เรื่องสั้น | เราคือเอ็กซ์ในอินฟินิตี้ (1)

ในขณะที่บนดาวโลกเป็นปี ค.ศ.2039 นั้น ณ ที่ห่างออกจากโลกไปแสนไกล กลางเวิ้งอวกาศ บริเวณแนววงโคจรรอบดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์

มีสิ่งหนึ่งลอยเคว้งคว้างสะท้อนแสงวูบวับกับแสงจากดวงอาทิตย์ ดูเหมือนจะล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย แต่สิ่งนั้นคือชีวิต ชีวิตที่ยังมีความรู้สึกนึกคิดได้ สิ่งนั้นคือมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งในชุดมนุษย์อวกาศ

เขาคือชายหนุ่มวัย 28 ปี ชาวอเมริกัน เป็นหนึ่งในคณะมนุษย์อวกาศของยานไททันโคลสเซอร์ ที่มีภารกิจโคจรสำรวจรอบดวงจันทร์ไททัน

เขาหันมองกลับไปที่โลก ดาวโลกที่เขาจากมา เขาไม่แน่ใจหรอกว่า กลางความเวิ้งว้างแสนไกลนั่น ดาวโลกอยู่ตรงไหน แต่จอภาพดิจิตอลที่เคลือบอยู่บนกระจกหน้าของหมวกชุดอวกาศ มันระบุพิกัดระยะห่างเป็นตัวเลขและจุดตำแหน่งให้เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าดาวโลกอยู่ตรงนั้น จุดเล็กๆ สว่างริบหรี่แทบมองไม่เห็น นั่นคือดาวโลก

ถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยังพบว่าตนเองยังไม่ตาย สติสัมปชัญญะที่เคยจวนเจียนจะวูบดับนั้นก็วาบฟื้นขึ้นมาพ้นจากความเลอะเลือนมาได้เล็กน้อย แล้วเมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมา เขานึกย้อนวูบมาเหตุใดเขาจึงอยู่ในสภาพนี้ ในที่แห่งนี้ ในเวลานี้

สิ่งที่ทำให้เขาต้องล่องลอยรอความตายในขณะนี้ก็เพราะก่อนหน้านี้ราว 10 นาที ขณะที่เขากำลังไต่ลำตัวยานเพื่อกลับเข้าประตูยาน หลังจากออกมาซ่อมแซมแผ่นรับพลังงานแสงอาทิตย์ของยานจนเสร็จ ก้อนอุกกาบาตเล็กๆ สามก้อน ขนาดคงเท่ากับปลายนิ้วก้อยของทารก พุ่งชนเขา

ก้อนอุกกาบาตเล็กๆ สามก้อนนั้น แม้ขนาดมันจะเล็กจิ๋ว แต่ความรุนแรงจากความเร็วของมันนั้นมากมหันต์ ลูกแรกพุ่งลอยมาตัดสายโยงระหว่างตัวเขากับยานอวกาศ อีกลูกพุ่งชนเครื่องขับเคลื่อนไอพ่นขนาดเล็กที่ติดอยู่ข้างหลังชุดมนุษย์อวกาศ ทำให้เขาไม่สามารถใช้งานการขับเคลื่อนบังคับทิศทางในการลอยตัวกลางอวกาศได้อีกต่อไป ส่วนลูกสุดท้ายนั้นทำเขาสาหัสที่สุดเพราะมันพุ่งทะลุชุดอวกาศเป็นรูเล็กๆ ทางด้านหลัง แล้วทะลุออกทางด้านหน้า มันทะลุร่างของเขา นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น

อุกกาบาตจิ๋วที่พุ่งชนเครื่องหลังของเขา ทำให้ตัวเขาลอยกระเด็นไกลออกห่างจากยานมาหลายกิโลเมตร เขาติดต่อสื่อสารกับเพื่อนในยานไม่ได้ รวมทั้งการสื่อสารจากศูนย์บังคับการที่โลกก็ขัดข้องไปด้วย เวลานี้เท่ากับว่าเขากำลังรอคอยความตายอยู่ในความเงียบงัน

เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างที่ยังได้เห็นดวงดาวบ้านเกิดอยู่ในสายตา แต่อีกใจหนึ่งก็แทรกขึ้นมาด้วยความเศร้าอย่างอยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบเปรย เขาจะไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกแล้ว เขาจะไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้กลับไปหาใครต่อใครที่เขาผูกพัน

