เรื่องสั้น | แล้วข้าจะตายไหมหมอ (1)

อาจเป็นเส้นแสงดวงเล็กที่สาดสว่างและดูดจับสายตาให้ตรึงแน่นกับมัน ไม่กี่นาที ก่อนที่จะถอนตัวผละจากสีแดงแกมน้ำตาลของเสาไม้ทาด้วยสีน้ำมันอันหาได้เกร่อในหมู่บ้าน ความวาวมันกระจิริดของมันดึงดูดหัวใจเราไว้กลบเกลื่อนซากแห่งกาลเวลา รอยกระสุนปืนที่เจาะทะลุเอาไว้จนไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าครั้งหนึ่งใต้โคนมะม่วงแห่งนั้นเคยเกิดเหตุฆาตกรรม

“ว่าแต่เอ็งรู้รึยังว่าข้าให้เอ็งมาทำไม” เขาเอ่ยขึ้น ข้าพเจ้าได้แต่ส่ายหน้า “อ้าว เฮ้ย!…นี่มันอะไรกัน หาเก้าอี้มาให้แขกของข้านั่งหน่อยไม่ได้รึไงวะ ส่วนเอ็งก็ไปหาน้ำหาท่ามาต้อนรับเขาหน่อย ยืนทื่อมะลื่อกันอยู่ได้”

รอจนหญิงชาวบ้านที่ถือน้ำใส่เหยือกกับผลไม้มาวางบนโต๊ะคล้อยหลังจากไป “นายหัว” ก็พูดขึ้นอีกว่า “ข้าดีใจจริงๆ ที่หมอมาจนได้ ข้ากำลังตั้งตารออยู่ทีเดียว อ้อ เดี๋ยวนี้ข้าต้องเรียกเอ็งว่าหมอสรรพงษ์แล้วสินะ” เขาหยุดหายใจ

“ว่าแต่ทำไมมากันช้านักวะ ข้าจำได้…ข้าให้คนไปตามหมอหลายวันแล้วนี่หว่า” เขาโบกมือ “เอาเถอะ! ข้าอยากให้หมอเข้าใจ ค่าที่ข้าไว้ใจหมอได้มากกว่าใคร ข้าจึงอยากให้ทุกอย่างเป็นความลับระหว่างเรา ไม่มีใครมาสอดรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้”

น้ำเสียงเขาเบาหวิวจนเราต้องเงี่ยหูฟัง ข้าพเจ้าข่มใจที่พลันเต้นระทึกขึ้นอีก “หมอให้สัญญากับข้าได้ไหมล่ะว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

ข้าพเจ้าพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว

“ดีมาก นี่เป็นสิ่งที่ข้าหนักใจเป็นที่สุด เมื่อหมอเข้าใจไม่ยาก ข้าก็พอจะเบาใจลงได้ อ้อ ข้าขอบอกไว้ตั้งแต่แรกเลยนะว่า เรื่องที่ข้าให้หมอทำจากนี้ไปสำคัญกับข้ามากๆ แม้สุดท้ายหมอจะคิดว่ามันแค่เป็นเรื่องเล็กน้อยขี้ปะติ๋วก็ตาม”

บนท้องนภา กาฝูงใหญ่โฉบผ่านไปมา มีแต่เสียงกา…กา ลอยอยู่ในอากาศ

เสียงกานั่นฉุดภาพนายหัวเมื่อครั้งอดีตขึ้นมา ราวกับว่ามันล่องลอยอยู่ในอากาศ ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ในห้องอันโอ่โถง หันไปบอกผู้ช่วยให้ส่งกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ที่พกติดตัวมา แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเขาโบกมือให้ผู้ช่วยออกไปรอข้างนอก บอกให้ข้าพเจ้าเดินไปปิดประตู ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ

“ข้าล้มป่วยมานานแล้ว ด้วยโรคที่ข้าไม่อยากให้ใครล่วงรู้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ยากจะบรรยาย ดวงตาห้อเลือดนั้นแดงก่ำ “ข้าอาย ข้าไม่อยากให้ลูกบ้านหัวเราะเยาะข้า”

“เหนืออื่นใด ข้าไม่อยากให้ใครมาเห็นร่างกายอันน่ารังเกียจของข้า”

แล้วเขาก็พูดอีกว่า

“ข้าต้องการความมั่นใจ ข้าจึงไม่อยากไปไหนไกล…”

