เรื่องสั้น | เพศแปลง

เพื่อนนักเรียนเก่าสมัยนุ่งกางเกงขาสั้นตั้งแต่มัธยมต้นยันมัธยมปลาย บางคนยังไปเรียนร่วมอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัย นุ่งกางเกงขายาว ผ่านเกษียณราชการ และพ้นจากงานเอกชนมา 5-6 ปี บ้างเพิ่งมีเวลาพักจากการงานของตัวเอง

ทั้งหมดรวมแล้วกว่า 10 คน มีนิวาสสถานละแวกฝั่งธนฯ ใกล้โรงเรียนเดิม อีกสองสามคน ออกจากครอบครัวเดิมมามีบ้านอยู่ฝั่งกรุงเทพมหานคร แต่ยังไปบ้านเดิมเป็นครั้งคราว

หลังไม่ต้องไปทำงานทั้งข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างเอกชน มีตำแหน่งยศถาตามแต่การเจริญเติบโตของแต่ละคน เมื่อกลับมาถึงบ้าน ทุกคนต่างคือเพื่อน เรียกมึงพูดกู ลูกๆ ต่างเรียกอาเรียกลุงตามอายุ ไม่ยักกะมีใครเรียกน้าสักคน เพราะทุกคนเป็นเพื่อนผู้ชายทั้งนั้น

แหล่งชุมนุมของเพื่อนแต่ละคน เมื่อสมัยสำเร็จปริญญาตรี ยังอายุอานามกำลังหนุ่มแน่น แต่ละคนต่างมีเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน บางคนมาสนิทกันทีหลังด้วยแข่งกีฬาร่วมกันบ้าง เพื่อนแนะนำให้รู้จักบ้างต่างคนต่างไป จะมาพบกันทีหนึ่งก็โน่นวันชุมนุมนักเรียนเก่าของโรงเรียน เมื่อแต่ละคนเริ่มมีฐานะทางการงานทางการเงินบ้างแล้ว

ที่ยังเหนียวแน่นคบกันมาจนพ้นเกษียณ และยังมีมากคนแทบทุกวันนี้ ด้วยเงื่อนไขที่วางไว้ตั้งแต่ต้น จากเหตุบางคนมีรายได้ไม่มากนัก บางคนมีแต่พอประมาณ เป็นมนุษย์เงินเดือน ผิดกับบางคนมีทั้งเงิน ตำแหน่ง และค่าตอบแทน ทั้งบางคนมีกิจการของตัวเอง เป็นเรื่องของอัตราค่าร่วมงาน ด้วยการ “หารตามจำนวนคนที่มา ใครมีมากจ่ายมาก ใครมีน้อยจ่ายน้อย ใครไม่มีไม่ต้องจ่าย”

หมายถึงมีกำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มแรกว่าคนละร้อย กระทั่งค่าเงินถดถอยลง ค่าครองชีพ ค่าอาหารการกินเพิ่มขึ้น จึงเพิ่มปีละร้อยสองร้อย ส่วนค่าเหล้าใครมีหิ้วมาเองก็ดี ใครดื่มเบียร์จะจ่ายเองหรือให้กองกลางจ่ายเป็นตามอัธยาทรัพย์และอัธยาศัย เพราะเหตุบางคนไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บางคนดื่มเป็นประจำ และมาก ทั้งยังไปต่อ เป็นเงื่อนไขที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ใครมีฐานะทางการเงินดีและไม่ “เหนียว” พร้อมจะจ่าย “ที่เหลือ – กูเอง” แล้วแต่ว่า วันนั้นใครอยู่ หรืออยู่กันหลายคน ต่างเฉลี่ยส่วนที่เหลือกันเองตามแต่ใครจะ “ควัก” ก่อน ไม่มีการเกี่ยงกัน งวดนี้เป็นคนนี้ งวดหน้าเป็นอีกคน ห้วงหลังเพื่อนสองคนจ่ายไว้ครั้งละ 2,000 บาท

ส่วนที่เหลือเก็บสมทบไว้เป็นค่าใช้จ่ายอย่างอื่นตามกติกา เช่นหรีดและเงินช่วยงานศพพ่อ-แม่ เมีย หรือ “ไอ้คนนั้น” ที่ตายเร็ว เป็นอย่างนี้ถึงทุกวันนี้

