เรื่องสั้น : มันคือ…? / เชตวัน เตือประโคน

เรื่องสั้น

เชตวัน เตือประโคน

 

มันคือ…?

 

แดดสายสาดมาจากทางด้านหลังของชายคนนั้น

ในวงล้อมของกลุ่มคนสวมชุดดำท่าทางขึงขังราว 8-10 คน และใครต่อใครซึ่งสวมสูทผูกเนคไทบ้าง ชุดข้าราชการสีกากีบ้าง ทหารในชุดลายพรางบ้าง ฯลฯ เดินตามเขามาอีกนับไม่ถ้วน

ร่างเขาไม่สูง แต่ออกทางกว้าง เดินวางก้ามเป็นเงาดำทะมึน

ยิ่งใกล้เข้ามา ยิ่งน่ากลัว

รัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจที่สุดคนหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ ชายที่สื่อมวลชน ประชาชนส่วนใหญ่ส่ายหน้า แต่ทว่าก็สามารถคว้าเก้าอี้รัฐมนตรีมานั่งได้

“ทุเรศ!” ใครบางคนสบถเมื่อได้ฟังการแก้ตัวในวันที่เขาถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

 

เด็กหญิงพยายามมองหน้าเขา แต่เห็นไม่ถนัดชัด ใกล้เข้ามาเหมือนคนติดเชื้อโควิด-19 ที่ใกล้เข้ามา

เธอไม่กลัว แต่แค่รู้สึกขยาด เหงื่อซึมออกจากมือที่ถือดอกไม้ ประโยคแรกที่เตรียมไว้เพื่อจะพูดนั้น จำไม่ได้แล้ว

ใกล้เข้ามาในระยะเอื้อมมือถึงกัน เด็กหญิงสูดลมหายใจยาวอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านี้

ชายในชุดข้าราชการคนหนึ่งผายมือมาที่เธอ จากนั้นก็เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง

เธอได้ยินไม่ถนัด หูอื้อไปหมด ทำได้แต่เพียงยื่นดอกไม้ให้กับรัฐมนตรี และเอ่ยออกไปเหมือนเป็นประโยคอัตโนมัติว่า “ยินดีต้อนรับค่ะ”

“ขอบใจจ้ะหนู” เสียงเขาเหมือนอ่อนโยน แต่รู้สึกได้ถึงความมีอำนาจ

“ไปทางไหนต่อ” ข้าราชการคนเดิมถามเหมือนเป็นคำสั่ง “พาท่านไปสิจ๊ะ”

เธออยู่ใกล้ในระยะที่เห็นใบหน้าเขาชัดแล้ว ดวงตาที่ถมึงทึงคู่นั้นเหมือนพร้อมจะทำให้เธอมอดไหม้ด้วยการจ้องมอง จมูกบู้บี้ที่อาจจะพ่นลมร้อนพัดให้เธอปลิวหายไปจากโลกใบนี้ได้ และรอยยิ้มแสยะที่ประดุจมีดกรีดเชือดคอเธอให้ลงไปแดดิ้น

“ไปกันหรือยังจ๊ะ” และน้ำเสียงของเขาที่เธอต้องพร้อมยอมทำตามแต่โดยดี

“เชิญทางนี้ค่ะ”

เธอพาเขาและคณะผู้ติดตามเดินขึ้นไปบนเนินทราย โดยมีสายตาของข้าราชการหน่วยงานต่างๆ และชาวบ้านที่มาร่วมงานจับจ้องมองตามตาไม่กะพริบ

แดดสายเริ่มแรงร้อน ลมทะเลนิ่งสงบ

 

เขาเป็นความหวังเล็กๆ ที่แสนจะริบหรี่ของเธอและคนในชุมชน ตลอดจนพี่น้องประชาชนที่ออกมาร่วมกันปกป้องทรัพยากรของบ้านเกิด จากโครงการใหญ่ยักษ์ที่จะผุดขึ้นบนผืนดินนี้ โดยที่ชาวบ้านในพื้นที่ไม่ยอมรับ

“เขตพัฒนาพิเศษ” ผู้มีอำนาจและบรรดานายทุนที่มากว้านซื้อที่ดินเขาเรียกกันอย่างนั้น

แต่สิ่งที่มันจะตามมาคือ เธอกลัวว่าหาดทรายสวยๆ จะหายไป ท้องทะเลที่มีน้ำใสๆ จะเปลี่ยนแปลง สัตว์น้ำที่เคยหาจับกันได้ง่ายดายจะไม่มีที่อยู่ วิถีชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนเพราะอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาพิเศษแห่งนี้ ดังที่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายๆ พื้นที่ทั่วประเทศ

