เรื่องสั้น : ขี้หมูราขี้หมาแห้ง (1) / ธารา ศรีอนุรักษ์

เรื่องสั้น

ธารา ศรีอนุรักษ์

 

ขี้หมูราขี้หมาแห้ง (1)

 

ขวางตัดสินใจพาลูก-เมียกลับมาอยู่บ้านเกิดได้ห้าเดือนแล้ว หลังจากทำตัวเป็นแมลงกระชอนเอาหัวดุนดันทุรังภาระค่าอยู่ค่ากินในเมืองหลวงหลายปี สุดท้ายดันไม่ไหว ต้องกลับบ้านเกิด ใช้ชีวิตพอเพียงอยู่กับทรัพย์ในดินสินในเหงื่อแรง

ขวางมีพี่น้องร่วมท้องห้าคนด้วยกัน พอมีครอบครัวทุกคนแยกออกไปสร้างชีวิตตัวเอง ต่างคนต่างทำมาหากิน สายใยพี่น้องแม้ยังเหลืออยู่แต่ไม่แน่นแฟ้นเหมือนเก่า ก่อนพ่อกับแม่เสียได้แบ่งที่ดินให้ขวางไร่เศษๆ เฉลี่ยกับพี่ๆ น้องๆ คนอื่น สามารถปลูกบ้านเล็กๆ แบบนกน้อยสร้างรังแต่พอตัว ด้วยเมียและลูกชายวัยสิบขวบอีกหนึ่งไม่เป็นปัญหานักกับการประทังชีวิตอยู่แบบประหยัด กับข้าวกับปลาหาเอาจากรอบๆ บ้านทั้งสี่ทิศ ผักปลูกกินเอง ปลาเลี้ยงเอง ใช้เงินไปตลาดบ้างเฉพาะเรื่องเครื่องครัวจำเป็น จำพวกกะปิ น้ำปลา น้ำตาล เกลือ น้ำมันพืช และข้าวสาร

เพราะอยู่เมืองหลวงนาน ทำให้รู้ซึ้งถึงชีวิตน่าอิจฉาจริงๆ ไม่ใช่อยู่ที่ความหรูหราของอาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง การสัญจร รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า ลิฟต์ บันไดเลื่อน ผู้คนแต่งตัวสวยๆ สะอาดสะอ้าน เพราะว่ากันจริงๆ แล้วน้อยคนมีบ้านอยู่เป็นของตัวเอง ล้วนเช่าเขาอยู่ทั้งนั้น กระทั่งคอนโดฯ สูงๆ ถึงซื้อก็ไม่ต่างจากซื้ออากาศ หาใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เด็ดขาด ต้องเสียค่าส่วนกลางทุกเดือน ปลูกผักปลูกหญ้าสักต้นก็ไม่ได้ ตอนอยู่เมืองหลวงถูกภาระหนี้สินทั้งในระบบนอกระบบพัวพันรุงรังสารพัด ตอนนั้นขวางเฝ้าภาวนาให้เปลื้องหนี้หมดได้เมื่อใด จะรีบพาครอบครัวกลับบ้านเกิด ทำมาหากินแบบพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุดเมื่อนั้น

ขวางมาใช้ชีวิตอยู่บ้านเกิดทางภาคใต้แบบคนหนีชีวิตเมือง คล้ายสัตว์ป่าที่เคยถูกจองจำในสวนสัตว์กลางกรุง แล้วจู่ๆ แหกกรงหนีเข้าป่าได้อีกครั้ง เขาดำเนินชีวิตสวนทางค่านิยมกระแสหลักทุกรูปแบบ ไม่ฟังเพลง ไม่ดูทีวี แต่รับหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งอ่านทุกวัน หุงข้าวทำแกงกับเตาไม้ฟืน หลีกหนีการเข้าสมาคมกับใคร นอกจากร่วมประชุมเวลาผู้ใหญ่บ้านเรียกประชุม ไม่สุงสิง ไม่ไปงานแต่ง งานบวช ไปแต่งานศพเฉพาะวันเผา ด้วยเหตุนี้ทำให้เพื่อนบ้านไม่อยากยุ่งกับขวางเท่าใดนัก ซึ่งตัวเขาก็ต้องการให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