แล้วภาพตั้งแต่วัยเด็กน้อยก็ผุดพรายวูบขึ้นในห้วงคำนึงของเขาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วัยเด็กจนเติบโตเป็นวัยรุ่น จนเติบใหญ่เป็นหนุ่มเต็มตัว ภาพของพ่อ-แม่ พี่ชายและน้องสาว เพื่อนๆ ตั้งแต่เขายังเป็นเด็กน้อย กลุ่มเพื่อนคะนองสมัยวัยรุ่น เพื่อนพ้องห่ามๆ ร่วมก๊วนสมัยอยู่มหาวิทยาลัย เพื่อนร่วมงานที่เขาเคารพนับถือ จนมาถึงภาพของคนรักของเขา แซนดี้ ภาพความทรงจำที่เขาและเธอเดินเล่นกันบนถนนเล็กๆ พื้นโรยกรวดสีน้ำตาลอ่อน ถนนแถวละแวกบ้านของเธอ เขามาร่ำลาเธอเพื่อมาปฏิบัติภารกิจยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เธอกอดเขา พร่ำพูดระคนเสียงสะอื้น ใบหน้าชุ่มน้ำตา เขาปลอบประโลม จูบเธอแผ่วเบาทั่วใบหน้า เธอหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งมาจากชุดเอี๊ยมยีนส์ที่สวมทับเสื้อยืดมอมแมมที่เธอมักใส่ทำสวน เธอยื่นมันมาตรงหน้าเขา พูดปนเสียงสะอื้น

“มันเป็นก้อนหินนำโชค ก้อนหินนี้จะทำให้เธอปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง มันเคยช่วยให้ปู่ทวดของฉันรอดตายอย่างปาฏิหาริย์สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนที่ปู่ทวดเป็นทหารอเมริกันกลุ่มแรกๆ ที่เข้าปารีสไปช่วยกลุ่มใต้ดินฝรั่งเศสขับไล่พวกทหารนาซีออกไป”

ตั้งแต่วันนั้นเขาก็เก็บก้อนหินของเธอไว้ไม่ห่างกาย ขึ้นมาสู่อวกาศครั้งนี้เขาก็เอามันติดตัวมาด้วยตลอดเวลา เมื่อคิดถึงมันในตอนนี้ ชายหนุ่มก็รูดซิปกระเป๋าเก็บสัมภาระของชุดอวกาศและหยิบเอาก้อนหินออกมา เขากำลังกลืนจมไปกับภาพความทรงจำในห้วงคิดนั้นนั่นเอง เขาเอามันขึ้นมาดูด้วยสายตาพร่าพรายในสติที่คล้ายจะเลือนไหล ก้อนหินที่มีรอยกรีดลึกรูปกากบาท คล้ายตัวเอ็กซ์ ก้อนหินนี้เหมือนเป็นสิ่งต่างหน้าคนรักของเขา เขามองก้อนหินเพื่อจะร่ำลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย

“ก้อนหินนำโชคเหรอ แซนดี้ ผมรู้ว่าคุณห่วงใยผม คุณจึงให้ก้อนหินนี้มา ผมรักคุณ แซนดี้ เป็นโชคดีที่ผมรักคุณ” เขากระซิบ

เขาเพ่งมองก้อนหิน สงสัยว่ากากบาทหมายถึงอะไรนะ มันคือเครื่องหมาย บวก, คูณ, หรือว่าเอ็กซ์ เอ็กซ์คือตัวแปรที่จะมีค่าเป็นอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้เขาขอให้ความหมายว่ามันคือ “รัก”

และเมื่อนึกทบทวนมาได้ถึงสิ่งที่เป็นมาและเป็นไป เขาก็ตระหนักได้รางๆ อีกครั้งเหมือนเน้นย้ำกับตนเองว่า ตัวเขากำลังจะตายในเวลาอันใกล้นี้แล้ว ก่อนที่จะหมดสติและสิ้นชีพไปในกลางอวกาศ สติของเขาเลื่อนไหลไปมาวูบวาบจำต้นชนปลายไม่ได้

ตอนนั้นเองที่เขาเห็นสิ่งแปลกประหลาด ลอยเลื่อนเข้าในคลองสายตาที่พร่าเลือน

ไม่ห่างไกลนัก มีกลุ่มก๊าซมีควันพวยพุ่งโดยรอบ กลุ่มก๊าซนั้นมีลักษณะรูปร่างคล้ายมนุษย์ ลอยเข้ามาหา จิตใจของเขาคิดอย่างเลื่อนลอยไปว่าเทวดากำลังมารับวิญญาณแล้ว ร่างกลุ่มก๊าซควันพวยพุ่งนั้นตรงมาฉวยก้อนหินจากมือ

