เรื่องสั้น | หากมิใช่ความจริงในฝัน ก็คงเป็นฝันในความจริง (2)

“สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”

“อ๋อครับ เชิญข้างในเลยครับ”

“ค่า…”

“อยากดื่มอะไรไหมครับ เบียร์เป็นไง”

เธออมยิ้มกรุ้มกริ่ม ผงกหัวเบาๆ แสดงความขอบคุณ แล้วรับเบียร์ไปดื่ม ผมนั่งมองเธอซดเบียร์อย่างหิวกระหาย อาจเป็นเพราะผมเองก็หิวเธอซะจนเพ้อไปอย่างนั้น ในสายตาผมแล้ว เธอสวยเสียจนทำให้เบียร์เย็นฉ่ำกลายเป็นน้ำฝาดๆ ที่ไม่ควรเสียเวลาสักนาทีไปกับการดื่มกิน หญิงสาวตรงหน้าผมน่ากินกว่าเป็นไหนๆ กระป๋องเบียร์ในมือผมถูกวางลงพร้อมๆ กับที่มือข้างหนึ่งเอื้อมเข้าไปจับต้นแขนเธอ ซอกคอขาวผ่องที่โผล่ออกมาจากแนวผมดำสนิท บัดนี้มันได้แนบลงกับริมฝีปากของผม แล้วเลื่อนลงมาสู่หน้าอก

“จะไม่รอให้เบียร์หมดเลยเหรอคะ”

มีเพียงลมหายใจหอบกระหายของผมเท่านั้นเป็นคำตอบ…

ท่ามกลางแสงไฟสลัวรางในห้องแคบๆ ชายคนหนึ่งกำลังกระแทกกระทั้นตัวเองอย่างกับสัตว์ป่า โดยมีเรือนร่างขาวนวลดิ้นเร่ารองรับแรงกระทำอันนั้น เสียงหอบยังคงดังขึ้นจนถึงจุดที่เหตุปัจจัยทั้งมวลมันลงตัว ชายคนนั้นก็ส่งเสียงครางออกมายาวๆ เท่านั้นสัตว์ป่าทั้งฝูงที่สิงสถิตอยู่ในตัวก็เชื่องลงทันตา หญิงสาวเอื้อมมือมาลูบหัวชายวัยกลางคนอย่างแผ่วเบา ราวกับปลอบประโลมเด็กชายคนหนึ่ง ท่าทีที่ดูน่าทะนุถนอมอ่อนแอเมื่อสักครู่นั้น แท้จริงแล้วเธอต่างหากที่เป็นดั่งจ่าฝูงคอยคุมเกม

“จะต่อหรือเปล่าคะ”

“ไม่เป็นไร แค่นี้ละครับ”

“แน่ใจนะว่าคืนนี้จะไม่เหงาอีก”

“ผมเหงามาสี่สิบกว่าปีแล้ว ถ้าจะเหงาอีกสักสามสี่ชั่วโมงจะเป็นไร”

เธอลุกขึ้นใส่อาภรณ์ให้กับตัวเองอย่างทะมัดทะแมง พร้อมกับเอ่ยคำลา เนื้อหนังอันอ่อนนุ่มของเธอจากไปพร้อมกับจำนวนเงินที่ต้องการ คืนนี้เธอยังมีภารกิจอีกมากมายที่ยุ่งเหยิงเกินกว่าจะวอกแวกมานึกถึงคนอย่างผมอีก ขณะที่ผมต้องเหลือเวลาอีกนานจนกว่ารุ่งเช้าหรือจนกว่าผมจะข่มตาลง ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวในใจ

บางทีผมก็นึกอยากมีเงินมหาศาล เพื่อที่จะได้อยู่กับเธอนานกว่านี้ บ่อยกว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ให้เธอรักผมและอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผมก็คงดี หรือไม่ก็ขอให้ผมมีญาติพี่น้องอบอุ่น นั่นอาจจะทำให้ผมไม่ต้องทุกข์ทรมานจากความเปลี่ยวเหงา ความโดดเดี่ยวเดียวดาย หากว่าผมไม่เหงา ผมก็คงลืมเธอได้ง่ายขึ้น โหยหาเธอน้อยลง บทบาททางกามกรีฑาของเธอนั้นเข้าขั้นยอดเยี่ยม นอกจากนี้ หลายอย่างในตัวเธอก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างประหลาด จนผมผูกพันกับเธอไปมากกว่าเรื่องบนเตียง ถามว่าผมรักเธอหรือไม่ ผมก็ไม่แน่ใจ และไม่อาจตอบได้ว่าจริงๆ แล้วผมรู้สึกอย่างไร แต่อย่างน้อยมันก็เป็นความรู้สึกที่ดี ถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าผมจะหวังลมๆ แล้งๆ เรื่องไหน มันก็ดูไม่มีทางเป็นไปได้สักอย่าง หรือจะภาวนาให้ตอนนี้ผมฝันอยู่ พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าความจริงผมมีครอบครัวที่อบอุ่น มีเธอเป็นเมียผม มีลูกชายลูกสาวน่ารักๆ อย่างละคน กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานอยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย ใจดี…

ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ เวลาเราฝันไม่เห็นมีใครรู้ตัวสักคนเลยว่ากำลังฝันอยู่ หึๆๆ คิดอย่างนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย

ตอนนี้ 09:30 น. ของวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2599 เป็นเวลา 7 ชั่วโมงกับอีก 33 นาที นับจากช่วงเวลาของผมกับเธอ เป็นเวลา 48 นาทีนับจากเวลาที่ผมปิดประตูห้องตัวเองหมายเลข 1203 เสมือนจริงอพาร์ตเมนต์ และเป็นเวลา 20 นาทีแล้วที่ผมมานั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนี้ ศาลาริมสระบัว ในสวนสาธารณะชั้นดาดฟ้า อาคารเรียนรวม 9 แห่งมหาวิทยาลัยงองู ผมชื่อ “ชิต” ใครๆ ก็เรียกผมอย่างนี้ ผมเป็นพนักงานดูแลห้องเรียนทุกห้องในอาคารแห่งนี้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยหลังจากเสร็จสิ้นชั่วโมงการเรียนการสอน แต่นั่นก็ไม่ใช่งานเดียวที่ผมทำ วันเสาร์-อาทิตย์ผมยังหาลำไพ่พิเศษด้วยการรับจ้างติดไมโครชิปลงในสันหนังสือให้กับหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย ค่าตอบแทนก็ไม่มากนักหรอกครับ จัดว่าเป็นงานที่ต่ำต้อยพอสมควร แต่ผมก็ได้รับประโยชน์อยู่มากโขทีเดียวจากภาระเหล่านี้ คือความรู้ที่ได้จากการเฝ้าดูสิ่งที่คนเหล่านั้นถกเถียงกันในแต่ละวิชา การพิจารณาข้อความที่ถูกทิ้งไว้บนจอโปรเจ็กเตอร์ในห้องเรียน ตลอดจนการละเลียดอ่านข้อมูลทางวิชาการ งานวรรณกรรม และอะไรอื่นๆ อีกร้อยแปดพันอย่างจากหนังสือที่ผมต้องฝังไมโครชิปไว้ในนั้น วิชาการในโลกเราห้าสิบหกสิบปีมานี้ได้รับการพัฒนาไปมากมาย แต่สัมพันธภาพบางๆ ระหว่างกันกลับดูไม่พัฒนานัก ผมยังคงโดนดูถูกเหยียดหยาม ยังโดนด่าทอและชี้นิ้วสั่งอย่างวางอำนาจ เช่นที่เคยเป็นมา

ศาลาแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนสงบจิตสงบใจของผมเพียงแห่งเดียว ผมใช้มันเป็นป้อมปราการสำหรับสอดส่องความเป็นไปในสังคมเบื้องล่าง ห่างไปทางขวาของศาลาปรากฏป้ายพุทธวจนะหินอ่อนขนาดมโหฬารตั้งตระหง่านให้เห็นเด่นชัดต่อทุกสายตา