งานที่ต้องมาพบกันปีหนึ่ง 2-3 ครั้ง เป็นวันชุมนุมนักเรียนเก่าของโรงเรียนปีละครั้ง กับอีก 2 ครั้ง คือ นัดวันไหว้ครูที่เคยสอนสั่งในรุ่นของตัวเอง กับวันนัดทำบุญให้เพื่อนร่วมรุ่นที่ล่วงลับไปแม้เพิ่งเพียงไม่กี่คน ทั้งยังไม่นับที่พบกันตามงานแต่งงานของลูกสาวลูกชาย งานศพของพ่อ-แม่ งานบวชของลูกชายเพื่อน

รวมแล้วบางคนพบกันบ่อยด้วยเหตุดังกล่าว กับบางคนเพราะสนิทกันตั้งแต่ยังนุ่งขาสั้น แถมยังไปเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกันเสียอีก บางคนคล้ายกับว่ามีธุรกิจร่วมกัน และบางคนเป็นทนายความช่วยว่าความให้เพื่อน แนะนำข้อกฎหมายอยู่ทุกบ่อย ค่าใช้จ่าย “เป็นไปตามจ่ายจริง” หรือ “แล้วแต่มึงจะให้” หมายถึงตามอัตรากำหนด หรือกับที่เป็นหมอออกลูก-สูตินรีแพทย์ เพื่อนที่เจ้าชู้ดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

ก่อนเกษียณ เพื่อนที่อยู่ละแวกบ้านใกล้โรงเรียนเก่า มักนัดพบกันที่ร้านกาแฟเจ๊กฮงหน้าวัดใกล้บ้านใกล้โรงเรียนที่เคยนัดพบกัน “ดวด” กันคนละแก้วสองแก้วเย็นวันที่มีงานชุมนุมนักเรียนเก่า ใครมาก่อนสั่ง “อะไร” มาขวดหนึ่งก่อนแล้วร้องเพลงรอ ก่อนเดินเป็นขบวนเข้าไปในโรงเรียน ใครที่มาช้ากว่าเวลานัดก็เดินเข้า หรือขับรถเข้าไปเอง ลงทะเบียนเสร็จ เดินหาโต๊ะก่อนที่จะร่วมวงสรวลเสเฮฮาตามปกติอย่างเคย

บางคนพบเพื่อนที่เรียนชั้นใกล้เคียงกัน บ้างเรียนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน บ้างทำงานที่เดียวกัน ต่างแวะไปทักทาย ไปไหว้ครูอาจารย์บางท่านที่เคยสอนชั้นนั้นห้องนี้ แล้วกลับมานั่งที่เดิมเฮฮากันต่อ ท่ามกลางเสียงดนตรี เฮฮาระงมไปหมด ใครที่ไปนั่งโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ ไม่กลับมาที่เดิมก็ตามใจ

ใกล้เลิกงาน ต่างคนต่างกลับ หรือต่างคนต่างชวนกันไป “ต่อ” ร้านข้าวต้มอีกกั๊กอีกแบน หรือแหล่งบันเทิงตามใจใคร ไม่ว่ากันอยู่แล้ว ส่วนใครที่ไม่ค่อยมีสถานภาพพอจ่าย แต่อยากไปกับเขาก็ขอติดสอยห้อยตามไปกับเพื่อนที่ชวน เป็นเรื่องของแต่ละคน

ซ้ำบางคนแล้วไม่รู้จักแล้ว ต้องให้กลับไปส่งบ้านด้วย เป็นธรรมดาของเพื่อนคนนั้น

ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ใช่จะผ่านไปแต่กาลเวลาเท่านั้น อายุที่เพิ่มขึ้น เป็นเหตุสำคัญให้สังขารทั้งภายนอกและภายในของหลายคนชำรุดไปตามกาลเวลา เรื่องขาหักแขนหัก หัวร้างข้างแตกเมื่อครั้งเรียนทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัย หรือเมื่อสำเร็จมาใหม่ๆ เพราะเตะฟุตบอลแข่งกีฬาที่ชอบเป็นเรื่องปกติ