แล้วชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงในห้วงสำนึก เหมือนเสียงพูดนั้นดังอยู่ในจิตใจ

“ฉันผ่านมาทางนี้อีกครั้ง ไม่คิดว่าจะได้พบสิ่งที่ฉันเคยทำฝากไว้ให้ที่ดาวสีฟ้า พวกเธอเติบโตขึ้นมาก จนมาไกลถึงตรงนี้ได้ เธอสงสัยหรือว่า ฉันทำเครื่องหมายใดไว้ เครื่องหมายนี้ ในภาษาของฉัน หมายความว่าสัจจะ พวกเธอค้นพบสัจจะหรือยัง”

จนเสียงพูดนั้นจบลง ทว่าชายหนุ่มจากโลกไม่ได้รับรู้ถึงถ้อยคำใดเลย เขาเหมือนกับได้ยินในใจว่ามันเป็นเสียงพูดเท่านั้น แต่ใจที่กำลังเลื่อนลอยนั้นก็ไม่ได้รับรู้ว่าถ้อยคำนั้นกล่าวว่าอย่างไร บ่งถึงความหมายใด

แล้วร่างกลุ่มก๊าซควันพุ่งพวยนั้น ทำท่าเหมือนบีบก้อนหินที่เพิ่งฉวยจากมือเขาไป ฉับพลันนั้น ก้อนหินที่มีรอยสลักเป็นรูปตัวเอ็กซ์ก็ป่นสลายเป็นผุยผง ลอยเคว้งเป็นฝอยธุลีฟุ้งกระจายอยู่ในห้วงอวกาศตรงนั้น แล้วร่างกลุ่มก๊าซควันพวยพุ่งนั้นก็ยกส่วนที่ดูเหมือนเป็นแขนของตนขึ้นมาแล้วเอื้อมทะลุผ่านกรอบกระจกหน้าของหมวกชุดอวกาศที่ชายหนุ่มสวมอยู่ โดยที่กระจกหน้านั้นก็ไม่ได้แตกทะลุแต่อย่างใด ชายหนุ่มเห็นสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นคาตา ในแบบที่เห็นใกล้ชิดแทบจะห่างลูกตาไม่ถึงสองนิ้วด้วยซ้ำ

เพราะว่าร่างกายกำลังจะสิ้นเรี่ยวแรง และเขากำลังจวนจะสิ้นสติอยู่ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งก็ได้ ความพิศวงใจของเขาจึงถูกสติสัมปชัญญะที่เจียนจะวูบดับริบหรี่นั้น แปรไปว่าเขากำลังเห็นภาพหลอนจากภาวะใกล้ตาย

จากนั้น มือที่เป็นกลุ่มควันซึ่งทะลุกระจกของหมวกชุดอวกาศ ก็รวบใบหน้าของชายหนุ่มทั้งหน้า หนุ่มอเมริกันที่เจียนใกล้ตายมีความรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงให้หลุดออกมาจากชุดอวกาศ แล้วก็เป็นไปอย่างนั้นจริงๆ

เพราะเขารู้สึกดั่งกับว่าร่างกายของเขาทั้งร่าง เป็นคล้ายวัตถุอ่อนนิ่มปวกเปียกกำลังถูกดึงลากผ่านช่องกรอบกระจกหมวก ออกมาจนพ้นจากชุดมนุษย์อวกาศ!

ชายหนุ่มจากดาวโลก ร่างเปลือยเปล่า ลอยคว้างอยู่กลางอวกาศ มือข้างขวาของชายหนุ่มถูกกุมไว้ด้วยมือข้างซ้ายของร่างที่เป็นกลุ่มควันพวยพุ่งนั้น

บัดนี้เขากลับรู้สึกตื่นตัวเพิ่มขึ้นทีละน้อย บาดแผลจากอุกกาบาตซึ่งชนทะลุผ่านชุดอวกาศแล้วทะลุผ่านร่างกายของเขาไป ที่เขาคิดว่ามันต้องมีแผลทะลุเหวอะหวะอยู่ที่กลางหลังและที่หน้าท้องนั้น เขาก้มมองก็ไม่ปรากฏว่ามีร่องรอยใดเลยสักนิด และเรื่องมหัศจรรย์อีกประการหนึ่งนั่นคือ การอยู่กลางอวกาศโดยไม่ได้สวมชุดมนุษย์อวกาศนั้นไม่ได้ทำให้ร่างกายของเขาต้องหนาวเย็นจนแข็งตายแตกหักกรอบเป็นเศษเสี้ยวกระจัดกระจายไปอย่างที่มันควรจะต้องเป็นไปแต่อย่างใดเลย

