เรื่องสั้น | หน้ากากคนดี (จบ)

คลิกอ่านเรื่องสั้น หน้ากากคน (ตอนแรก)

เรียกแท็กซี่จากสนามบิน ไปห้างสรรพสินค้าย่านบางกะปิ เราสามคนพ่อแม่ลูก นั่งอยู่ในรถที่กำลังแล่นไปช้าๆ แม้จะเป็นวันเสาร์แต่รถราในเมืองใหญ่ก็หนาแน่นเป็นปกติ

สองข้างทางในเขตย่านการค้า มีผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ บางคนเปิดหน้าเปลือยเปล่าราวกับไม่รับรู้ว่าในอากาศนั้นมีควันพิษ อีกหลายคนสวมหน้ากาก จะเป็นเพราะรับรู้บกพร่องไม่เท่าเทียม หรือมาตรวัดทางความคิดต่างกันไม่อาจรู้ได้ แต่ท่ามกลางความหลากหลาย เห็นชัดว่าทุกคนปฏิบัติต่างกันอย่างห้ามไม่ได้

“เมื่อไหร่จะถึงคะแม่” ลูกสาวหันไปถามแม่

“อีกไม่ถึงชั่วโมงจ้ะ วันนี้เกิดไรขึ้นไม่รู้รถติดทั้งที่เป็นวันหยุดแท้ๆ” ภรรยาพูดกับลูกหรือกับตัวเองผมไม่แน่ใจ

“หนูหิวมากเลยค่ะ” ลูกสาวบ่น ขณะมองเหม่อออกไปนอกรถ

“อดทนหน่อยนะครับ พ่อก็หิว ทุกคนก็หิว” ผมบอก

“ใช่ๆ ผมก็หิว ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า ใจเย็นๆ ไว้หนู” จู่ๆ คนขับแท็กซี่ก็พูดขึ้นบ้าง

ลูกสาวหันมาทางผมแล้วยิ้มเขินๆ แล้วถาม “พ่อคะ แล้วคนขับแท็กซี่เขาไม่ต้องสวมหน้ากากหรือคะ”

“ไม่รู้สิ ถ้าออกไปเขาคงต้องสวมแหละพ่อว่า” ผมกระซิบบอกลูกสาว

“เราสวมหน้ากากกันทุกวันอยู่แล้วครับ สวมกันมานานแล้วด้วย” คนขับแท็กซี่พูดขึ้น ผมไม่คิดว่าเขาจะได้ยินที่ผมพูดกับลูก แต่เขาก็พูดถูก

“คืออะไรหรือคะพ่อ” ลูกสาวถามขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ น้าเขาพูดถึงว่า เราต้องมีหน้ากากกันฝุ่นน่ะ กินข้าวเสร็จ เราไปซื้อกันนะครับ” ผมบอกลูกสาว

รถเริ่มแล่นได้เร็วขึ้น เพราะพ้นช่วงย่านการค้าไปแล้ว บรรยากาศชวนอึดอัดเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อรู้สึกว่าเรากำลังจะถึงปลายทาง

ทุกคนเงียบเสียงลงแล้ว ผมมองเหม่อออกไปนอกรถ เพิ่งสังเกตว่าสองข้างทางมีการติดป้ายหาเสียงเรียงรายไปด้วยผู้สมัครจากหลายพรรค หน้าตาของผู้สมัคร ส.ส. ดูดี หล่อเหลา สะสวย ภูมิฐาน บ้างก็ยิ้ม บ้างก็ใบหน้าเคร่งขรึม บ้างชี้ไม้ชี้มือ บ้างก็กอดอกแฝงความมุ่งมั่น มั่นใจ ทุกป้ายมีสโลแกนที่นโยบายสั้นๆ กระชับได้ใจความ ชี้ชวนให้คนพบเห็นฉุกคิด ถึงอนาคตของชาติว่าจะเป็นอย่างไร หากพวกเขาได้รับเลือกตั้งมาบริหารประเทศ