ส่วนรายได้หลักของครอบครัว ได้จากขายสินค้าเกษตรปลอดสารพิษออนไลน์ มีภาพการปลูก การเก็บผลผลิต ภรรยาของเขาเก่งในเรื่องนี้ รู้จักสร้างเครือข่ายจนเป็นที่ยอมรับเชื่อมั่นจากกลุ่มลูกค้า เปิดขายทั้งทางไลน์และเฟซบุ๊ก

ในขณะที่ขวางตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งไม่เล่นไม่จับเครื่องมือสื่อสารอะไรอีกเลย ปล่อยให้ภรรยาเป็นผู้จัดการเองทั้งหมด

 

แดดสายสาดกระทบร่างหนั่นแน่นไปด้วยมัดกล้ามของขวาง เหงื่อผุดพรายใบหน้าและกลางหลัง เขากำลังใช้จอบขุดเตรียมดินยกร่องสำหรับลงผักกวางตุ้งและคะน้า ขณะภรรยาและลูกชายขะมักเขม้นกับการให้อาหารปลาดุกในบ่อปูนที่เลี้ยงไว้สามบ่อด้านหลังบ้าน มันกินอาหารจุ และโตพอจะจับมาหมักเกลือทำปลาดุกร้าส่งขายลูกค้าทางออนไลน์ได้แล้ว

ขณะทุกอย่างกำลังเป็นไป จู่ๆ สายลมวูบหนึ่งพัดมาจากทางทิศตะวันออก หอบเอากลิ่นไม่พึงประสงค์ผสมมาด้วย ทำให้อารมณ์ที่ควรแจ่มใสกับแดดสายเมฆสวยพลันหม่นหมองขุ่นเครียดขึ้นมาทันที และด้วยกลิ่นนี้ทำให้ชีวิตประจำวันของขวางและครอบครัวไม่เป็นปกติสุข มันเป็นกลิ่นปฏิกูลจากเล้าหมูของคนมีอันจะกินชื่อประเสริฐ ชาวบ้านเรียกกันว่าครูประเสริฐ ครูเกษียณราชการจากโรงเรียนดังในเมืองกลับมาอยู่บ้านเดิม มีที่ดินกว้างขวางตั้งแต่ปากถนนใหญ่เลยลึกมาถึงสุดหมู่บ้าน แบ่งเป็นปลูกเงาะ ทุเรียน ปลูกมะพร้าว และตบท้ายด้วยเลี้ยงหมู สร้างเป็นโรงเรือนขนาดใหญ่สามโรงเรือน เลี้ยงหมูพันธุ์เนื้อมากกว่าแปดสิบตัว ครูประเสริฐคงรู้ดีเรื่องกลิ่น จึงไปสร้างไว้ห่างไกลจากบ้านตัวเอง มีสวนเงาะ ทุเรียน สวนมะพร้าวกั้น ลมพัดอย่างไรก็โชยไปไม่ถึง โดยไม่คำนึงว่าคนอื่นจะอยู่กันอย่างไร

ครูประเสริฐมีลูกชายสองคน คนพี่เป็นสารวัตรอยู่โรงพักประจำอำเภอ คนน้องเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ทั้งครอบครัวเป็นที่นับหน้าถือตาและยำเกรงของชาวบ้านทั่วไป ไม่มีใครอยากมีเรื่องหรือไปมีข้อขัดแย้งอะไรด้วย เมื่อก่อนที่ดินตรงที่สร้างโรงเรือนเลี้ยงหมูไม่ใช่ของครูประเสริฐ เจ้าของจำใจขายแล้วย้ายไปอยู่อำเภออื่น ชาวบ้านซุบซิบกันว่า ครูประเสริฐต้องการกว้านซื้อที่ดินแผ่ขยายสวนของตัวเองออกไปให้สุดหมู่บ้าน รายไหนไม่ยอม สุดท้ายก็ต้องยอมเมื่อส่งลูกชายคนเป็นสารวัตรไปเจรจา