เด็กหญิงและคนในชุมชนของเธอจึงออกมาคัดค้าน แต่เสียงของพวกเธอเบาหวิว

จากในชุมชน เธอและชาวบ้านบางส่วนเดินทางเข้าสู่ตัวจังหวัด

เสียงยังคงเบาอยู่

จากตัวจังหวัด เธอและชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งเดินทางเข้าสู่เมืองกรุงศูนย์กลางอำนาจรัฐ ปักหลักคัดค้านอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล

คราวนี้ เสียงของเธอเริ่มมีคนได้ยิน เรื่องราวปัญหาของพวกเธอและคนในชุมชนเริ่มมีคนสนใจ มีพื้นที่ข่าว มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

กระทั่งสถานการณ์ล่าสุดตอนนี้ รัฐบาลได้ชะลอโครงการนี้ไว้ โดยอ้างว่าให้กลับไปทำประชาพิจารณ์ รับฟังความเห็นจากประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น โครงการนี้ได้อนุมัติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การกว้านซื้อที่ดินในราคาสูงลิบเป็นประจักษ์พยานยืนยัน ว่าอย่างไรก็ตามเขตพัฒนาพิเศษย่อมต้องเกิดขึ้น

ไม่มีหนูตัวไหนกล้าเอากระพรวนไปผูกคอแมวฉันใด ก็ย่อมไม่มีรัฐบาลชุดใดกล้าหักหน้านายทุนฉันนั้น

นี่อาจเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของเธอ ที่จะทำให้รัฐมนตรีที่มีอำนาจที่สุดคนหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้เปลี่ยนใจ ยกเลิกโครงการนี้

แม้เป็นความหวังที่รางเลือนเต็มที่ก็ตาม

 

บนหาดทรายที่เธอพยายามอธิบายให้เห็นถึงความอัศจรรย์

เนินทรายที่ผ่านการทับถมของเม็ดทรายอายุกว่า 6,000 ปี ที่ซึ่งคนในชุมชนแถบนี้ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ นั่งกินลมชมท้องทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา

“ทางนี้ค่ะ” เธอพาเขาและคณะมาหยุดหน้าป้ายไวนิล ชี้ชวนให้ดูรูปบนนั้น แล้วเริ่มต้นอธิบายว่า “ตรงจุดที่เรายืนอยู่นี้ เรียกว่าเนินทราย 6,000 ปี เกิดจากการทับถมของทรายที่น้ำทะเลพามาจากที่ซึ่งไกลแสนไกล ทับถมจนกลายเป็นเนินสูงชันสลับกันไปแปลกตา มีต้นไม้ขึ้น เป็นที่พักผ่อนของคนที่นี่ คนมาเที่ยวก็เยอะ ในประเทศไทยลักษณะแบบนี้เหลือเพียงไม่กี่แห่งแล้วนะคะ”

เขาพยักหน้า ละสายตาจากรูปบนป้ายไวนิล หันมองเนินทรายของจริง หลับตาพริ้มและสูดลมหายใจยาว ทำทีเป็นสดชื่น

ลมทะเลนิ่งสงบ เด็กหญิงรู้สึกมีเหงื่อซึมและไหลอยู่บนแผ่นหลัง

“ส่วนทางนี้” เด็กหญิงขยับไปที่ป้ายไวนิลต่อไป “คนฟังเสียงปลา หรือที่เราเรียกกันว่าวิชาดูหลำ เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ปลาอะไร อยู่ตรงไหน สามารถฟังเสียงได้ก่อนที่จะลงเบ็ด ลงอวนจับ”

เขาพยักหน้า เบ้ปาก “ฝึกยากมั้ย”

“ปกติแล้วไม่มีคนจากที่อื่นมาเรียนหรอกค่ะ เป็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ ถ่ายทอดให้กันต่อๆ มา”

“โอ้ว! เคล็ดวิชาลับ” แล้วเขาก็หัวเราะเสียงดังอย่างไร้มารยาท เป็นเสียงหัวเราะที่เหมือนเสียงระเบิดซึ่งพร้อมจะฉีกร่างเธอออกเป็นเสี่ยงๆ

ข้าราชการผู้ติดตามทุกคนหัวเราะตามอย่างไร้มารยาทเช่นกัน

เธอหน้าเสีย แต่ยังพาเขาและคณะไปดูป้ายไวนิลแผ่นสุดท้าย “ส่วนนี่คือปลาเค็มฝังทราย ภูมิปัญญาชาวบ้าน และเนื่องจากทรายที่นี่มีความละเอียดเป็นพิเศษ เพราะพัดมาจากที่ไกลแสนไกลในส่วนลึกสุดของท้องทะเล จึงทำให้ได้รสชาติของปลาเค็มที่อร่อยกว่าที่ไหนๆ”

คราวนี้เขาส่ายหน้า แล้วเปรยเบาๆ “ไม่เอา ผมไม่ชอบทราย” เขาว่าต่อ “โดยเฉพาะทรายที่เขาเรียกกันว่าแม่เลี้ยง เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ม็อบออกมาต่อต้านรัฐบาล หนูด้วย… ฉันจำหนูได้”