อย่าได้ถือโดยฟังตามๆ กันมา

อย่าได้ถือโดยลำดับสืบๆ กันมา

อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินว่าอย่างนี้ๆ

อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา

อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา

อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน

อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ

อย่าได้ถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับลัทธิของตน

อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้

อย่าได้ถือโดยความนับถือว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา

เอาละ ตอนนี้ผมคิดว่าห้องเรียน 1203 คงเลิกแล้ว ผมเริ่มพร่ำบ่นเรื่องต่างๆ ให้คุณฟังตอน 09:30 น. นี่ผมก็บ่นมาเกือบสิบนาทีแล้ว หากรวมเวลาเดินกว่าจะถึงห้อง 1203 ก็คงเป็นเวลาเลิกเรียน 10:00 น. พอดี เช้านี้คงเป็นวิชาของ ศ.ดร.วิทย์ นักวิชาการดาวโรจน์ผู้ได้ตำแหน่งศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุยังไม่เต็มสี่สิบ จากจุดนี้ผมสามารถลงลิฟต์ไปชั้น 12 ได้เลย ห้องเรียน 1203 อยู่ที่ชั้นนี้ แต่ผมก็ชอบออกจากลิฟต์ที่ชั้น 13 มากกว่า เพราะกิจกรรมอันเร้าใจในชั้น 13 นั้นมักตรึงให้ผมต้องจมอยู่กับมันเป็นเวลานานในยามว่าง ส่วนเวลาที่มีไม่มากนัก เช่นก่อนเข้าไปเก็บกวาดห้องเรียนอย่างนี้ ผมก็ต้องการเพียงแค่เดินผ่านและเหลือบมองอาการเปี่ยมสุขของบรรดานักศึกษาที่เข้ามาตักตวงเอาจากกิจกรรมโดยรอบบริเวณ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่นาทีก็ยังดีกว่าไม่มีเสียเลย

ตอนนี้ผมออกจากลิฟต์ลงมาโผล่อยู่ชั้น 13 แล้วละครับ ที่นี่เป็นศูนย์รวมความบันเทิงครบวงจรของมหาวิทยาลัย หรือที่เรียกว่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มีทั้งร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ผับ เธค คาราโอเกะ บาร์โอโซน ร้านเกม ตู้แทงหวยออนไลน์ พนันบอล พนันม้า พนันมวย ปาจิงโกะ ร้านอินเตอร์เน็ต สวนสนุก

และพระเอกยอดนิยมของงาน “โลกเสมือนจริง” (Virtual Reality World) หรือที่เด็กนักศึกษาเรียกกันว่า “ตู้วีอาร์” หรือ “ตู้เสมือนจริง”