“พูดกับเขาดีๆ นะพี่ อย่าให้มีเรื่องบาดหมางอะไรกัน ลูกเรายังเล็กอยู่”

ภรรยาพูดด้วยความเป็นห่วง พอรู้ว่าขวางตัดสินใจจะเข้าไปคุยกับครูประเสริฐให้ช่วยจัดการเรื่องกลิ่นขี้หมู แต่ไหนแต่ไรมาภรรยาของเขามักเป็นฝ่ายยินยอมคนอื่นอยู่ร่ำไป ไม่อยากมีปากมีเสียงกับใคร ตอนอยู่คอนโดฯ ที่กรุงเทพฯ เพื่อนข้างห้องสูบบุหรี่จัด ชอบออกมายืนสูบหลังระเบียงห้อง เธอแพ้กลิ่นบุหรี่ แต่ทนสูดกลิ่นนั้นจนต้องเข้าโรงพยาบาล ครั้งแรกขวางไปเคาะประตูและขอร้องให้สูบในห้อง กลิ่นจะได้ไม่โชยรบกวนคนอื่น เงียบไปได้ไม่ถึงอาทิตย์ ออกมายืนสูบอีก ขวางไปเคาะใหม่ ครั้งนี้เขาถือดาบซามูไรยาวเกือบวาไปด้วย ได้ผล เพื่อนข้างห้องคนนั้นไม่เคยออกมายืนสูบอีกเลยตั้งแต่นั้น นิสัยภรรยาของขวางเปรียบเหมือนน้ำ น้ำเย็นๆ จากแผ่นดินที่ราบสูง คอยชโลมความใจร้อนของขวางผู้สามีให้สงบร่มเย็นตลอดมา หลายครั้งหลายคราเวลามีเรื่องไม่ว่ากับเพื่อนร่วมคอนโดฯ ที่ทำงาน หรือที่ไหนๆ เธอจะเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยเอาน้ำเย็นเข้าลูบเสมอ

ขวางพยักหน้าแทนตอบคำภรรยาด้วยแววตาเครียดๆ เขารู้นิสัยตัวเองดี ไม่ชอบยอมใคร ยอมหักไม่ยอมงอ ตอนประถมมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนแทบไม่เว้นวัน อยู่มัธยมถูกเชิญผู้ปกครองเพราะต่อยครูฝ่ายปกครองที่ตะคอกใส่หน้าด่าแม่

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เป็นแกนนำนักศึกษาประท้วงอธิการบดีเรื่องทุจริตรับซองใต้โต๊ะจากพ่อค้าแม่ค้า

 

บ้านครูประเสริฐอยู่ลึกเข้าไปในสวน ใกล้ๆ กับถนนใหญ่ ตอนเด็กขวางเคยไปกับพ่อสองสามครั้ง ครั้งหนึ่งไปตอนงานบวชลูกชายคนที่เป็นสารวัตรอยู่ตอนนี้ อีกครั้งไปตอนงานศพเมียของครูประเสริฐ เป็นบ้านปูนผสมไม้สองชั้นใหญ่โตกว้างขวางสมฐานะ บริเวณบ้านปลูกหญ้าญี่ปุ่นและจัดสวนดอกไม้อย่างสวยงาม ตอนเด็กเดินเข้าไปในบริเวณบ้านครูประเสริฐกับพ่อ ขวางรู้สึกหวาดหวั่นเกรงกลัวต่อความหรูหรายิ่งใหญ่ ตอนนั้นเกิดความอิจฉาอยากอยู่บ้านโตๆ ลานบ้านกว้างใหญ่แบบนั้นบ้าง วันนี้ขวางเดินเข้าไปอีกครั้ง กลับรู้สึกเฉยๆ ไม่เกิดความอิจฉาต่อความหรูหราอะไรอีก ในใจกลับรักและภูมิใจบ้านหลังน้อยตัวเอง ถึงไม่ใหญ่หรูหราแต่ก็น่าอยู่

“มีธุระอะไร…”