“พ่อคะ ตะกี้หนูเห็นลุงคนนั้นด้วยค่ะ” จู่ๆ ลูกสาวก็พูดขึ้นอีก

“เห็นอะไรคะ” ภรรยาผมสงสัย

ผมรอฟังลูกสาวพูดต่ออย่างใจจดใจจ่อ เธอเป็นเด็กช่างสังเกตจดจำดีเหลือเกิน

“ก็หนูเห็นรูปที่ข้างทางค่ะ รูปใหญ่มาก เท่าขนาดตัวคนจริงๆ แต่ในรูปดูดีกว่าตัวจริงอีกนะคะ หนูจำได้เพราะในรูปไม่มีใครสวมหน้ากากเลยค่ะ” เธอทำหน้าตาท่าทางครุ่นคิด “ทำไมถึงมีรูปคนติดอยู่เต็มไปหมดเลยคะ มีรูปคนอื่นด้วยค่ะพ่อ”

ภรรยายิ้มจางๆ หันมองหน้าผม ราวกับส่งสัญญาณว่า ถึงเวลาที่ผมต้องอธิบายเด็กชั้นประถมสามที่ช่างอยากรู้อยากเห็นอีกแล้ว

“โอเคค่ะ ที่ลูกเห็นน่ะเขาเรียกป้ายหาเสียงผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้แทนฯ จ้ะลูก” ผมบอกลูก

“แล้วลุงคนนั้นที่เราเจอที่สนามบินก็สมัครด้วยใช่ไหมคะพ่อ” ลูกสาวถามอีก

“ใช่จ้ะ คุณลุงเขามีอาชีพเป็นนักการเมือง” ผมไม่แน่ใจว่าควรพูดประโยคนี้หรือเปล่า

ลูกสาวพยักหน้าหงึกๆ หน้าตาครุ่นคิด “แล้วนักการเมืองเขาต้องทำอะไรบ้างคะพ่อ”

ผมเหมือนจะหมดคำพูดกับลูกแล้ว ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรให้ลูกเลิกถามเสียที “ก็พวกเขาจะมาแก้ปัญหารถติด แก้ปัญหาฝุ่นพิษในเมืองนี้จ้ะ ถ้าเป็นที่บ้านเราก็จะแก้ปัญหาราคายางอะไรแบบนี้แหละ”

“อ๋อค่ะ หนูรู้แล้วค่ะ ถ้างั้นที่คนยิงกันแถวๆ บ้านเราที่ตลาดสะบ้าย้อยก็แก้ได้ใช่ไหมคะ” ลูกสาวพูดถึงเรื่องราวที่เธอพบเจอมาในหมู่บ้านที่เราอยู่

“ใช่จ้ะ แก้ได้แน่นอน แต่ต้องใช้เวลาหน่อย” ผมบอกพลางลูบหัวลูกเบาๆ

ทันทีที่มาถึงผมรู้สึกโล่งใจ ไม่ใช่เบื่อจะนั่งรถอย่างเดียว แต่ผมคิดว่าถ้านั่งยาวไปกว่านี้ คำถามลูกคงไม่จบง่ายๆ แน่

ที่จริงเพียงแค่ยื่นมือถือให้ลูกเล่น มันง่ายมากที่จะให้ลูกเลิกสนใจสิ่งรอบข้าง แต่ผมกับภรรยาตกลงกันเด็ดขาดว่าจะไม่ทำแบบนั้นกับลูก แต่ก็ต้องแลกกับการหาเรื่องคุยกับเขาไม่ให้เขาเบื่อนี่แหละ

เราจ่ายเงินแล้วก้าวลงจากรถ ขณะที่คนขับยื่นเงินทอนให้ เขาพูดกับพวกเราว่า “โชคดีครับ อย่าลืมซื้อหน้ากากใส่ด้วยนะครับผม”

ลูกสาวหันมองมาทางผม แล้วยิ้ม

เรากินมื้อเที่ยงในฟู้ดคอร์ตกันจนอิ่ม แล้วตกลงกันว่าจะนั่งดูอะไรเพลินๆ แล้วค่อยเดินออกไปดูของที่วางขายมากมายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้

ผมนั่งครุ่นคิด เพราะอากาศร้อน หรือเพราะข้างนอกมีฝุ่นควันก็ไม่แน่ใจ ห้างสรรพสินค้าผู้คนเนืองแน่นไปหมด บางคนสวมหน้ากาก บางคนก็ไม่สวม แต่สวมหรือไม่สวม ในท่ามกลางผู้คนหลากหน้าหลายตาแบบนี้ เราก็ไม่รู้จักใครอยู่แล้ว ไม่เหมือนต่างจังหวัด ในหมู่บ้านที่ผมอยู่ แม้แต่คนที่ไม่เคยทักทายด้วย ก็คุ้นเคยกันราวญาติมิตร สิ่งที่บดบังผมให้มองไม่เห็น สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความแตกต่างจึงอาจมิใช่เรื่องของสภาพอากาศเป็นพิษเพียงอย่างเดียว แต่คือความหลากหลายของผู้คนที่มีความแตกต่างกันทางความคิด ต่างวัฒนธรรม แต่ก็นั่นแหละ เมื่อนึกถึงการเลือกตั้งที่จะมาถึงในไม่ช้า ผมกลับคิดได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นผมหรือพวกเขาเหล่านั้น เราต่างก็มีสิทธิเท่าเทียมกัน สิทธิที่เราจะเลือกคนที่เราคิดว่าดีที่สุดมาเป็นตัวแทนของเราในการบริหารประเทศ