ว่าจบเขาก็จ้องเธอตาเขม็ง เด็กหญิงเริ่มรู้สึกร้อน แผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

ชายในชุดข้าราชการคนหนึ่งผายมือแล้วพาท่านรัฐมนตรีเดินไปทางเต็นท์ที่มีประชาชนรอต้อนรับ เด็กหญิงมองตาม เธอรู้ดีว่าเป็นกลุ่มคนที่ผู้นำชุมชนแห่งหนึ่งพามาเพื่อสนับสนุนให้เกิดเขตพัฒนาพิเศษ ด้วยข้ออ้างว่า จะทำให้เกิดการจ้างงาน คนในท้องถิ่นจะได้มีการมีงานดีๆ ทำ

เขาเดินเข้าไปหา ยิ้มกว้างจนแก้มจะฉีกถึงหู

เสียงไชโยโห่ร้องต้อนรับ บางคนเข้ามาโอบกอดขอถ่ายรูป

 

เด็กหญิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม บนเนินทรายอายุกว่า 6,000 ปี ข้างๆ ป้ายไวนิลที่ให้ข้อมูลของดีของท้องถิ่น ภูมิปัญญาและวิถีชีวิตชาวบ้าน

เธอยืนอยู่ตรงนั้น โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ไม่รู้หรอกว่าผู้นำชุมชนที่พาคนมาสนับสนุนให้เกิดเขตพัฒนาพิเศษนั้น พารัฐมนตรีและคณะไปดูไปชมอะไรตรงจุดไหนบ้าง

จนรู้สึกตัวอีกทีก็คือเขาได้กลับมายืนจังก้าต่อหน้าเธออีกครั้ง

เพียงเขากับเธอสองคน ไม่มีผู้ติดตาม ไม่มีข้าราชการติดสอย บนเนินทรายอายุกว่า 6,000 ปี

“ฉันจำหนูได้…” เขาว่าแล้วค่อยๆ ฉีกยิ้ม “หนูคือแกนนำ คือพวกเดียวกับเยาวชนเหล่านั้นที่ออกมาประท้วงขับไล่รัฐบาล ระราน และจาบจ้วงด้วย พวกหนูรู้มั้ย ว่ากำลังถูกพวกชังชาติล้างสมอง หนูกำลังเป็นเหยื่อของคนพวกนั้นโดยที่ไม่รู้ตัว”

“ไม่ค่ะ” เธอรีบโต้แย้ง “หนูมีความคิดของหนูเอง แค่เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลทำไม่ถูกต้อง หนูออกมาส่งเสียงคัดค้าน อย่างโครงการนี้ หนูก็ออกมาปกป้องทรัพยากร ปกป้องผืนแผ่นดินเกิด ไม่มีใครยุยง ไม่มีใครปลุกปั่น ไม่มีใครล้างสมองทั้งนั้นค่ะ”

เขายื่นมือมาจับไหล่เธอ “พวกหนูต้องรู้จักเสียสละเพื่อประเทศชาติ”

เขายิ้ม หันไปมองป้ายไวนิล ชี้ไปที่ป้ายซึ่งอธิบายเรื่องเนินทราย 6,000 ปี “รู้มั้ย มันคืออะไร”

เธอนิ่งเงียบ ได้แต่มองตามไปที่ปลายนิ้ว

เขาเน้นเสียงชัดเจนทีละคำ “มัน คือ โรง งาน ผลิต หัว รถ จักร”

ชี้ไปที่ป้ายไวนิลที่อธิบายเรื่องวิชาดูหลำฟังเสียงปลา “มัน คือ ท่า เรือ น้ำ ลึก”

ชี้ไปที่ป้ายไว้นิลที่อธิบายเรื่องปลาเค็มฝังทราย “มัน คือ โรง ไฟ ฟ้า”

เขาคว้ามือเธอขึ้นมา ยัดสิ่งของบางอย่างให้แล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นค่าวิทยากรนำชม ไม่มากไม่มาย แต่น่าจะเป็นค่าเล่าเรียนให้หนูได้หลายเทอม กลับไปตั้งใจเรียนนะ แล้วที่นี่จะมีงานดีๆ ให้หนูทำ ให้หนูมีเงินเยอะๆ แล้วคราวนี้อยากจะไปวิ่งเล่นที่เนินทรายประเทศไหนก็ได้ อยากจะจับปลามากแค่ไหน เอามาทำปลาเค็มฝังทรายมากเท่าไหร่ก็ได้”

เขารวบนิ้วมือเธอให้กำสิ่งของที่มอบให้นั้น

เธอน้ำตาไหล รู้สึกเหมือนตัวเองเล็กลีบเหลือเกิน