เรื่องสั้น | หน้ากากคนดี (1)

หน้ากากคนดี (1)

[วิกฤตสุดๆ ค่าฝุ่นพิษพุ่งปรี๊ด สมุทรสาคร-กรุงเทพฯ หนัก บ่ายนี้สูงขึ้นอีก ยาวถึง 4 ก.พ.]

[ฝุ่นวิกฤตหนัก! สั่งด่วนปิดทุกโรงเรียน 2 วัน ทั้ง กทม.-ปริมณฑล]

[หยุดไม่อยู่! กรุงเทพฯ ทะยานขึ้นอันดับ 3 ฝุ่นมากสุด เชียงใหม่รั้งที่ 15]

ระหว่างรอขึ้นเครื่องที่สนามบินหาดใหญ่ ข่าวจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งรายงานสภาพฝุ่นในเมืองหลวงที่ผมเปิดอ่านจากสมาร์ตโฟน ทำผมกังวลเล็กน้อย

ผมหันไปมองหน้าลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ในใจคิดว่าผมน่าจะทิ้งตั๋ว แล้วล้มเลิกการเดินทาง แต่ภรรยาบอกว่าไม่เป็นไร มันไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป อุตส่าห์จองตั๋วล่วงหน้าตั้งสามเดือน เพื่อให้ลูกมาเที่ยวกรุงเทพฯ เธอเสียดายโอกาส

อีกอย่างเธอเองก็ไม่สามารถลงใต้ได้ในช่วงนี้เพราะเพิ่งไปเริ่มงานใหม่ได้สามเดือนกว่าๆ เธอคิดถึงลูก อยากเจอลูก มาแค่สามวันคงไม่เป็นไรหรอก

เธอพยายามบอกผมอย่างนั้น

ทันทีที่เครื่องบินเริ่มลดระดับลงต่ำเพื่อลงจอด ภาพที่เราเห็นคือภาพของบ้านเรือนและตึกสูงเรียงรายอัดแน่นอยู่ใจกลางของเมืองที่ชื่อว่ากรุงเทพมหานคร ซึ่งมีต้นไม้สีเขียวหม่นๆ ปรากฏอยู่เป็นหย่อมๆ

“โห หมอกสวยจังค่ะพ่อ ดูสิคะ” ลูกสาวหันมองไปทางหน้าต่าง

แม้จะเป็นเที่ยวบินไฟลต์เช้า แต่ผมรู้ดีว่าภาพที่เห็นนั้นไม่ใช่หมอก “มันคือหมอกควันจ้ะ ไม่ใช่หมอกแบบที่อากาศหนาวอย่างเชียงใหม่ หรือที่เคยเห็นตอนเช้าๆ ที่เทพาหรอก”

“เหรอคะ แล้วมันเป็นอันตรายไหมคะพ่อ” ลูกสาวถาม

“มันก็อันตรายระดับหนึ่ง แต่เรามาสามวันเองคงไม่เป็นไรหรอก คนอื่นๆ เขาก็อยู่กันทุกวัน แย่กว่าเราอีกนะ” ผมอธิบาย

“คราวหน้า เราน่าจะให้แม่ลงไปหาเราดีกว่านะคะ น้องกลัว” ลูกสาวพูดเสียงเบา เบ้ปาก ถอนใจ

“มันก็เพิ่งจะมีเมื่อต้นปีนี้เองจ้ะ นี่ก็ต้นกุมภาแล้ว ควันเริ่มจางๆ ไปแล้วนะ อีกอย่างเดี๋ยวพอเราไปถึงที่พักแล้ว ค่อยหาซื้อหน้ากากมาใส่ก็ได้” ผมยกมือลูบหัวลูกสาว “พ่อขอโทษนะ ที่จริงพ่อน่าจะเตรียมมาก่อน” ผมพูดส่ายหน้า

“โอเคค่ะพ่อ แต่ตอนนี้หนูอยากเจอแม่แล้ว” ลูกสาวเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นบ้างแล้ว

เครื่องบินร่อนลงต่ำเรื่อยๆ จนถึงระดับที่มองเห็นตึกรามบ้านช่องชัดเจน คล้ายว่าเรามองไม่เห็นหมอกควันนั้นแล้ว มันจางลงเพราะเรามองไม่เห็น หรือเพราะเราอยู่ใกล้มันจนมองไม่เห็น ผมก็ไม่แน่ใจ

“พ่อคะ หนูปวดฉี่ค่ะ” ลูกสาวหันมาบอกผม หน้าตาบูดเบี้ยว ขณะที่ผู้โดยสารทยอยเดินออกจากห้องโดยสารไปขึ้นรถบัสของสายการบิน

“พ่อก็ปวดเหมือนกัน กลั้นมาตั้งแต่เครื่องเพิ่งออกแน่ะ” ผมบอกลูกสาว แล้วเลียนใบหน้าบูดเบี้ยวของลูก แต่ลูกสาวไม่ตลกด้วย