เจ้าตู้วีอาร์เนี่ยหลักการของมันคือการใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เข้าไปควบคุมกลไกและกระบวนการต่างๆ รวมทั้งสภาวะทางเคมีในสมอง เพื่อให้สมองคิด จินตนาการ และรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เราเรียกร้องต้องการ ทำให้เราสามารถเข้าไปโลดแล่นอยู่ในโลกแบบที่เราอยากเข้าไปผจญได้ ราวกับฝันแล้วตื่นขึ้นมา อันนี้เป็นวีอาร์ทั่วไปที่มีให้บริการมากมาย และยังมีอีกแบบหนึ่งซึ่งราคาค่าใช้บริการนั้นแพงระยับ และหาแหล่งให้บริการได้ยากกว่า แต่มีความเหมือนจริงเต็ม 100% ถามว่า แล้วเรายังรู้ตัวหรือไม่ว่าเราเล่นเกมอยู่ เรายังคงมีความทรงจำของตัวตนเดิมหรือไม่ ตอบได้ทันทีเลยว่าเมื่อเราเป็นฝ่ายคุมเกมได้ขนาดนี้นับประสาอะไรกับแค่เรื่องของความทรงจำ จะลืมหรือจำ แบบไหนคุณก็เลือกเอา ลูกค้าประเภทนี้นิยมเข้ามาสนองตัณหาตัวเองทุกรูปแบบ เพื่อให้ได้มาซึ่งประสบการณ์ที่ต้องการ ตั้งแต่เป็นปลาวาฬ เป็นต้นยูคาลิปตัส เป็นจอมทัพทะเลทราย เป็นดาราฮอลลีวู้ด หรือแม้กระทั่งการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ต้องการ กับสัตว์ หรือตามลักษณะในรสนิยมอันวิตถารพิสดารต่างๆ นานา แถมยังสามารถสร้างคน พืช สัตว์ สิ่งของ รวมไปถึงปรากฏการณ์แปลกประหลาดพิลึกพิลั่นได้มากมายไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเจ้าวีอาร์แบบนี้นอกจากมันสามารถเข้าไปควบคุมการทำงานของสมองเราได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ทีมงานผู้ให้บริการยังควบคุมและเปลี่ยนแปลงสภาวะภายนอกเพื่อกระตุ้นให้สมองมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างที่ทีมงานเขียนบทมา หรือคุณจะเขียนบทเองก่อนเล่นก็ได้

ปัญหามันอยู่ที่ว่า ถ้าเราสามารถสร้างโลกที่เหมือนจริงขนาดนั้นขึ้นมาได้แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้เราอยู่ในโลกที่เป็นความจริง “จริงๆ” หรือโลก “เสมือนจริง” กันแน่ ลำพังแค่จะแยกแยะว่า “ฝัน” หรือ “ตื่น” อยู่ก็ลำบากอยู่แล้ว ปัญหาเรื่องการแยกแยะและพิสูจน์ “ความจริง” กับ “ความฝัน” เนี่ยเป็นประเด็นให้พูดกันมาตั้งแต่สมัยเดส์การ์ต ปัญหาเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราใส่ใจกับมัน ซึ่งจะกระทบต่อนิยามของ “ความจริง” ตลอดจนปัญหาเชิงปรัชญาอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตัดสินทางศีลธรรม เรื่องเจตจำนงเสรี ฯลฯ ถ้าคุณยังไม่สามารถตอบได้ว่าความจริงที่เรารับรู้อยู่นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยตัวของมันเอง แล้วเราเข้าไปสัมผัสรับรู้เข้า (วัตถุวิสัย/ภววิสัย/ปรนัย/objective) หรือที่เราเข้าใจว่าความจริงมันเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการสัมผัสรับรู้ของเรา โดยที่แก่นแท้แล้วมันเป็นเช่นไร เราก็ไม่รู้ ไม่ใคร่แน่ใจนัก หรือไม่ก็ไม่ได้ดำรงอยู่ แต่เราก็เชื่อว่ามันอย่างนั้นจริงๆ (จิตวิสัย/อัตวิสัย/อัตนัย/subjective)

…ไม่รู้ทำไมนะ ทุกเรื่องที่เราประสบอยู่ในชีวิต ยิ่งผมขบคิดมากเท่าไร แทนที่จะเข้าใจคำตอบ มันกลับดูเหมือนว่าเรายิ่งไม่เข้าใจมันมากขึ้น บางทีก็เหมือนว่าคำตอบปรากฏเป็นกลุ่มเป็นก้อนอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่เมื่อยื่นมือออกไป มันก็ลอยละล่องห่างจากตัวเราทุกทีๆ ยิ่งไขว่คว้าเพียงใด ก็ยิ่งพบกับความว่างเปล่า สับสน งุนงง ไร้คำอธิบาย