ในท่ามกลางความคิดที่คล้ายจะสงบนิ่งของตนเองจนน่าแปลกใจ ชายหนุ่มตัดสินใจจะสื่อสารกับร่างประหลาดตรงหน้า เขาถามออกไป “คุณเป็นใคร”

“ฉันคือชีวิต เหมือนกับเธอที่เป็นชีวิต” เสียงตอบดังขึ้นอีกครั้งในใจของชายหนุ่ม

“เราเหมือนกันหรือ ผมไม่เห็นว่าเราเหมือนกันเลยนะ” ชายหนุ่มเริ่มกลับมาคิดว่านี่คือภาพหลอนในภาวะใกล้ตาย

“เราเหมือนกัน ถ้าจะกล่าวด้วยนิยามแบบภาษาของพวกเธอ เราก็คือเอ็กซ์ในอินฟินิตี้” ร่างประหลาดส่งถ้อยคำมาดังขึ้นในใจของชายหนุ่มอีกครา

“ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด ถึงแม้นั่นจะเป็นคำอธิบายด้วยนิยามในแบบชาวโลก” ชายหนุ่มชาวโลกพยายามหาความกระจ่างให้ตนเองต่อไป แม้เขายังไม่แน่ใจว่ากำลังสื่อสารกับสิ่งที่มีตัวตนจริงๆ หรือว่ากำลังพูดกับจิตใจของตนเองที่กำลังเลอะเลือน

“ท่ามกลางกาลาจักรอันกว้างใหญ่ไกลโพ้น ราตรีกาลเป็นสภาพนิจนิรันดร ดวงตะวันทั้งหลายในเอกภพนั้นแค่สิ่งชั่วคราว เราทั้งหลายก็เพียงเปลี่ยนแปรไปครั้งแล้วครั้งเล่า” เสียงพูดดังขึ้นในใจชายหนุ่มอีกครั้ง ในขณะที่มือของชายหนุ่มยังถูกเกาะกุมไว้ด้วยส่วนที่คล้ายมือของร่างกลุ่มก๊าซควันพวยพุ่งซึ่งลอยนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา

“คุณต้องการจะบอกอะไรกับผม คุณต้องการอะไรจากผม” ชายหนุ่มถามอีกเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้กำลังพูดกับตนเอง

“ท่ามกลางหลุมบ่อของช่วงระยะอสงไขย ในทุกซอกหลืบของกาลเวลาชั่วนิรันดร์ เมื่อสิ่งหนึ่งถึงวาระดับสลายไป ก็เพื่อเป็นเชื้อให้อีกบางสิ่งเกิดขึ้น เราทั้งหลายอยู่ในทุกหนแห่ง เราเกิดขึ้นและเราดับสลาย แล้วเกิดขึ้นแล้วดับสลาย นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการให้เธอเข้าใจให้แจ่มชัดที่สุด” ร่างกลุ่มก๊าซควันพวยพุ่งตอบกลับมาด้วยเสียงในใจของชายหนุ่มอีกครั้ง

“อะไรทำให้เราต้องเวียนวนไปอยู่เช่นนี้ มันมีความหมายใดกับเรา” ชายหนุ่มชาวโลกเริ่มคลายความสงสัยว่าตนเองกำลังพูดกับตัวเอง และเริ่มคิดว่าร่างประหลาดตรงหน้ามีเจตจำนงบางอย่างจึงมาพบกับเขา

“เอกภพ คือที่ซึ่งพลังของสสารและข้อมูล รวมตัวกันอยู่ ข้อมูลเหล่านั้นคือพลังนามธรรมทั้งหลาย พวกเธอคือหนึ่งในการแปรเปลี่ยนพลังนามธรรมทั้งปวงให้กลายเป็นรูปธรรม” เสียงตอบกลับมาดังขึ้นในใจชายหนุ่ม และนั่นเหมือนจะเป็นคำตอบจากร่างกลุ่มก๊าซควันพวยพุ่งสำหรับคำถามของเขา