ลงจากรถบัส ทันทีที่เดินเข้าประตูทางเข้า เราเดินมุ่งไปทางห้องน้ำก่อน แต่ดูเหมือนคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกับเรา ทุกคนเดินตรงไปทางประตูห้องน้ำแบบรีบๆ เราช้ากว่าคนอื่น เพราะกระเป๋าที่บรรจุเสื้อผ้ามาเต็ม และยังต้องจูงมือกันเดิน

ส่งลูกสาวหน้าห้องน้ำหญิงแล้วผมยืนรอ เสร็จแล้วก็ถึงคิวผมบ้าง ปัญหาคือผมจะทิ้งลูกไว้ข้างนอกไม่ได้ จึงให้เธอยืนรอด้านในห้องน้ำชาย

“ยืนตรงนี้นะครับ อยู่ห่างๆ นิดนึงนะ ทำมองไปกระถางต้นไม้ไปพลางๆ นะ เดี๋ยวผู้ชายเขาจะอายถ้าลูกมอง” ผมบอกลูก แล้วเดินตรงไปยังโถฉี่

โถฉี่มีมากกว่าหนึ่ง แต่คิวยาวเหยียด ไม่นับห้องส้วมที่คิวก็ยาวไม่แพ้กัน

ผมยืนรอตรงที่โถฉี่อันแรก คิวลำดับที่ห้า แต่ละแถวก็มีสี่คนห้าคนยืนรอเหมือนๆ กัน ขณะยืนกลั้นฉี่ด้วยสีหน้าที่รอการปลดปล่อย พวกแถวที่ติดกันพากันยกมือไหว้อย่างนอบน้อม พลางเดินขยับหลีก เพื่อเปิดทางให้ใครคนหนึ่งลัดคิว

เขาเป็นคนที่ผมเคยเห็นในทีวีบ่อยๆ ร่างสูง ผิวขาว เขาสวมสแล็กและเชิ้ตรีดเรียบ รองเท้าหนังเงาวาวเช่นเดียวกับเส้นผมบนหัว บ่าข้างหนึ่งสะพายกระเป๋าหนังสีดำแบบนักธุรกิจ เขาไม่ใช่นายแบบหรือดาราคนดัง แต่เขาคืออดีตรัฐมนตรี แน่นอนว่ามีคนหลายคนในห้องน้ำแห่งนี้รู้จักหน้าตาเขาเป็นอย่างดี ดูเหมือนเขาน่าจะเดินทางมากับสายการบินราคาแพง เขาคงต้องเดินทางบ่อยๆ เพราะมีนาคมที่จะถึงนี้ก็จะถึงช่วงเลือกตั้งแล้ว

เหตุการณ์ตอนนี้คืออดีตรัฐมนตรีได้สิทธิลัดคิวด้วยความยินยอมจากคนสองคน ได้ยืนรอคิวเป็นคนที่สาม สาเหตุที่ต้องเป็นคิวที่สามก็คาดเดาจากสิ่งที่เห็นได้ไม่ยาก เพราะคิวที่สองซึ่งชัดเจนว่าหันมาเห็นเหตุการณ์แล้วกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาคงไม่รู้จักอดีตรัฐมนตรี หรืออาจจะรู้จัก แต่ขอสงวนสิทธิในฐานะคิวที่สองซึ่งได้มาอย่างถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องสละคิวไปยืนกลั้นฉี่เพื่อใคร ในสถานที่แห่งนี้ไม่ว่าจะรวย-จนหรือมีเกียรติใดๆ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันอะไรทำนองนั้น

คิวผมยังไม่ถึง แต่อดีตรัฐมนตรีได้เวลาปลดปล่อยแล้ว เขารูดซิปอย่างรีบๆ แล้วแสดงท่วงท่าการปลดปล่อยด้วยการเงยหน้าหลับตาอย่างมีความสุข เสร็จแล้วก็รูดซิปกลับคืนในสภาพเดิม เดินออกจากโถฉี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไปยังอ่างล้างมือ มองดูทรงผมและใบหน้าของตัวเองแวบหนึ่ง ล้างมืออย่างลวกๆ ยกมือลูบผมให้เข้าทรง ดึงกระดาษชำระจากช่องเก็บ เช็ดมือ แล้วทิ้งลงถัง จากนั้นก็เดินออกจากห้องน้ำ

ยังมีคนเข้ามาต่อคิวอีกยาวเหยียด แต่ไม่มีใครยกคิวตัวเองให้คนอื่นอีกแล้ว ทุกคนยืนรออย่างใจเย็น ผมเดินออกจากห้องน้ำอย่างโล่งใจ เป็นอิสระจากอาการกลั้นฉี่ยาวนาน

ผมเดินจูงมือลูกสาวออกไปยังฟู้ดคอร์ตของสนามบินเพื่อซื้อกาแฟแก้วที่สองของวัน และซื้อขนมกินเล่นให้ลูกสาวด้วย เรานัดกับแม่ของเธอว่า ออกจากสนามบินแล้วจะแวะห้างสรรพสินค้าย่านบางกะปิเพื่อทานมื้อกลางวันกันที่นั่น

“พ่อคะ นั่นใช่คนเดียวกับที่เราเจอในห้องน้ำหรือเปล่าคะ” ลูกสาวพูด ชี้มือไปยังชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟราคาแพงฝั่งตรงข้าม ขณะเรากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในศูนย์อาหาร