ข้าพเจ้าขนลุกเกรียว! นึกภาพออกรางๆ รู้ได้ในวินาทีนั้นว่าทำไมเขาจึงเรียกเรามา ทั้งที่ไม่ใช่นิสัยปกติเหมือนเช่นที่ผ่านมา

เบี่ยงตัวหลบแสงอันเรืองรองของดวงตะวันยามเย็น ที่ส่องลอดลายฉลุไม้ลงไปสั่นไหวอยู่ตามพื้นกระเบื้องแดงเถือก กล้ำกลืนเก็บความขุ่นเคืองไว้ในอก ข้าพเจ้าพลันเข้าใจขึ้นมาในบัดดลถึงคำของพ่อ : คนเป็นหนักกว่าคนตาย ความรับรู้เช่นนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกแค่นหัวร่อคลายความอึดอัด หากมิใช่ด้วยจรรยาบรรณที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ข้าพเจ้าควรฟาดหน้าบวมตุ่ยของเขาด้วยกำปั้นหนักๆ สักหมัดสองหมัด หรือไม่ก็เอามีดปลายแหลมอันคมกริบวาววับกรีดใส่ใบหน้าฝากรอยแผลไว้เป็นที่ระลึกสักสองสามแผลให้หายคับแค้นใจ

แต่ก็ทำไม่ได้…

ข้าพเจ้าสะกดกลั้นดวงไฟแห่งความเคียดแค้นชิงชังที่กำลังโหมไหม้ลุกลามไปทั่วทุกอณูแห่งความคิด ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าอดทนและรอคอย แล้วเราก็เห็นแววตาห้อเลือดเบิกกว้างหรี่ลงอีก ข้าพเจ้าพลันคิดถึงดวงตาเจ้าเล่ห์ของสุนัขจิ้งจอก

ข้าพเจ้าล่าถอยไปตระเตรียมอุปกรณ์ในกระเป๋าถือที่ติดตัวมา พร้อมกับตั้งสตินึกคร่ำครวญถึงอาการป่วยนานาที่ควรมี

ข้าพเจ้าสอบถามอาการพื้นฐานเขาไปสองสามอย่างที่หมอศัลยกรรมควรรับรู้ พลางคิดสะระตะถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อไป ข้าพเจ้าถามเขาว่าพร้อมให้ดูอาการป่วยแล้วหรือยัง สารภาพเลยว่าข้าพเจ้ามองเห็นแต่ใบหน้าอันซีดเหลืองบวมเป่งไร้ชีวิตของพ่อลอยอยู่ภายในดวงตาห้อเลือด…

นายหัวบอกให้หลับตา แล้วก็รอคอย ชั่วครู่ผ่านไป ลืมตามาอีกครั้งเห็นเขานุ่งผ้าขาวม้าโขยกเขยกเดินออกมา

นายหัวพลันก้าวไปบนฟูก ล้มตัวลงนอนคว่ำ

เขาเลิกผ้าขาวม้าที่ปิดไว้หมิ่นเหม่เปิดทวารหนักที่เต็มไปด้วยรอยสักและอักเสบให้ดู ชั่วประเดี๋ยวข้าพเจ้าได้กลิ่นเหม็นอันร้ายกาจโชยวูบ แม้แต่กลิ่นไม้หอมก็ไม่อาจสะกดและเห็นรอยบวมช้ำปรากฏ ข้าพเจ้าถึงกับแทบผงะด้วยคาดไม่ถึง

จดจ่อไปกับมัน…มองปราดเดียวก็รู้…แล้วข้าพเจ้าก็เผลอสะดุ้งขณะล้วงคลำดูจนพบก้อนเนื้อในร่องก้น ได้ยินเขาส่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวด อาการอักเสบไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าถึงกับหนักใจแต่อย่างใด แต่ลอบมองใบหน้าเหยเกซีดเซียวนั้นอย่างสาแก่ใจ

ล่าถอยมาอีกครั้ง เดินไปเปิดตู้เย็น ควานหาก้อนน้ำแข็งมาประคบตรงแผลลดความเจ็บปวด ข้าพเจ้าเลี่ยงไปใส่ถุงมือ ที่ปิดจมูก