ครูประเสริฐพูดกับขวาง ขณะมือจับสายยางรดกระถางต้นไม้ตรงสวนหน้าบ้าน ขวางรู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่เหมือนการมาของเขา คล้ายถูกคาดการณ์ไว้แล้วจากเจ้าบ้าน

“ผมมาเรื่องขี้หมู…”

ขวางพุ่งใส่เป้าหมายแบบไม่อ้อมค้อม ตามนิสัยโผงผางไม่ชอบชักแม่น้ำทั้งห้าให้เสียเวลา

ครูประเสริฐฟังคำพูดของขวางแล้วตีสีหน้านิ่ง ทำราวกับว่าสิ่งที่ได้ฟังเป็นเรื่องเล็กน้อยไร้สาระ มือยังคงถือสายยางรดน้ำต่อไป จนขวางรู้สึกเดือดพล่าน หากว่าวัยไล่เลี่ยกันเขาคงบันดาลโทสะอะไรออกไปแล้ว

“ก็ไม่เห็นชาวบ้านคนอื่นเขาเดือดร้อนอะไรนิ ผมให้คนงานล้างคอกทุกวัน สูอยู่กรุงเทพฯ นาน ติดนิสัยสำรวยเกินไปหรือเปล่า…”

คำพูดของครูประเสริฐเหมือนน้ำมันเบนซินราดลงกลางกองเพลิงในใจขวาง เขากำมือแน่น บังคับเสียงให้เป็นปกติ พูดเน้นทีละคำ

“ผม ไม่ได้ สำรวย กลิ่น ขี้หมู สร้าง ความ รำคาญ ให้ลูก เมีย ผม มาก ขอให้เห็นใจ เพื่อนบ้าน บ้าง…เถอะ นะ ครับ”

ขวางพูดเท่านี้ก็หันหลังเดินจากมาด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน สำเหนียกถึงความยุ่งยากใจอันจะตามมาเพราะเรื่องนี้ในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน

 

ทุกเดือนผู้ใหญ่บ้านจะมีการนัดประชุมลูกบ้าน ใช้ศาลาอเนกประสงค์ของวัดสำหรับประชุม ขวางไปร่วมทุกครั้งไม่เคยขาด เพื่อรับรู้ รับทราบข่าวสาร ข้อปฏิบัติใหม่ๆ จากรัฐ ไปมีส่วนร่วมตามรูปแบบการปกครองระดับท้องถิ่น ส่วนมากเขาจะนั่งฟังเฉยๆ ไม่ออกความคิดเห็น เพราะไม่มีเรื่องร้องเรียนหรือเรียกร้องอะไร อีกอย่างที่ผ่านมาเขาไม่มีเรื่องพิพาทกับใครให้เดือดร้อนด้วย แต่ครั้งใหม่นี้เขาตั้งใจจะนำปัญหาเรื่องขี้หมูเข้าที่ประชุมเพื่อขอให้เพื่อนบ้านที่มีผลกระทบร่วมกันเรียกร้อง ให้ผู้ใหญ่บ้านตัดสินเพื่อความเป็นธรรม

วันประชุม ร้อยวันพันปีสารวัตรลูกครูประเสริฐไม่เคยเข้าร่วม แต่ครั้งนี้กลับแต่งตัวเต็มยศมานั่งอยู่ด้วย ชาวบ้านผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนพอเห็นครูประเสริฐและลูกชายต่างมีท่าทีอ่อนน้อมเข้าไปยกมือไหว้ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ใหญ่บ้าน

“ผมชื่อนายขวาง ดำดวง ลูกบ้านหมู่สอง ขอใช้ที่ประชุมแห่งนี้แจ้งปัญหาความเดือดร้อนที่ได้รับ ขอให้พี่น้องเพื่อนบ้านรายอื่นหากเดือดร้อนเหมือนผมให้ร่วมกันสนับสนุนข้อเรียกร้องของผมในที่ประชุมนี้ด้วย เหตุว่าบ้านของผมสร้างติดอยู่กับเล้าหมูของครูประเสริฐ กลิ่นขี้หมูสร้างความรำคาญต่อชีวิตประจำวันของผมและครอบครัวเป็นอันมาก ผมเคยเข้าไปเจรจากับคู่กรณีแบบขอร้องแล้ว แต่เขาไม่สนใจความเดือดร้อนของผมเลย จึงอยากใช้ที่ประชุมแห่งนี้ภายใต้การนำของผู้ใหญ่บ้านช่วยให้ความเป็นธรรมแก่ผมด้วย…”