“พ่อคะ แม่คะ เมื่อไหร่จะออกไปเดินดูของคะ หนูเบื่อแล้ว” ลูกสาวสะกิดผม แล้วพูดขึ้น

“ได้จ้ะลูก งั้นเราไปกันเลยนะพ่อ” ภรรยาผมพูด

เราเดินออกจากฟู้ดคอร์ตได้ไม่ถึงนาที ลูกสาวก็หยุดเดิน สีหน้ามีอาการตกใจ “พ่อคะ หนูลืมเสื้อคลุมไว้ที่ฟู้ดคอร์ต!”

“อ้าว เหรอลูก แม่ก็ลืมดูให้” ภรรยาผมพูดตกใจ

ยังไม่ทันที่เราจะหันหลังกลับเดินไปเอาเสื้อที่ลืมไว้ ผู้ชายคนหนึ่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินถือเสื้อมายื่นให้พอดี “ผมทันเห็นว่าเป็นของพวกคุณ” ชายคนนั้นพูด “ของหนูใช่มั้ยครับ อ้าว ทีนี้ก็ใส่ไว้เลยครับจะได้ไม่ลืมอีก”

“ขอบคุณค่ะคุณน้า” ลูกสาวยกมือไหว้

ผมกับภรรยากล่าวขอบคุณเขาที่มีน้ำใจนำของที่ลืมไว้มาให้ ชายคนนั้นไม่เปิดเผยใบหน้า เขาสวมหน้ากากสีขาว เขาไม่พูดอะไรอีก มีแต่รอยยิ้มในดวงตาเท่านั้นที่เราสัมผัสได้ถึงตัวตนที่แท้ จากนั้นเขาก็เดินแบบรีบๆ ออกจากประตูห้าง หายไปในท่ามกลางฝูงคนมากมาย

“น้าเขาเป็นคนดีมากๆ เลยนะคะพ่อ” ลูกสาวพูดขึ้น

“ใช่จ้ะ เขาเป็นคนดีมากๆ เลย” ผมพูดพยักหน้า มองไกลออกไปยังท้องถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันที่มองไม่เห็น

เราใช้เวลาเดินจับจ่ายไม่นาน ก็ตัดสินใจกลับที่พัก เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ที่พักอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้า ใช้เวลานั่งรถไม่ถึงยี่สิบนาที

แต่ยังไม่ทันเดินออกจากประตูห้าง ลูกสาวก็เดินออกมาขวางผมแล้วพูดทำหน้าละห้อย “พ่อลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ”

“อะไรอีกครับคุณลูก เราไม่น่าลืมอะไรแล้วใช่ไหมแม่” ผมหันไปทางภรรยา พูดเหมือนไม่มั่นใจ

“อ๋อ แม่รู้แล้ว หน้ากากใช่ไหมจ๊ะ”

“ใช่แล้วค่ะ เราต้องมีหน้ากากนะคะ ดูสิคะ มีคนใส่กันเยอะแยะไปหมด เราทุกคนต้องใส่นะคะ เพราะกรุงเทพฯ ตอนนี้มีควันพิษใช่ไหมคะ”

“จ้า คนดี” ผมก้มหน้าพูดกับลูกสาว แล้วหยิกแก้มเธอเบาๆ

เราทั้งหมดยืนอยู่หน้าร้านขายของเบ็ดเตล็ด หลังแจ้งความประสงค์ที่จะซื้อหน้ากากกับเจ๊เจ้าของร้านท่าทางใจดีแล้ว หล่อนก็เดินไปหยิบของที่เราต้องการมาอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันได้นำเสนอการขาย ลูกสาวก็ถามขึ้นก่อน

“มีลายการ์ตูนไหมคะ”