แสงยามเย็นเริ่มพร่าเลือนลงทีละน้อย ข้าพเจ้าแทบกลั้นหายใจขณะขยับร่างเข้าใกล้ ควานนิ้วล้วงก้อนอุจจาระที่อุดตันในร่าง…แววตาห้อเลือดนั้นหรี่ลงปิดราวกับไม่อยากรับรู้สิ่งใดอีกต่อไป

เวลาผ่านไปแต่ละวินาทีรู้สึกยาวนานเหลือเกิน

“หมอ ข้าเป็นอะไรมากไหม”

ข้าพเจ้าไม่ตอบ ก้มลงใช้ผ้าบางซับเลือดทีละน้อย กลั้นใจล้วงควักเอาสิ่งที่หมักหมมเน่าเหม็นและแข็งตัวคละคลุ้งอยู่ภายในออก เขาเผลอร้องโอดโอยขึ้นมา

นายหัวถามขึ้นอีก “แล้วข้าจะตายไหมหมอ…ข้าจะตายใช่ไหม บอกข้ามาตามตรง ข้าไม่ชอบคนโกหก”

ข้าพเจ้ามองหน้าซีดเซียวนั้นก่อนข่มใจตอบ “ตายสิ…นายหัวต้องตาย”

แล้วก็รีบพูดต่อ “ทุกคนเกิดมาก็ต้องตายไม่ใช่หรือ”

ได้ยินเขาร้อง “อ้อ”

ทิ้งไว้แต่ความทรงจำที่ยาวไกลไปถึงในอดีตชาติ มันโอบคลุมหัวใจเราไว้เช่นเดียวกับทะเลสาบแห่งหมู่บ้าน

นี่ละหรือชายผู้ยิ่งใหญ่ ชายผู้ที่ทุกคนเกรงกลัวไม่กล้าแม้เข้าใกล้

นี่น่ะหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์แผ่นดินผืนนี้ สัมปทานพันล้าน เจ้าของรังนกนับพันนับหมื่นตัวบนเกาะแห่งนี้

ข้าพเจ้ามองหน้าชายผู้ยิ่งใหญ่ที่นอนหน้าบิดเบี้ยวเหยเกอยู่อย่างลำพังและโดดเดี่ยวในห้องอันกว้างใหญ่อีกครั้ง บัดนี้ดูราวกับว่าเขาตัวเล็กลีบไม่เหลือเค้าแห่งความน่าหวั่นกลัวอีกต่อไป

ทำไมข้าจะต้องมาทำเรื่องน่าอายเช่นนี้วะ?!

ให้รากเลือดตายเหอะ! ใครนะที่บอกว่า เราต่างอยู่ในโลกอันเวิ้งว้าง เราได้แต่รอ รอจะถมเต็มหรือไม่ก็บรรจุความหมายบางสิ่งบางอย่างลงไป โดยตัวเราหรือจากใครสักคน

ก็แล้วทำไมข้าจะต้องมารับรู้ด้วยเล่า? เพียงแค่เห็นหน้า ข้าเป็นต้องหวนกลับไปหาเรื่องที่ข้าอยากลืมเลือน ทว่าข้าไม่เคยลืม…สิ่งที่เขาทำกับพ่อ สิ่งที่เขาทำกับพวกเราทุกคน…

ให้ตายเถอะ! ไม่น่าเชื่อ-ในที่สุดก็มีวันนี้เข้าจนได้ ข้ารอคอยมานาน วันที่ข้าได้เห็นสีหน้าเปี่ยมความทุกข์ทรมานอย่างกระจะตา

นั่นเพราะสำหรับข้าแล้ว…เขาก็คือไอ้งั่งตัวหนึ่ง เป็นเพียงตาแก่ไร้เดียงสา ไม่รู้จักชีวิต…ไอ้งั่งที่ไม่เคยรู้รสชาติของความยากลำบาก ไอ้งั่งที่เป็นได้เพียงเด็กทารกยังไม่หย่านมมารดา…หลงตัวเองจนกระทั่งไม่เห็นหัวใคร ว่ากันว่าครอบครัวของเขามีฐานะร่ำรวยมาแต่อดีตชาติ ข้าว่าคงมีอันจะกินมากกว่าวันนี้เสียอีก บรรพบุรุษเขาเป็นโจรสลัดมาก่อน