เช่นเดียวกับถูกคนร้ายยิงทะลุปอดของเพื่อนตำรวจ เดินไปเหยียบกับระเบิดของเพื่อนทหาร ต้องใส่ขาเทียมเดินไม่ปกติมาพบเพื่อน เป็นเรื่องธรรมดาไม่มีใครรังเกียจ มีแต่ถามไถ่แทบว่าทุกครั้งที่พบกันถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น กลายเป็นเรื่องสนุกสนาน ล้อเลียนว่า ตอนนั้นหลวงพ่อไม่ได้อยู่กับตัวมึงหรือไง หรือว่าแขวนท่านหลายองค์ท่านเกี่ยงกันช่วยมากกว่า เป็นหยั่งงั้นไป

บางคนบ่นว่าหัวเข่าเจ็บ เดินไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก เพื่อนเย้าว่าอย่าใช้เข่าให้มากนักสิโว้ย เพื่อนรีบปฏิเสธพัลวัน เป็นกี่ข้าง เพื่อนอีกคนถาม เพื่อนพาซื่อตอบทีแรกเป็นข้างซ้ายก่อนเกือบปี แล้วเพิ่งมาเป็นข้างขวาเมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง

เพื่อนที่ถามหัวร่อเบาๆ บอก มันก็แปลกดีว่ะ เข่าสองข้างเกิดมาพร้อมกัน แต่เจ็บไม่พร้อมกัน เพื่อนที่เข่าเจ็บ เผยอปากออกเสียงว่า “ห่า…ก็มันเป็นของมันเอง”

ยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นว่า ทุกเช้าวันอาทิตย์ เพื่อนละแวกโรงเรียน ตื่นเช้าไม่ได้ไปไหน เป็นธรรมดาของ สว.ผู้สูงวัย ที่บ้านแม่บ้านจัดอาหารให้ “ผู้สูงอายุ” คนนั้นวันธรรมดา ดูแลตั้งแต่ตื่นนอนถึงเข้านอน จะว่าเข้ามุ้งนอนเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้ เพราะทุกวันนี้นอกจากติดมุ้งลวด ยังติดแอร์คอนดิชั่นทั้งปี ไม่ว่าร้อนไม่ว่าหนาว “มันชินเสียแล้ว”

เพื่อนที่นอนห้องแอร์ ขึ้นรถยนต์ติดแอร์ไปทำงาน เข้าตึกติดแอร์ ทำงานในห้องแอร์ รับประทานอาหารในห้องอาหารติดแอร์ ประชุมห้องแอร์ ไปร่วมงานเย็นงานกลางคืนในโรงแรมติดแอร์ เข้าห้องน้ำไปปัสสาวะห้องแอร์ กลับบ้านขึ้นรถติดแอร์ ถึงบ้าน ลงจากรถ เดินเข้าบ้าน ยังไม่ทันได้อากาศจากภายนอก ผ่านประตูห้องติดแอร์ เข้าห้องน้ำ อาบน้ำยังเป็นห้องแอร์ แต่อาบน้ำอุ่น…

เฮ้อ – แล้วจะไม่ให้มันชินได้ยังไง

มีแต่เช้าวันอาทิตย์ที่ออกมาดื่มกาแฟ กินปาท่องโก๋ ข้าวเหนียวสังขยาห่อละแปดบาท คุยกับเพื่อนร่วมรุ่นอายุ รุ่นโรงเรียนเดียวกันสองสามชั่วโมงเช้าที่รับอากาศร้อนตามธรรมชาติกับพัดลมเพดานพัดหึ่งๆ ก่อนขึ้นรถติดแอร์กลับเข้าบ้านติดแอร์ทั้งวัน

เพื่อนสองสามคนยังแข็งแรง บ้านอยู่ในสวนหลังวัด ไม่ดื่มทั้งเหล้าทั้งเบียร์ จะมีบ้างก็ในงานเลี้ยงเพียงเบียร์แก้วเดียว เดี๋ยวนี้หันมาขอดื่มไวน์สองแก้ว แล้วหน้าแดงเป็นผลตำลึงสุก เริ่มพูดคุยสนุกสนาน อีกคนออกกำลังกายทุกวัน วันละชั่วโมง “ไม่งั้นไม่ไหวว่ะ ทั้งนอนดึกทั้งดื่ม และทั้ง…” เพื่อนละไว้ในฐานที่เข้าใจ