ขวางยืนขึ้นพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ แววตาและท่าทางของเขาไม่สะทกสะท้านอะไรสักนิด ขณะพูดใช้สายตามองไปที่ครูประเสริฐกับลูกอย่างไม่กะพริบ

“ผมสารวัตรประกอบ ลูกชายของครูประเสริฐ ขอชี้แจงแทนพ่อซึ่งอายุมากแล้วนะครับ พ่อ-แม่ พี่-น้องที่เคารพรักทุกท่านครับ ครอบครัวผมเลี้ยงหมูมานาน ไม่เคยมีปัญหา พ่อ-แม่ พี่-น้องทุกคนย่อมทราบดีว่า เล้าหมูของเราได้รับคำชื่นชมจากเกษตรอำเภอมาตลอด มีระบบน้ำไหลเวียนสำหรับล้างโรงเรือน มีบ่อบำบัดน้ำเสีย บำบัดกลิ่น ทุกอย่าง พ่อได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นของอำเภอห้าปีซ้อน ถ้าพี่น้องคนไหนคิดว่าขี้หมูจากเล้าพ่อผมสร้างปัญหารบกวนชีวิตประจำวัน ขอให้เสนอตัวออกมาได้เลยครับ…”

สิ้นเสียงสารวัตรลูกชายครูประเสริฐ ชาวบ้านทุกคนที่ร่วมประชุมเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทั้งๆ ที่ว่ากันตามจริงแล้ว ขนาดนั่งประชุมอยู่กลิ่นขี้หมูยังโชยตามลมมาเป็นระลอก ขวางรู้เลยในวินาทีนั้นว่าตัวเองถูกโดดเดี่ยวจากชาวบ้านไม่มีใครเอาด้วย

“เอาละๆ… ถ้าอย่างนั้น ผมในฐานะผู้ใหญ่บ้าน ถือว่าเรื่องที่นายขวาง ดำดวง เสนอขึ้นในที่ประชุมเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ขอให้แล้วๆ กันไป เราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน มีอะไรให้ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ที่นี่ไม่ใช่สังคมเมือง เราอยู่กันแบบพี่ๆ น้องๆ เอาละครับ วันนี้เลิกประชุมได้…”

ชาวบ้านทยอยออกจากศาลาวัดเพื่อไปทำธุระของตนหลังเสร็จประชุม ขวางรู้ดีว่าชาวบ้านหลายคนประสบปัญหากลิ่นขี้หมูเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ทุกคนถูกอิทธิพลครอบครัวครูประเสริฐปิดปากด้วยความกลัว ขวางเกลียดภาวะอย่างนี้เป็นที่สุด ไม่นึกว่าอุตส่าห์หนีความวุ่นวายสังคมเมืองหมายมาพึ่งเย็นแบบชีวิตชนบท แต่จนแล้วจนรอด หนีความวุ่นวายรูปแบบหนึ่งมาได้ ก็ต้องเจอกับความวุ่นวายรูปแบบใหม่อีก เขารู้สึกเหนื่อยล้า เบื่อหน่าย ไม่อยากหนีอีกต่อไปแล้ว

‘นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง สุขอื่นยิ่งไปกว่าความสงบไม่มี’ ขณะเดินออกจากศาลาที่ประชุม สายตามองไปเห็นพุทธพจน์บทนี้ถูกเขียนด้วยแผ่นไม้กระดานตอกติดอยู่กับโคนต้นหูกวาง

ขวางเกิดความคิดบางอย่างขึ้น จึงมุ่งไปยังกุฏิเจ้าอาวาส