสั่น เต้นแร้งเต้นกา ปากก็บ่นงึมงำ จับใจความได้ว่ามันลบหลู่กูๆ อะไรประมาณนี้แหละ เหมือนอย่างที่คนเขาเปรียบไว้ เต้นเป็นเจ้าเข้า ยังไงยังงั้น แต่ป้าก็ยังสงสัยอยู่ จะใช่เจ้าพ่อองค์เดียวกันกับที่ชาวบ้านนับถือหรือป่าว เพราะท่านช่างพูดไทยได้ชั้ดชัด”

ป้าน้อยพูดไปก็ขำไปอยู่คิกคัก พร้อมทำท่าทางประกอบ

แต่ทั้งหมดนั้น เป็นป้าน้อยที่ฟังคนเขาเล่ามาจากในตลาดอีกที เพราะตัวแกเองก็ไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์เมื่อวานนี้

 

ก่อนออกจากบ้าน จ้อยเลือกหยิบชุดตัวเก่งที่แม่ซื้อให้ มันไม่ได้ใหม่เอี่ยมเสียทีเดียว แต่เด็กชายก็ชอบ และจะเลือกใส่เฉพาะในวันพิเศษ หรือมีงานอะไรที่สำคัญๆ มันเป็นชุดสีขาวมัวซัว

หลังจากกลุ่มเด็กๆ ได้ฝ่าฝูงชนล้นหลามเข้าไปใกล้จุดที่จะทำการแสดงแล้ว พวกเขาก็ปักหลักรออย่างแน่นเหนียว เหล่าเอ็งกอ โชว์ลวดลายกวัดแกว่งไม้พลอง ตีกรับคู่มือ สอดรับกันเป็นจังหวะอย่างพร้อมเพรียง ต่างออกท่าออกทาง ยกแข้งขาดูคึกคักเร้าใจ ด้วยเสียงโห่ร้องประสานท่วงทำนอง ส่งต่อกันอย่างก้องกังวาน ถัดจากที่เอ็งกอแสดงจบลง สิงโตสองตัววิ่งเข้ามาตามเสียงของเครื่องดนตรีที่โหมประโคมอย่างรู้จังหวะ แต่ละตัวต่างเอาล่อเอาเถิดกันอยู่ โชว์ลีลาลวดลายผาดโผนให้เป็นที่หวาดเสียว ไล่แย่งยื้อลูกแก้วกันอย่างทีเล่นทีจริง ในจังหวะที่สิงโตตัวสีเขียวกระโดดขึ้นเสาสูงนั่นเอง เจ้าคนที่เชิดอยู่ด้านท้ายซึ่งเป็นขาหลัง ทำท่าว่าจะเสียหลักหล่นจากเสา ทำเอาคนดูที่อยู่รอบๆ ส่งเสียงหวีดว้ายกันให้ขรม แต่จนถึงที่สุดมันก็ประคองตัวให้ไต่ตามเจ้าคนที่เชิดด้านหน้าไปได้อย่างปลอดภัย หรือนี่คือการแกล้งหยอกล้อกับคนดู ยังไม่ทันที่ตัวแรกจะฉวยคว้าลูกแก้วได้ เจ้าสิงโตตัวสีแดงอีกตัวรีบไต่ตามขึ้นไปทันที ทำท่าเหมือนจะฉุดรั้งด้วยลีลาผาดโผนไม่แพ้กัน ในระหว่างที่สิงโตสองตัวกำลังพันตูกันอยู่ เสียงดนตรีประกอบก็โหมกระหน่ำขึ้นด้วยจังหวะกระชั้นถี่ ทันใดนั้นมังกรสีทองลำตัวยาวเหยียดก็ไหลเลื้อยมาอย่างสง่าผ่าเผย คนนับสิบที่คอยถือไม้เชิดมังกรวิ่งปรี่กันคดเคี้ยวพัลวัน แลดูคล้ายขาของกิ้งกือ มันวิ่งวนอยู่รอบเสาได้สักครู่ ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปสมทบกับเจ้าสิงโตทั้งสอง สงครามย่อมๆ จึงเกิดขึ้น ลูกแก้วถูกคาบจากปากนี้สู่ปากนั้น ชิงสลับกันไปมาให้เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ชมโดยรอบ

เมื่อการแสดงเชิดสิงโตและมังกรจบลงก็ถึงคิวของบรรดาร่างทรง พวกเขาเดินออกมาด้วยท่วงท่าฮึกเหิม ห้าวหาญ ใบหน้ามันเยิ้มไปด้วยเหงื่อไคล บางคนที่ร่างกายกับใบหน้าเพิ่งผ่านการทิ่มแทงด้วยวัตถุแหลมคมมาแล้ว อาจมีเลือดปะปนมาด้วย ถือทั้งหอกดาบ ทั้งแผงที่ดูคล้ายมีตะปูหงายคมไว้นับร้อยๆ ดอก เพื่อเตรียมโชว์ในชุดถัดๆ ไป จ้อยไม่ชอบการแสดงแบบนี้นัก เพราะน่ากลัว และพาให้ใจหวั่นๆ พิกล จึงได้ขอปลีกตัวออกจากเพื่อนๆ ฝ่าวงล้อมฝูงชนออกไปหาซื้ออะไรกินด้านนอกก่อน แล้วจึงค่อยย้อนกลับเข้ามาใหม่

ตอนพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ช่วงท้ายการแสดง

 

“ไอ้จ้อยเร็ว! เขาจะลุยไฟกันแล้ว”

จ้อยกลับเข้ามาในกลุ่มเพื่อนๆ อีกครั้ง ตอนที่การแสดงชุดสุดท้ายเกือบจะเสร็จสิ้นลง พวกเขากำลังปีนลงจากบันไดมีด ร่างกายอาบไปด้วยเหงื่อปนเลือด เมื่อก้าวลงมาถึงพื้น ก็มีท่าทางกระโดดโลดเต้นตามจังหวะของดนตรีอยู่สักพัก ก่อนจะค่อยๆ กลับหายเข้าไปในกลุ่มของพวกร่างทรงและคณะ

ที่กลางถนน ถ่านก้อนแดงๆ ซึ่งถูกจุดไว้แล้ว เริ่มทยอยนำมาเทรวมกันเป็นกอง ก่อนจะค่อยๆ เกลี่ยเป็นทาง สำหรับไว้ให้ประชาชนได้ร่วมพิธีลุยไฟ ความยาวสักประมาณสิบเมตรเห็นจะได้

ตามคติของชาวจีน เชื่อว่าการลุยไฟนั้นเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นการสะเดาะเคราะห์ ต้องทำการชำระล้างสิ่งสกปรกด้วยไฟ ก่อนเริ่มพิธีจะมีตัวแทนขององค์เทพทำการตัดยอดไฟเสียก่อน เพื่อให้ไฟในกองนั้นเย็นลงตามความเชื่อโบราณ กฎอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ผู้ที่เข้าร่วมพิธีต้องวิ่งลุยด้วยเท้าเปล่า ห้ามใส่รองเท้าหรือถุงเท้าเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นของต่ำ และเป็นการลบหลู่ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากผู้ใดละเมิด เชื่อกันว่าจะประสบกับเคราะห์กรรม และถึงขั้นที่พิธีต้องยุติลงเลยทีเดียว

ส่วนการลุยไฟสำหรับจ้อยและเพื่อนๆ อาจไม่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว นอกเสียจากเพื่อความสนุกตื่นเต้นและได้มีเรื่องไปคุยอวดกันถึงความกล้าหาญระหว่างกลุ่มเด็กๆ เสียมากกว่า

เมื่อคณะผู้ประกอบพิธีเห็นว่าไฟในกองราเปลวลงได้ที่แล้ว การลุยไฟจึงเริ่มขึ้นโดยบรรดาร่างทรงขององค์เทพต่างๆ เป็นพวกแรก หลังจากนั้นจึงตามมาด้วยผู้คนที่ยืนรออยู่โดยรอบ แนวแถวยาวเหยียด ทั้งหญิง-ชาย เด็กๆ คนแก่ พูดคุยยิ้มแย้มทักทายกันด้วยพลังศรัทธาเต็มเปี่ยม ท่ามกลางแดดบ่าย และสายควันกลิ่นธูปคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ

ใกล้ถึงคิว กลุ่มของจ้อยตื่นเต้นกันใหญ่ ต่างชวนกันวิเคราะห์วิจารณ์ถึงวิธีและตำแหน่งต่างๆ ที่จะวิ่งไปบนกองไฟยาวร่วมสิบเมตรนั้น

“มึงวิ่งไปทางซ้ายเลย ตรงที่มันมีขี้เถ้าเยอะๆ น่ะ”

“กูว่าตรงกลางดีกว่า ตรงที่คนส่วนมากเขาวิ่งกัน เหมือนไฟมันจะใกล้ดับแล้ว”

เพื่อนคนแรกวิ่งออกไป ตามไปด้วยคนที่สอง และคนที่สาม ใกล้ถึงคิวของจ้อยเต็มที เตรียมถลกขากางเกงขึ้น เพราะกลัวเขม่าขี้เถ้าจะเปื้อนชุดขาวตัวเก่ง ถอดรองเท้ามาสอดไว้ในมือทั้งสองข้าง ไม่ลืมนึกถึงกฎข้อห้าม คิดเอาเอง แค่ถือไว้ คงไม่เป็นไร อีกอย่างคนชุลมุนขนาดนี้ หากรองเท้าหาย คงโดนแม่ด่าแน่ๆ

รวดเร็วเท่าหัวใจที่เต้นตูมตาม ทันทีที่จ้อยวิ่งผ่านกองไฟ ยังไม่ทันจะพ้นออกจากเขตวงล้อมของผู้คน เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น บรรดาร่างทรงและคณะปรี่ออกมาถึงกองไฟเบื้องหน้า พวกเขาตะโกนกันให้ระงม

“ไอ้เด็กชุดขาว! ไอ้เด็กชุดขาว! จับไว้เร็วเข้า มันใส่รองเท้าวิ่งบนกองไฟ”