ยังบอกว่าเมื่อปีก่อนเพิ่งไปผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังข้อที่ห้าปลิ้นมาชนเส้นประสาท “ปวดเจ็บขาทั้งสองข้างลงไปถึงปลายตีน ยืนแทบไม่ไหวเชียวมึง ต้องผ่าตัดแล้วนอนที่โรงพยาบาลตั้งเดือนกว่า…” เพื่อนบอกแล้วเพิ่งนึกได้ “พวกมึงยังไปเยี่ยมกันนี่หว่า”

ใครบางคนไม่ค่อยได้ไปพบเพื่อน เพราะบ้านอยู่ไกลถึงบางกะปิ สองสามสัปดาห์จึงตื่นเช้าไปร่วมสักครั้ง วันก่อนได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนว่า เพื่อนที่เป็นเซลส์ขายยา และเป็นผู้ริเริ่มนัดพบเพื่อนในวันปลายเดือนกลับจากต่างจังหวัด “สักมื้อ กูเลี้ยงเอง…เฉพาะค่าอาหารนะโว้ย เหล้าเบียร์ไม่เกี่ยว ใครแดกจ่ายเอง”

เพื่อนคนนี้ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่ชอบคุย ห้าปีก่อนเกษียณจากเซลส์มีเพื่อนเป็นนายทหารใหญ่ที่นครราชสีมา ทุกครั้งที่กลับจากจังหวัดภาคอีสาน ต้องแวะผ่านโคราช นัดพบเพื่อนนายพล ไม่ห้องอาหารในโรงแรม ก็ห้องอาหารขนาดใหญ่ ไม่มีอะไรมาก นอกจากนั่งคุย

ต่างคนต่างมีเครื่องดื่มอัดลมกันคนละขวด เพื่อนที่เป็นนายทหารคือน้ำดำ คนที่เป็นเซลส์ขายยาน้ำหวานอัดลมสีใส คุยกันตั้งแต่กินข้าวเที่ยง ยันทุ่มเศษ เพื่อนเซลส์ขายยาจึงขอแยกย้ายขับรถกลับบ้านกรุงเทพฯ

รุ่งเช้าเป็นวันอาทิตย์ ยังขยันมาพบเพื่อนใกล้โรงเรียนที่ร้านกาแฟเจ๊กฮง เป็นเสมือนหนึ่งสภากาแฟ คุยกันสัพเพเหระไม่ว่าเรื่องการเมือง เรื่องการบ้าน เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องเพื่อนคนโน้นคนนี้ไปที่นั่นที่นี่ อีกสองเดือนลูกสาวไอ้จิ๋วจะแต่งงาน แล้ววกถึงเรื่องไอ้คนนั้นเป็นนิ่วในถุงน้ำดี เพิ่งผ่าตัดเสร็จออกจากโรงหมอเมื่อวานนี้เอง

วันไหนเพื่อนหมอไม่ติดทำคลอดเช้าวันนั้นมาร่วมสภากาแฟด้วย เป็นได้พูดคุยหาความรู้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บแทบตลอดสายวันอาทิตย์นั้น จนแยกกันกลับ บางคนแถมนัดคุยต่อเรื่องโรคเบาหวานของตัวเองอีกด้วย

ว่าถึงคุยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ชายสูงวัยเกินกว่า 65 ปีแล้วทั้งนั้น จะเกินเท่าไหร่ รุ่นนี้เป็นรุ่นเบบี้บูม อายุอานามถี่ห่างไม่เหมือนรุ่นหลังที่เข้าโรงเรียนแทบว่าอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เพื่อนรุ่นนี้จึงมีที่อายุสูงสุดเกินกว่า 6 รอบ คือ 72 ปีไป 2 ปีคนหนึ่ง แล้วลดหลั่นลงมาเข้าเรียนหลังเกณฑ์ 7 ขวบ ไล่ตั้งแต่ 70 เท่ากันสองสามคน 69 ลงมาถึงต่ำสุด 65 หลายคนที่เข้าเรียนอายุตามเกณฑ์ 2 คนที่เด็กกว่าเพื่อน ด้วยเหตุเข้าเรียนก่อนครบเกณฑ์ ทั้งหลายคนไม่ได้เรียนอนุบาล เข้าชั้น ป.มูล แล้วขึ้นประถมปีที่ 1 เลย