แต่… แต่ถ้าตอนนี้มันเป็นเพียงความฝันล่ะ ฝันครั้งใดครั้งหนึ่งในบรรดาฝันซ้อนฝันทั้งหมดในค่ำคืน หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพียงเกมเกมหนึ่งในโลกวีอาร์ที่ผมกำลังเล่นอยู่ และอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผมก็จะหลุดออกไป ถ้างั้นคำตอบที่ได้จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อมัน “ไม่จริง” เกณฑ์การแยกแยะคืออะไร คุณค่าที่แท้จริงซุกซ่อนอยู่ตรงไหน เรากำลังค้นหาอะไร หรือว่าโลกและสิ่งมีชีวิตก็เป็นเพียงวงจรอะไรสักอย่างที่หมุนวน เคว้งคว้าง ไร้จุดเริ่มต้น ไร้ที่สิ้นสุด ไร้ทางออก เข้มข้นจนเหมือนจริง แต่ก็เบาโหวงดั่งภาพลวง หลับและตื่น ตื่นและหลับ เกิดและตาย ตายและเกิด เข้าสู่เกม ออกสู่เกม วนไปวนมาอย่างนี้ไม่มีสิ้นสุด แต่ทุกผู้คนก็กระเสือกกระสนต่อสู้ยิบตา หาทางเอาชนะ และใฝ่หาคุณค่าเพื่อยึดเหนี่ยว…

โอ๊ยยย ช่างมันเถอะ พูดไปก็พากันงงเปล่าๆ ใครๆ ก็ว่าผมฝันเฟื่องบ้าง บ๊องบ้าง เดี๋ยวพานจะทำให้คุณสับสนจนเป็นไปกับผมด้วย แต่ใครก็เถอะ ถ้าลองมาเจอโลกแบบผมแล้วไม่งงบ้างก็ให้มันรู้ไป ผมเองก็แอบลุ้นอยู่ในใจลึกๆ ว่าตอนนี้ผมอาจจะเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่อยากลองเล่นสนุกอยู่กับความจนซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อนเลยก็เป็นได้ ผมสั่งให้ทีมงานกดความทรงจำเก่าผมไว้ให้หมดเพื่อความสนุก พอจบเกมผมจะได้กลับไปเสวยสุขกับเขาเสียที เผลอๆ อาจจะแจกเงินคุณสักล้านสองล้านเป็นค่าเสียเวลาฟัง

ก็แหม… ใครจะอยากเกิดมาจนแหง็กแบบนี้ล่ะ สา…ธุ!

“ชิต ชิต” เสียงแหบพร่าของชายวัยกลางคนตะโกนเรียกผมมาแต่ไกล

“สวัสดีครับพี่โต” ผมทักทายกลับไป

พี่โตแกเป็นคนขับรถของวิทยาลัยยุทธศาสตร์ศึกษา ผมสังเกตเห็นบางครั้งสติสัมปชัญญะแกขาดหายไป ดูแปลกประหลาด อาจเป็นไปได้ว่าติดยาเสพติดบางอย่างที่หลอนประสาท

“เห็นอาจารย์วิทย์มั้ย”

“อ๋อ… ผมกำลังไปเก็บห้องเรียนของแกพอดีครับ วันนี้แกสอนอยู่ห้อง 1203 ป่านนี้คงเลิกแล้ว”

“เลขาฯ ภาควิชาบอกผมว่าให้มารับแกไปประชุม”

“เหรอครับ พี่เดินไปกับผมก็ได้ ห้องเดียวกัน”

“ขอบคุณนะ แต่พี่คอแห้ง เดี๋ยวพี่ไปหาน้ำกินสักหน่อย แล้วเจอกันนะ”

สิ้นเสียงที่พูดจบ พี่โตก็เดินโขยกเขยกหายเข้าไปในซอกตึก ผมหันหลังกลับและเดินลงสู่บันไดต๊อกๆๆ… “ประตูไม้สีน้ำตาลอ่อน” ลูกบิดประตูวางอยู่ตรงกลางค่อนไปทางขวา ข้างบนมีป้ายอะลูมิเนียมเป็นมันวาวติดอยู่เขียนว่า “1203” กรอบประตูสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ว่าปรากฏอยู่ตรงหน้า

บัดนี้ ผมได้ยืนอยู่ที่นี่แล้ว?