ผู้คนแตกตื่นหน้าตาเหลอหลา เสียงพูดจาพึมพำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พิธีศักดิ์สิทธิ์ยุติลงทันที โฆษกเอะอะมะเทิ่งผ่านลำโพง ประกาศตามหาไอ้เด็กชุดขาวคนก่อเรื่อง

จะด้วยความบังเอิญหรืออย่างไรไม่รู้แน่ พายุหลงฤดูก่อตัว พัดหอบเอาเมฆครึ้มจำนวนหนึ่งมาครอบคลุมผืนฟ้าเหนือบริเวณประกอบพิธีไว้ รวมถึงลมหัวกุดขนาดเล็ก พาเศษฝุ่นผง ใบไม้ใบหญ้า ปลิวกระจัดกระจายฟุ้งไปทั่ว เหล่าร่างทรงบางคนออกอาการสั่นเทาเป็นเจ้าเข้า

ทั้งหมดคล้ายยิ่งเป็นการเพิ่มเชื้อความกราดเกรี้ยววิปริตเข้าไปอีกคำรบ

 

หลังจากที่จ้อยรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงอาศัยความชุลมุนเบียดแทรกตัวออกไปท่ามกลางฝูงชนที่แออัด หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ตื่นกลัว ตาลีตาลาน รีบหนีเพื่อให้พ้นจากสถานการณ์เบื้องหน้าไปก่อน เขาวิ่งเข้าในตลาดสด ลัดเลาะซอกซอยแผงร้านค้าต่างๆ หมายมุ่งหน้าไปยังแผงขายข้าวแกงของแม่ เมื่อถึง เขามุดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใต้ร้าน ซึ่งพอจะมีพื้นที่เล็กๆ ไว้เก็บข้าวของ โชคดีเป็นช่วงเวลาที่ตลาดเลิกแล้ว และผู้คนต่างไปอยู่บนท้องถนนบริเวณที่มีงาน จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นตอนที่จ้อยวิ่งเข้ามา

ผ่านไปราวชั่วโมงเศษ ถนนหน้าตลาดกลับคืนสู่ความคุ้นชินเดิมๆ ขบวนแห่ได้อัญเชิญเจ้าพ่อไปถึงหน้าโรงงิ้วแล้ว ผู้คนและรถราบางตาลง วงเวียนหอนาฬิกาถูกทิ้งไว้เพียงเศษขยะ ซากกระดาษสีแดงจากประทัดเล็กๆ นับพันลูก

และคำร่ำลือถึงไอ้เด็กชุดขาว ผู้ที่ทำให้พิธีศักดิ์สิทธิ์ของเมืองต้องล่มลง

 

“แล้วไอ้เด็กชุดขาวนั่นมันลูกเต้าเหล่าใครกันละ”

แม่สายหยุดถามขึ้น

“ฉันก็ไม่รู้ คนที่ตลาดเขาว่ากันว่าน่าจะเป็นเด็กมาจากที่อื่น ถามใครๆ ก็ไม่รู้จัก แต่ที่แน่ๆ ตีนมันนั่นน่ะ พุพอง ดำเป็นตอตะโกไปเลยล่ะ! ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

“คนที่ตลาดเขาว่ากันแบบนั้นจริงๆ หรือป้า”

“ก็จริงสิวะไอ้จ้อย ถ้าไม่เชื่อ เช้านี้ตอนเอ็งไปขายข้าว ลองถามพวกพ่อค้าแม่ค้าดูก็ได้ ถ้าเรื่องไม่จริงเขาจะกล้าพูดกันรึ”

ป้าน้อยทำท่าถอนหายใจ และหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านั้น ก่อนที่จะเดินกลับเข้าบ้านแกไป

ความรู้สึกของจ้อยหลังได้ยินข่าวที่ชาวบ้านลือกันจากปากป้าน้อยนั้นยากจะอธิบาย นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานแล้วยังร้อนๆ หนาวๆ อยู่ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าพวกทรงเจ้าจับได้ มันจะเกิดอะไรขึ้น หรือวันนี้เขาควรแอบย่องไปศาลเจ้าเพื่อขอขมาลาโทษ แต่จะขอขมาลาโทษกับเจ้าองค์ไหนล่ะ ครั้นจะไปปรึกษาใครก็ไม่ได้ ความลับแตกกันพอดี

“โอ้ย! เขาว่า ขามันไหม้พอง จนน้ำเลือดน้ำหนองไหลเยิ้มเชียวละ แล้วยังมีเหตุวิปริตผิดเพี้ยนตามมาอีกนะ พูดแล้วป้าก็ขนลุก”

ยิ่งนึกถึงคำพูดของป้าน้อย จ้อยยิ่งประหวั่นพรั่นพรึง และเมื่อเขาก้มลงมองเบื้องล่าง คล้ายปรากฏรอยไหม้เล็กๆ อยู่ที่เท้าทั้งสอง ซ้ำร้ายเหมือนว่ามันกำลังค่อยๆ ลุกลามขึ้นมาทีละน้อยๆ