เรื่องสั้น | เรือรัฐมนตรี

แสงอาทิตย์โผล่เหนือยอดภูเขาส่องอีกลูกหนึ่งที่อยู่คนละฟาก ใบไม้ชื้นน้ำค้างถูกแสงสีทองแต้มระยิบระยับ สายลมกวาดผิวน้ำเกิดลูกคลื่นเริ่มจากปากอ่าววิ่งไล่หลังเรือชาวประมงสองลำที่กำลังแล่นเข้าสู่ลูกคลอง

ตั้งแต่ฮัซบลเลาะห์จำความได้ก็มองเห็นภาพเด็กและผู้ใหญ่ ยืนคอยเรือข้ามฟากหมุนเวียนตลอดทั้งปี ภูเขา แสงอาทิตย์ สายน้ำ และวิถีชุมชนริมทะเลเกี่ยวร้อยเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีวันแยกออกจากกันได้อีกแล้ว

ชายหนุ่มกำลังนั่งบนเรือแจวคู่ชีพ ปล่อยเท้าแกว่งผิวน้ำเล่น พรั่งภาพวันวารผุดพราย เขาเรียนเพียงการศึกษาภาคบังคับ ก็รับไม้ผลัดอาชีพพายเรือข้ามฟากจากโต๊ะชาย แกบอกว่างานสุจริตให้มงคลต่อชีวิตทั้งนั้น ทำอะไรก็ได้ที่ไม่เบียดบังเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เมื่อวานน้าชายอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรช่วยให้พายเรืออีกครั้ง ตอนนั้นชายหนุ่มภูมิใจมากที่เด็กลูกทะเลคนหนึ่งมีโอกาสรับใช้คนระดับรัฐมนตรีของประเทศ ใครๆ ก็ได้ยินกิตติศัพท์เป็นอย่างดี เพราะถูกฝ่ายตรงข้ามคุกคามหมายชีวิต ท่านต้องการลี้ภัยไปต่างประเทศ น้าชายพูดว่าการช่วยกันปกป้องคนดีถือเป็นกุศลยิ่งใหญ่ที่ไม่มีวันลืม

น้าชายเป็นสมาชิกพรรคพลังชน ที่มีท่านสำเริงเป็นหัวหน้าพรรค ความโดดเด่นทางด้านการพูดจับใจผู้ฟัง มีนโยบายเพื่อชาติและประชาชนเข้าตาบ่อยครั้ง ทำให้มีโอกาสร่วมรัฐบาลทั้งได้นั่งตำแหน่งสำคัญเสมอ ในยามท่านอดีตรัฐมนตรีประสบเคราะห์กรรม น้าชายจึงอาสาพาหนีออกต่างประเทศเพื่อความปลอดภัย

วันนี้ไม่เหมือนกันอีก เด็กชายผู้ไม่ใคร่สนใจใครนอกจากตนเองกลับมองแผ่นดินบ้านเกิดด้วยจิตสำนึกบางอย่าง อีกทั้งไม่เคยลืมคำผู้เฒ่าที่พร่ำสอนให้เป็นคนกตัญญูรู้คุณ

“ผมไม่อยากทำอีกแล้วครับ” เด็กหนุ่มกลืนคำลงคอขัดฝืน สองปีที่ผ่านมานี้น้าชายคลุกคลีกับแกนนำบางคน ที่อยู่เบื้องหลังนายทุนกว้านซื้อที่ดินใกล้ภูเขาโต๊ะอีตำ ที่มีข่าวให้เอกชนสัมปทานเป็นโรงโม่หิน เขาจะเลือกสิ่งใดกัน ระหว่างปกป้องแผ่นดินเกิด หรือเดินวนรอบตามนิ้วชี้ผู้มีพระคุณ

ตัวเขากับน้าชายมีฝันไม่เหมือนกัน พวกเขาหวังถึงมั่งคั่งวงศ์ตระกูล มากกว่าความอยู่ดีกินดีของเพื่อนร่วมชาติ ใฝ่ฝันเรือยอชต์หรูหาความสำราญใส่ตัว หากินบนความไม่รู้ผู้ร่วมแผ่นดิน อาศัยความจัดเจนเรื่องการเมือง มีเครือข่ายโยงใยเกินกว่าชาวบ้านจับได้ไล่ทัน

ใช่ เขาทั้งสองต่างฝันถึงเรือคนละลำ ไม่มีวันเทียบท่าเดียวกันได้อีกแล้ว

“เอ็งทำไปเถอะนะ” แกมองหลานชายด้วยสายตาแห่งรักเสมอต้นเสมอปลาย พ่อ-แม่ทิ้งให้เขาอยู่กันตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งสองหายตั้งแต่ลูกชายอายุสองขวบ ยังมีชีวิตหรือตายจากโลกไปแล้วป่านนี้ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้