อ้อ ภายหลังมีคนบอกข้าว่า พวกเขาลืมตาอ้าปากได้จากการอาศัยกระบอกปืนพร้อมสมุนดาหน้ายึดที่ดิน ทุ่งนา และสัตว์เลี้ยงจากชาวบ้านร้านถิ่น บังคับให้เป็นข้าทาสบริวารนั่นหรอก เขาเกิดบนกองเงินกองทองแท้เชียว

ทำไมข้าจะจำไม่ได้ เรื่องที่เขาเล่าซ้ำๆ จนเราไม่อาจลืม…ลืมไปว่าเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ แล้วก็ทำให้เราหลงลบลืมตัวเราเอง ข้าอยากบอกว่า พวกเราไม่ได้มีค่าเป็นเพียงฝุ่นผงในละอองธุลีอากาศ ไม่ต่างจากผีพรายไร้ตัวตน แล้วจะทำอะไรกับเราก็ได้ดั่งที่เขาเข้าใจ…ครั้งหนึ่งพวกเขาล่องเรือขนสินค้าจากการค้าขายกลับมาจากเมืองระกา…

นี่ไง เรื่องเล่าประจำตัวของเขาที่ตอกย้ำซ้ำไปมาจนฝังค้างอยู่ในความทรงจำให้เราขุดมาเล่าได้ในทุกถ้อยคำ

ข้าพเจ้าหลับตาลงอีกครั้ง ราวจะเบือนหนีไปจากภาพชวนสมเพชตรงหน้า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงลูกตุ้มนาฬิกากวัดไกวเหวี่ยงตัวเองไปมาอยู่ในท่ามกลางความเงียบ

…ระหว่างทางเรือล่องมาถึงที่นี่ ฟ้าพลันมืดครึ้มตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจรู้ได้ มันคือห้วงเวลาแห่งชะตากรรม เรือที่แล่นอยู่ดีๆ กลับไถลไปชนกับโขดหินที่อยู่ใต้น้ำดังใครแกล้งเล่น-ข้าพเจ้าจำได้ เขาบรรยายว่าได้ยินเสียงโครมใหญ่ดังขึ้น เสียงอันกัมปนาทนั้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องอันตื่นตระหนก…เรือทั้งลำเอียงกระเท่เร่ล่มลงในฉับพลันทันใด อย่างที่บอก…นี่คือชะตากรรม! ในที่สุดทุกคนพากันจมน้ำตายไปจนหมดสิ้น– ข้าพเจ้าอ่านเรื่องราวเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนจำขึ้นใจ…จะทำไงได้ ข้าเห็นเรือดำดิ่งค่อยๆ จมลงสู่ก้นแห่งทะเลลึกปรากฏต่อสายตา ทรัพย์สมบัติประดามีที่บรรทุกมาในเรือลำนั้นก็พลอยมลายหายสาบสูญไปด้วย ขณะเรือกำลังจมลงเขายังบอกว่ามันเป็นนาทีแห่งความทรงจำ—

ข้ายังทันเห็นยอดสีเขียวทึบของต้นมะม่วงป่า และแววตาตื่นตระหนกของมารดาด้วยซ้ำ…

หลับตาลงข้าพเจ้าก็เห็นใบหน้าคล้ำเกรียมของหมอผีจากต่างแดนคนนั้นแจ่มชัดขึ้นในห้วงนึก ตะแกกำลังทำพิธีที่ซากเรือใกล้ต้นมะขามยักษ์เพื่อขุดหาทรัพย์สมบัติ อ้อ พวกมันมากัน 5 คน ล้วนแล้วแต่เป็นชาวบ้านต่างถิ่น…ไอ้พวกห่าจัญไร…นรกสั่งมาเกิด…ข้าพเจ้ารู้พวกมันอพยพหนีภัยแห่งความอดอยากแร้นแค้นมาจากเมืองจีน หมอผีหน้าตาอุบาทว์กว่าใครกับสมุนมาถึงก็ขีดวงกั้นสายสิญจน์ล้อมรอบซากเรือเอาไว้ นั่งลงภาวนาจำเริญพุทธมนต์เสกคาถาปัดเป่า เรียกขานดวงวิญญาณของเขาและมารดาออกมาเพื่อหวังถามหาขุมสมบัติที่ฝังอยู่ใต้ก้นทะเลลึก