ผมหันมองตาม “จำคนได้เก่งจริงๆ ลูกพ่อ” ผมหันไปคุยกับลูกสาว

“เขาเป็นใครหรือคะ หนูเห็นมีคนยกมือไหว้ด้วย” ลูกสาวถาม

“ก็เคยเป็นคนสำคัญ ที่เขาเรียกกันว่ารัฐมนตรี บริหารประเทศจ้ะ”

“แล้วตอนนี้เขาไม่สำคัญแล้วหรือคะพ่อ”

“เอ่อ” ผมคิดคำตอบไม่ถูก “ตอนนี้เขาก็เหมือนพ่อนี่แหละ เป็นประชาชนธรรมดาๆ คนหนึ่ง” คำพูดประโยคนี้เหมือนผมพูดกับตัวเองเสียมากกว่า

“แล้วรัฐมนตรีนี่สำคัญกับหนูมั้ยคะพ่อ หนูอยากรู้” ลูกสาวยิงคำถามมาอีก

“สำคัญจ้ะ เพราะหนูเป็นเด็ก เป็นอนาคตของชาติ และรัฐมนตรีก็มาบริหารประเทศ เขาคือคนที่จะเข้ามาสนับสนุนดูแลอนาคตของหนูอีกทีจ้ะ” ลูกสาวพยักหน้ารับฟังด้วยสีหน้างงๆ พลางยกมือเกาหัวตัวเอง

“เดี๋ยวพอโตขึ้นหนูจะเข้าใจเองจ้ะ” ผมบอกลูก “เอาเป็นว่าสองสามวันนี้เราต้องเอาตัวรอดจากเมืองนี้ให้ได้ก่อนนะ”

ผมหันไปทางร้านกาแฟอีกหน อดีตรัฐมนตรีกำลังเดินออกจากร้าน และตอนนี้ใบหน้าของเขาได้ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากกันฝุ่นสีขาว เขาเตรียมตัวมาดีเหลือเกิน แต่ทำให้ผมนึกแปลกใจอยู่ว่า เขาจะสวมมันทำไม ในเมื่อทันทีที่ออกจากประตูสนามบินเขาก็ต้องมีคนมารับอยู่ข้างหน้าแล้ว ใช่ว่าเขาจะต้องเดินเตร่ไปตามถนนแบบคนทั่วไปเสียหน่อย แต่เอาเหอะ เขาคงต้องระวังตัวไว้ก่อน เพราะมีคนหลายคนที่เดินอยู่ในสนามบินก็สวมหน้ากากอยู่เยอะทีเดียว

หน้ากากที่ผู้คนสวมกันมีหลายแบบ ทั้งสีขาวแบบเรียบๆ สีเทา สีดำ และแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนก็มีหลากหลายเหลือเกิน

ฝุ่นพิษทำให้ผมรู้จักหน้าตาของหน้ากากมากกว่าที่เคยเป็น ถ้าจะต้องซื้อหน้ากากใส่บ้าง ผมคงเลือกไม่ถูกว่าจะเอาแบบไหนดี

“พ่อคะ คุณลุงคนนั้นเดินไปทางโน้นแล้วค่ะ ลุงแกสวมหน้ากากกันฝุ่นด้วยค่ะ” ลูกสาวพูดขึ้น แสดงว่าเธอก็มองตามอดีตรัฐมนตรีอยู่เหมือนกัน “เราต้องไปหาซื้อหน้ากากนะคะ เอาแบบสวยๆ เลย รูปลายการ์ตูนมีไหมคะ” ผมหลุดจากหน้ากากในโลกของความคิดของตัวเอง กลับมาสู่โลกแห่งความจริงเรื่องหน้ากากที่ลูกสาวต้องการ ไม่รู้ว่าหน้ากากที่ลูกต้องการจะมีขายหรือเปล่า ถ้าไม่มี ผมควรบอกเธออย่างไรดี ผมรู้ว่ามันต้องมีคำถามตามมาอีกเยอะเลยทีเดียว

“ได้จ้ะ ไว้เจอแม่ก่อน กินเสร็จแล้ว แล้วเราค่อยไปหาซื้อหน้ากากกัน ว่าแต่ลูกไม่อึดอัดนะถ้าต้องสวมมัน อยู่ที่โน่นเราไม่ต้องสวม ลูกอาจไม่ชิน”

“คุณครูบอกว่า เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามค่ะพ่อ” ลูกสาวเล่นสำนวน ทำเอาผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่หัวเราะคำพูดของลูก

ผมพยายามมองออกไปภายนอก รถราบนถนนแล่นไปด้วยความรวดเร็ว เมืองที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ หลายสิ่งดูเหมือนจับต้องได้ แต่กับอีกหลายสิ่งเป็นราวกับฝุ่นควันที่ลอยอยู่ในอากาศ แค่เพียงเรารู้สึกได้ว่ามันมีอยู่ จับต้องไม่ได้ แต่กลับส่งผลกับชีวิตเราอย่างคาดไม่ถึง