โรคภัยไข้เจ็บของผู้สูงวัย เห็นจะมีสองสามโรคที่ประจำวัย เป็นเพื่อนไล่เรียงกันมาตั้งแต่เบาหวาน ความดันสูง แล้วลามไปเป็นโรคหัวใจรวมถึงเส้นเลือดตีบตัน ทั้งเส้นเลือดเข้าหัวใจ และเส้นเลือดไปเลี้ยงสมอง โดยเฉพาะเส้นเลือดฝอยในสมองแตก หรือรั่ว เป็นได้เรื่อง

บางคนต้องมียาขยายหลอดเลือดติดตัว รู้สึกเจ็บจี๊ดตรงด้านบนหัวใจแล้วรู้สึกมาถึงหัวไหล่ซ้ายลงไปตามแขน ต้องรีบอมยาใต้ลิ้นทันที จนละลายหมด

บางคนที่ไม่เคยอมยาใต้ลิ้น เมื่ออมสักพักจะเริ่มปวดหัว ไม่เป็นไร สักพักก็หาย แต่หากอาการปวดเจ็บจี๊ดที่หัวใจยังกลับมาให้อมเพิ่มอีกเม็ด หมดเม็ดที่สองแล้วยังเจ็บจี๊ดไม่หายให้อมเม็ดที่สามภายใน 5 นาที – ไม่หายให้รีบไปหาหมอที่โรงพยาบาลทันที มิฉะนั้นจะเกิดอาการใจสั่น และ “วูบ” หมดสติ ถึงหัวใจวายได้

เช่นเดียวกับปวดหัวอย่างแรง อย่ากินยาแก้ปวด ต้องรีบไปหาหมอ เพราะอาจเกิดจากเส้นเลือดฝอยในสมองแตก เป็นเหตุให้เลือดคั่ง หากอยู่คนเดียวช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อาจถึงเสียชีวิตได้ มีผู้สูงอายุหลายคนเกิดอาการที่ว่า แล้วอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไปหาหมอไม่ทัน หรือไม่มีใครพาไปหาหมอ จนเกิดหัวใจวาย หรือเลือดออกในสมอง

เพื่อนสองสามคนเสียชีวิตด้วยเหตุนี้ เพราะอยู่คนเดียว ญาติไปพบศพตายมาสองสามวันแล้วก็มี

โรคที่คนเราไม่ค่อยระวังคือเบาหวานและความดันสูง หลายคนปล่อยให้เบาหวานสูงเกินกว่าปกติไปมาก อาจไม่ได้กินของหวานนัก แต่อินซูลินในตับอ่อนผิดปกติ

หลายโรคที่มาพร้อมกับวัยของผู้ชาย (เรื่องนี้ผู้หญิงไม่เกี่ยว) คือ “ต่อมลูกหมากโต” ปกติค่าความโต หรือ PSA ของต่อมลูกหมากจะไม่มากไปกว่า 4 แต่หากไม่ระมัดระวัง ต่อมลูกหมากอาจโตขึ้นได้เรื่อยๆ

เพื่อนคนหนึ่ง ไปผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี แทนที่จะผ่าตัดแบบ “เจาะสามรู” แต่ทิ้งไว้นานจนถุงน้ำดีอักเสบ บอกไปปวดท้องแทบตายที่ต่างจังหวัด ต้องบินกลับกรุงเทพฯ เข้าโรงพยาบาลด่วนเช้าวันนั้น หมอนัดผ่าตัดวันรุ่งขึ้น หมอบอกกับเมียที่สามีถุงน้ำดีอักเสบกะทันหันว่า ลองผ่าตัดแบบเจาะสามรูแล้วไม่ได้