มารดาของเขาพลันปรากฏกายขึ้นในเวลาต่อมา ด้วยรูปโฉมโนมพรรณที่น่าเกลียดน่ากลัวไม่แพ้กับตัวเขา นางสำแดงอิทธิฤทธิ์ทั้งแลบลิ้นปลิ้นตาอันแดงก่ำ ข้าพเจ้าหลับตาลงเห็นนางยื่นมืออันเหยียดยาวไปเขย่าต้นมะขามยักษ์ที่ยืนทะมึนจนใบและลูกร่วงพรูตกเกลื่อนเต็มพื้น ครั้นแล้วนางก็พร่ำท่องเวทมนตร์ดำเรียกลมเรียกฝนสำแดงอิทธิฤทธิ์ที่สะสมเอาไว้นับร้อยปี พลางกรีดร้องด้วยน้ำเสียงอันโหยหวนหมายว่าจะไล่ทุกคนให้เตลิดหนีไปไกล ทว่าไอ้หมอผีหน้าดำนั่นก็หาได้เกรงกลัวไม่ กลับเสกน้ำมนต์ซัดสาดเข้าใส่ใบหน้าจนนางเสียโฉมเน่าเฟะไปหมด นายหัวเองก็สิ้นเรี่ยวแรงจากอิทธิฤทธิ์ของเวทมนตร์ นอนระทดระทวยอยู่บนพื้นหญ้า

ทว่าอำนาจแห่งไสยศาสตร์ไหนเลยจะสู้ความหาญกล้าที่เกิดจากความรัก มารดาของเขากัดฟันข่มความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย รวบรวมเรี่ยวแรงสุดท้ายที่มีตรงเข้าไปบีบคอหมอผีบ้านั่นจนตาย แล้วมารดาก็ไปเกิดใหม่ ทิ้งไว้แต่วิญญาณอันอ้างว้างของนายหัวไว้เพียงลำพัง

นับแต่นั้นเขาเปลี่ยนที่เข้ามาสิงสู่อยู่ในต้นมะขามยักษ์อย่างโดดเดี่ยว ความอ้างว้างเช่นนี้เล่นงานเขาอยู่นาน

ในความทรงจำส่วนเกินนั้น ข้าพเจ้ามองเห็นหมอคงผู้มีวิชาอาคมแก่กล้าที่สุดในหมู่บ้านปรากฏกายขึ้น พวกเขาต้องการทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณของนายหัวขึ้นสู่ศาล เขาบรรยายเหตุการณ์ตอนนี้ว่า…ลมเริ่มกระโชกแรงขึ้นเรื่อยๆ กระชากฝุ่นฟุ้งไปทั่วบริเวณ ปะรำพิธีเริ่มส่ายไหวโอนเอน เล่นเอาผู้ที่มาร่วมพิธีเริ่มร้องครางด้วยความหวาดกลัว บางคนผละหนีออกไปยืนดูอยู่ห่างๆ ฝุ่นคลี่คลุมจางลงไปทีละน้อย ค่อยๆ เผยให้เห็นนางที่ท้ายสุดกลายเป็นมารดาของนายหัวมีอาการสั่นเทิ้มเหมือนเจ้าเข้า

นางพลันทรุดตัวล้มฟุบลงแน่นิ่งไป กำนันถลันพรวดจะเข้าไปช่วยพยุง ทว่าไม่ทันนางที่ทะลึ่งพรวดผุดลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง พลางพูดจาภาษาที่ทุกคนฟังไม่รู้ความออกมา ทุกคนในพิธีต่างตระหนกตกใจ เตลิดหนีไปคนละทาง หมอคงพร่ำตะโกนบอกทุกคนให้อยู่ในความสงบ หมอคงบอกต่อไปอีกว่า วิญญาณที่มาเข้าสิงนางนี้เป็นวิญญาณของนายหัวในอดีตชาติ ได้ล่องเรือมากับบิดาและมารดา ครั้นแล้วเรือมาล่มอยู่ที่นี่ ตัวเขาสิงสถิตอยู่บริเวณนี้มาสามร้อยกับห้าสิบปี และตอนนี้เขากำลังจะไปเกิดใหม่

ตอนนั้นเองที่บิดาของเขาหันไปบอกผ่านหมอคงไปว่า “บอกเขาว่าไม่ต้องไปไหน ให้มาเลย มาเกิดเป็นลูกข้า ข้าจะเลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดี”

นางที่วิญญาณนายหัวเข้าสิงพูดเป็นภาษามลายูออกมาอีกครั้งก็ล้มแน่นิ่งไป