“และดาวโลก คือสถานที่ทดลองของสิ่งที่เป็นนามธรรมทั้งหลาย นามธรรมที่เรียกว่า ความดี ความชั่ว ความยุติธรรม ความไม่ยุติธรรม ความงาม ความน่าเกลียด ความพึงใจ ความไม่ชอบ ความชอบ ความรัก ความเกลียด ความอิจฉา ความหิว ความละโมบ ความใฝ่ฝัน ความหวัง และรวมถึงนามธรรมอื่นๆ ให้ออกมาเป็นรูปธรรม โดยอาศัยตัวแทนซึ่งก็คือพวกเธอเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย ทดลองดูว่าพลังนามธรรมทั้งหลายจะเป็นเช่นใดเมื่อตกอยู่ในพลังอันจริงแท้ที่เป็นธรรมชาติของเอกภพ นั่นคือการอุบัติขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป”

ชายหนุ่มนิ่งสดับรับรู้เสียงของร่างกลุ่มก๊าซควันพวยพุ่งต่อไปเรื่อยๆ เขาคอยดูว่าจะมีสิ่งใดต่อไปอีก

“เธอลองหวนคิดไปเมื่อเธออยู่ที่ดาวโลก เมื่อเธอเฝ้าดูสรรพสิ่งต่างๆ บนโลก ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในโลก บรรดาสรรพสิ่งในธรรมชาติ ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไร้ชีวิตก็ตาม ถ้าเธอพินิจให้มากพอ เธอจะรู้สึกได้และเห็นร่องรอย รวมถึงรูปแบบความเป็นไปของความมีสติปัญญาแฝงเร้นเด่นชัดอยู่ในทุกกระบวนการบรรดามีที่เกิดขึ้นในโลก ตั้งแต่แรกเริ่มของโลกเป็นต้นมา เธอจะเห็นปรีชาชาญนี้ได้เด่นชัดในกระบวนการวิวัฒนาการของเหล่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เราอาจเรียกปรากฏการณ์ต่างๆ นี้ว่าคือการเผยออกถึงการมีอยู่ของจิตปัญญาแห่งจักรวาล ทุกสิ่งมีปรีชาชาญในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต”

ชายหนุ่มหวนคิดตามไป จริงสินะ…สิ่งมีชีวิตแม้จะเล็กจิ๋วหรือถูกตีค่าว่าต่ำต้อยเพียงใด ก็ยังเผยให้เราเห็นถึงความมีสติปัญญา เขาคิดถึงเรื่องความน่าฉงนของการพรางตัวในสัตว์ต่างๆ หลายประเภทหลากพันธุ์ รวมถึงในพืชอีกหลายๆ ชนิดด้วย ทำไมสัตว์-พืชเหล่านั้นถึงรู้ว่าจะต้องพรางตัวให้แนบเนียนไปกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวมัน

เสียงของร่างกลุ่มก๊าซควันพวยพุ่งผุดขึ้นในใจของชายหนุ่มอีกครา “แต่ถึงอย่างไร ฉันได้บอกเธอไปแล้ว ฉันเหมือนเธอ เราเหมือนกัน เราคือชีวิต แม้ดับสลายไป แต่เราทั้งหลายไม่มีวันดับสูญ เรามีอยู่ตลอดกาล แม้แต่ในขณะห้วงเวลาที่เราก็ไม่รู้ว่าเรากำลังมีอยู่ นั่นเพราะถ้าเราไม่ได้เป็นตัวเอง เราก็เป็นคนอื่น เป็นสิ่งอื่น มันก็มีเพียงเท่านี้แหละ เราแผ่กระจาย เราแทรกซึมไปทั่ว เราแปรสภาพ เราเป็นทุกสิ่ง ดังที่ฉันบอกเธอไปแล้ว ถ้าจะกล่าวในแบบภาษาของเธอ ก็คงกล่าวได้ว่า เราก็คือเอ็กซ์ในอินฟินิตี้”

“เราก็คือเอ็กซ์ในอินฟินิตี้” ชายหนุ่มพูดในใจทวนสิ่งที่ได้ยินในใจ

“ใช่แล้ว เราทั้งหมด เพราะเธอคือชีวิต เพราะเราคือชีวิต ชีวิตทั้งหลาย ชีวิตทุกชนิดสามารถเปลี่ยนแปลงร่างได้ เพียงแค่มีความปรารถนาที่จะปรับเปลี่ยนไปเป็นชีวิตรูปอื่น เพียงแต่ว่าการปรับเปลี่ยนแปลงร่างนั้นต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับว่าใช้เวลาการปรับเปลี่ยนแปลงร่างอยู่ที่ไหน โดยเฉพาะที่ดาวโลกนั้น ชีวิตทั้งหลายใช้เวลาปรับเปลี่ยนแปลงร่างถึงหลายล้านล้านล้านปี”