“หากเจาะแบบสามรู อาจทำให้ถุงน้ำดีแตก เพราะถุงน้ำดีอักเสบมาก ทีนี้ละงานหนัก จึงขอผ่าแบบมีแผลยาวตรงหน้าท้อง” ตัวเพื่อนไม่รู้เรื่องแล้วตอนนั้น เมียจึงยอมให้ผ่าตัดเป็นแผลยาวกว่า 6 นิ้วหน้าท้องด้านขวา ออกจากห้องผ่าตัดต้องนอนพักห้อง “ไอซียู” อีกสองสามวันจึงออกมาพักห้องปกติได้

ระหว่างนั้น เพื่อนขอย้ายโรงพยาบาลไปอยู่พักโรงพยาบาลที่มีประกันสังคมไว้ หมอผ่าตัดยินดีทำเอกสารส่งตัวให้ ต้องนอนรถ “แอมมูแลนซ์” ไปเย็นอีกวัน

เพราะแผลผ่าตัดเป็นแผลใหญ่ ต้องใส่สายระบายจากท่อน้ำดีและท่อปัสสาวะ แม้ไม่เกี่ยวกัน แต่ยังลุกขึ้นไปปัสสาวะไม่ได้

ระหว่างนอนพักฟื้น เป็นห้องพิเศษ มีหมอตรวจสารพัดโรคมาดูแลสองสามคน คนหนึ่งเป็นหมอเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะและต่อมลูกหมาก แจ้งว่าต่อมลูกหมากเริ่มโตผิดปรกติ

เป็นคนไข้ประจำหลายโรคที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ออกจากพักฟื้นที่โรงพยาบาลแล้วกลับไปนอนบ้านอีกสองสามวันจนเดินได้ดีพอสมควร แต่ต้องไปหาหมอหลายหมอตามนัด ทั้งหมอประจำและหมอต่อมลูกหมาก เจาะเลือดดูค่าเบาหวานและค่าต่อมลูกหมากสองสามเดือนครั้ง

แล้ววันหนึ่งคุณหมอทางเดินปัสสาวะและต่อมลูกหมากแจ้งผลการโตผิดปกติของต่อมลูกหมากเกินไปถึง 9.6 จึงขอนัดตัด “ชิ้นเนื้อ” ต่อมลูกหมากไปตรวจหา “เนื้อร้าย” แล้วแจ้งผลว่า เป็น “แคนเซอร์ระยะแรก”

ผู้ป่วยถามว่า แล้วต้องทำอย่างไร หมอตอบน้ำเสียงปกติธรรมดา ต้องผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออก คนไข้ไม่ว่าอะไร ไหนๆ ก็ไหนๆ อายุปูนนี้แล้ว ต่อมลูกหมากคงไม่ได้ใช้งานอะไร

เป็นอย่างนั้นตามที่ถามผลข้างเคียงกับหมอว่าผ่าตัดออกแล้วมีผลข้างเคียงอะไรไหม หมอบอกหน้าตาเฉยว่า ไม่มีอะไร เพียงแต่ “ไม่แข็ง” เท่านั้น

โห… แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คำที่หมอบอกสองคำนั้น หมายถึง ทำประโยชน์ได้เพียงอย่างเดียวคือ “ฉี่”

ส่วนที่นึกอยากทำ “อะไร” บ้างเมื่ออายุปูนนี้ เป็นอันหมดโอกาสไปตลอดชีวิต

มันก็แปลก รถยนต์เหมือนกับผู้ชาย มีปัญหาสำคัญคือเรื่อง “ลูกหมาก” แต่ของรถยนต์ซ่อมได้ เปลี่ยนลูกหมากได้แล้วกลับเป็นปกติ ส่วนของผู้ชายเปลี่ยนไม่ได้ ต้องตัดออกลูกเดียว (ลูกหมากมีลูกเดียว ไม่เหมือนอวัยวะต่อเนื่องที่มีสองลูก) ขนาดปกติเท่ากับลูกปิงปอง นิ่มๆ ก่อนผ่าตัด หมอถามว่าจะเก็บไว้ดูไหม หมอจะได้ดองให้ โถ… ไม่มีประโยชน์แล้วยังจะไปอาลัยอาวรณ์อะไรอีก ผู้ป่วยคิดอย่างนั้น