“ไม่มีจ้ะหนู ไว้น้าจะบอกคนผลิตหน้ากากให้นะคะ ว่ารอบหน้าช่วยเอาใจเด็กๆ หน่อย จะได้ขายดีไปอีก” เจ๊เจ้าของร้านพูดพลางหัวเราะร่วน

“แล้วมีแบบไหนบ้างครับ” ผมถาม

“ต้องขอโทษนะคะ ของบางตัวหมด ที่มีในร้านตอนนี้มีแต่สีนี้ค่ะ” เจ๊เจ้าของร้านพูดพลางหยิบหน้ากากที่มีอยู่ยื่นให้ผมดู

“หนูอยากได้หน้ากากสีขาวค่ะพ่อ” ลูกสาวแสดงสีหน้าไม่ชอบใจ

“ทำไมล่ะคะ แบบไหนมันก็กันฝุ่นได้เหมือนกันนี่คะ” ภรรยาผมหันไปพูดกับลูก

“ใช่ค่ะ ตัวนี้ป้องกันฝุ่นได้ดีมากๆ เหมาะกับสภาพฝุ่นตอนนี้ที่สุดแล้วค่ะ” เจ๊เจ้าของร้านพยายามอธิบาย

“ก็มันสีเทา หนูอยากได้สีขาว น้าคนที่เอาเสื้อที่หนูลืมไว้ตะกี้มาคืนก็ใส่สีขาว น้าเขาเป็นคนดี” ลูกสาวเบ้ปากพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ไม่พอใจ

ถึงตอนนี้ ทั้งผม ภรรยา และเจ๊เจ้าของร้านก็หัวเราะออกมาเบาๆ คาดไม่ถึงในเหตุผลความต้องการของเด็กวัยเก้าขวบ

“ฟังแม่นะคะ” ภรรยาผมย่อตัวลงนั่งยอง เอามือลูบหัวลูกสาวเบาๆ “ไม่ว่าเราจะใส่หน้ากากแบบไหน สีอะไร เราก็เป็นคนดีได้เหมือนกันนะลูก”

แววตาของลูกสาวเหมือนยังไม่ค่อยเข้าใจความหมาย แต่ก็ยังพยักหน้าพูด “ค่ะแม่”

ระหว่างยืนรอเรียกรถแท็กซี่อยู่ริมถนนหน้าห้างสรรพสินค้า ผมกวาดตามองดูผู้คนที่สวมหน้ากากเดินสวนกันขวักไขว่ และถึงแม้ในอากาศจะมีฝุ่นควันมากมาย แต่คล้ายว่าภายใต้ความมัวหม่นที่ทำให้รู้สึกกังวลในบางครั้งนั้น ทุกสิ่งยังคงมองเห็นได้ชัดเจน และรู้สึกได้

ผมมองไกลออกไปอีกฝั่งถนน นอกจากรถราขวักไขว่ ก็ยังเห็นป้ายหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.วางเรียงไปตลอดเป็นแนวแถว ไม่มีรูปของผู้สมัครคนใดสวมหน้ากาก อาจมีโลกของหน้ากากที่เราไม่รู้จัก โลกที่อาจไร้ซึ่งมวลฝุ่นมหาศาล แต่อาจมากมายไปด้วยอำนาจบางอย่างที่ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างเรามองไม่เห็นในเวลานี้

อย่างไรก็ตาม ผมกลับเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นโลกของหน้ากากแบบไหน มันก็ยังคงเปิดเผยดวงตาให้เรามองเห็นกันได้ และเราสามารถสัมผัสบางความรู้สึกที่ส่งผ่านดวงตามายังหัวใจของเราได้เสมอ

แต่ก็นั่นแหละ ในสถานการณ์ที่ผมต้องเจอกับฝุ่นมากมายมหาศาลในเมืองนี้ และภายใต้หน้ากากสีเทาที่ซ่อนใบหน้าครึ่งหนึ่งของผมเอาไว้ ผมกลับรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย ผมคิดไปว่า ถ้าผมยิ้ม คนอื่นๆ คงสังเกตเห็นได้ยาก

ผมลองยิ้มให้กับตัวเอง แล้วจึงหันไปมองหน้าภรรยาและลูกสาวซึ่งใบหน้าครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากเหมือนกัน สิ่งที่ผมสัมผัสได้จากดวงตาของแม่-ลูกคือพวกเธอก็กำลังยิ้มอยู่เหมือนกัน