ผ่าตัดแบบเจาะสามรูเรียบร้อย ยังไม่หมดเท่านั้น เนื่องจากเป็น “มะเร็ง” ต้องมีกิจกรรมอีกสองสามอย่างคือ “ฉายแสง” เป็นอย่างแรก เรียกว่าทุกวัน เว้นเสาร์-อาทิตย์ กับวันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือห่างได้ไม่เกิน 3 วัน รวม 36 ครั้ง อย่างที่สองคือฉีด “ฮอร์โมน” อีกสี่เข็ม สัปดาห์ละครั้ง หมอบอกว่า ฉีดฮอร์โมน ไม่มีผลข้างเคียงอย่างอื่นนอกจาก “นมตั้งเต้า”

(เฮอะ… ไม่มีผล แต่นมตั้งเต้า “ขนาดเด็กผู้หญิงนมเพิ่งแตกพาน” จำได้ว่า เมื่อเป็นวัยรุ่น ผู้ชายมีเรื่องนมแตกพานเหมือนกัน เจ็บพอสมควรทีเดียว แล้วเพื่อนที่โตกว่ามักมาบีบทีเผลอ ต้องร้องโอ้ย)

เสร็จกิจกรรมแล้ว ต้องไปตรวจเลือดหาค่า PSA สองสามเดือนครั้ง ที่สุดหมอที่ตรวจเกี่ยวกับฉายแสงรังสีกับหมอทางเดินปัสสาวะบอกว่า ผลดีมาก มีค่า PSA เท่ากับ 0.02 ไม่มีเซลล์มะเร็ง

“โล่งอกไปที”

เมื่อคุยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บกับเพื่อนในบางเช้าวันอาทิตย์ที่สภากาแฟเจ๊กฮง เพื่อนจึงเตือนเพื่อนที่ยังนิยมกิจกรรม “อย่างว่า” หมั่นตรวจต่อมลูกหมากบ้างนะโว้ย ประเดี๋ยวใช้เพลิน ต้องตัดออกเหมือนกู…

แล้ววันหนึ่งเพื่อนที่ตัดต่อมลูกหมากมาคุยให้ฟังว่า เมื่อวานอาบน้ำเช้าเสร็จ ยกแขนขึ้นเช็ด เอ๊ะ… ไม่มีขนจั๊กแร้ที่เคยพอมีบ้าง กลับเกลี้ยงเกลา แม้ไม่ขาวเสียทีเดียวเหมือนรักแร้สาวยกแขนโฆษณาในโทรทัศน์ ให้สงสัยจึงก้มลงตรวจดูขนหน้าแข้ง ปรากฏไม่มีเหมือนกัน ส่วนนมตั้งเต้ามีมานานพอสมควรแล้ว

วันนั้น ถามเพื่อนหมอสูติฯ ที่มีเพื่อนหมอผ่าตัดชำนาญเรื่องแปลงเพศว่า ผ่าตัดต่อมลูกหมากแล้วมีผลให้เรื่องเพศต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยหรือไม่ เพื่อนหมอบอกว่า ไม่ต้องถามดอก ตอบได้ว่า มีผลบ้างพอสมควร “ที่ยูเป็นนั่นแหละไม่มากไปกว่านั้น”

เพื่อนอีกคนได้โอกาสยั่วเพื่อนว่า ปูนนี้แล้วลองให้ไอ้หมอแนะนำเพื่อนหมอแปลงเพศแล้วเอ็งไปแปลงเพศเสียเลยไม่ดีหรือ “เป็นกะเทยตอนแก่ ก็ไม่เลวนะมึง”

เพื่อนที่ตัดต่อมลูกหมากมองหน้าเพื่อน ไม่ต่อปากต่อคำ เอ่ยออกมาเพียงว่า “ไอ้บ้า !! ไว้มึงไปทำสิวะ กูออกค่าผ่าตัดให้เอง แปลงเสร็จอย่าลืมมาอวดไอ้ที่แปลงแบบเหี่ยวๆ ให้ดูด้วยนะโว้ย…” ว่าแล้วต่างหัวร่อกันสนุกสนาน

–อย่างเคย ก่อนแยกย้ายกันกลับไปบ้านใครบ้านมัน