ชายหนุ่มคิดถึงท่านทั้งสอง ไม่เคยลืมจากความทรงจำเลย อยากรู้ว่าท่านอยู่ดีมีสุขยังไงบ้าง มีเพียงคำร่ำลือว่าล่าสุดท่านทั้งสองออกเรือแล้วหายในกระแสน้ำอาจพัดพาไปยังพื้นที่ห่างไกล ไม่สามารถกลับมาหมู่บ้านชาวประมงได้อีก การหายตัวของท่านทั้งสองเป็นความลึกลับดำมืดพอๆ กับจินตนาการถึงกรรมที่ไล่หลังเข่นฆ่ามนุษย์ผู้ทรยศ

“แต่ผม…”

“คนไม่รู้จักบุญคุณ สมควรเป็นสัตว์เดรัจฉานนะหลาน” โต๊ะชายย้ำเตือนเสมอไม่ให้เดินหลงทางในเรื่องของการทรยศผู้มีพระคุณ

“คนนี้ญาติแท้ๆ ของพ่อเอ็ง หากโต๊ะชายตาย ก็เหลือเพียงคนเดียวนี่แหละ” โต๊ะชายให้เกียรติพี่ชายของพ่อ นานๆ ได้เห็นหน้าสักครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

“พวกเขาร่วมมือกับคนซื้อภูเขานะครับ” เขาจะอธิบายให้โต๊ะชายยังไงดี เดี๋ยวนี้สิ่งลับ ลวง พรางมากมาย นโยบายสวยหรูคิดค้นอ้างเพื่อคนส่วนใหญ่ บางเรื่องยอมสร้างภาพ ปั้นเรื่อง ซับซ้อนเกินทำความเข้าใจ สุดท้ายแล้วก็เพื่อตนเองและพวกพ้องเท่านั้น

โต๊ะชายสอนเรื่องบาป บุญ คุณ โทษ คนทำผิด ปล่อยให้พระผู้เป็นเจ้าลงโทษจะดีกว่า ในอดีตเราก็เห็นชัดแล้ว เพราะคอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง นักการเมืองต้องหนีกฎหมายหัวซุกหัวซุน บางคนไม่ทันได้ใช้จ่ายเงินทอง ต้องจากประเทศบ้านเกิดน้ำตานองหน้า แผ่นดินเนรเทศพวกเขาเหมือนสาปแช่ง ไม่ทราบดอกหรือว่าเวรกรรมก็กัดไม่ปล่อยเหมือนกัน

ดวงจันทร์ส่องแสงงามกลางฟากฟ้าขณะรออดีตท่านรัฐมนตรีลงเรือ เกลียวคลื่นขยับแพรวพรายเหนือสายน้ำ ลมทะเลพัดมาจากปากอ่าวโต๊ะอีตำ มองเห็นต้นมะพร้าวริมฝั่งสะบัดใบอยู่ท่ามกลางความสลัวเลือนราง

เขาคิดถึงงานเลี้ยงต้อนรับรัฐมนตรีหลายปีก่อน เขาถูกเรียกรับใช้ฐานะเด็กบริการ มองเห็นท่านกำลังชี้ภาพตั้งอยู่ในห้องรับแขกซึ่งมีสมาชิกถ่ายรูปร่วมกันบนเรือยอชต์ลำใหญ่ ท่านบอกเล่นการเมืองอีกสมัยแล้วจะซื้อเรือสำราญไว้ในครอบครอง

เหตุการณ์วันนั้นย่อมเป็นพยานชัดเจนกระมัง ลำพังเงินเดือนตลอดสมัยผู้แทนราษฎรย่อมไม่มีทางซื้อเรือสำราญหรูนั่นได้หรอก หากไม่ใช่เงินนอกระบบบางอย่าง ที่จะบันดาลเงินทองมากมายให้ เป็นมหาเศรษฐีภายในพริบตาเดียว

“เรื่องนี้ห้ามเล่าให้ใครฟังเด็ดขาดรู้ไหม” น้าชายย้ำเตือน ครั้งที่มีโอกาสได้รับใช้ครั้งแรกที่จะนำท่านขึ้นเรือที่ปากอ่าว เขาทราบมาว่า กว่าที่ท่านจะเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ก็ใช่จะนั่งรถทัวร์หรือนั่งเครื่องบิน แต่ท่านหลบหนีมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว เปลี่ยนรถระหว่างทางสาม-สี่คัน เพื่อให้รอดพ้นจากการตามล่าจากฝ่ายตรงข้าม เขาจึงไม่แปลกใจที่น้าชายต้องกำชับเด็ดขาด เกี่ยวกับการเดินทางออกนอกประเทศหนนั้น เพราะมันเกี่ยวกับความเป็นความตาย

“ครับ” เขาตอบรับปาก

“คืนนี้ลมแรง ระวังหน่อยนะครับ” ใบหน้าอดีตรัฐมนตรีกระทรวงโซเชียลมีเดียมีคราบเหงื่อเกาะติดตามใบหน้า อดถามตนเองไม่ได้ ท่านเป็นคนดีทำงานเพื่อชาติและประชาชน แต่ทำไมต้องหนีหัวซุกหัวซุนอย่างนี้ ท่านน่าจะลงเรือยอชต์มากกว่าเรือพายไร้ค่าไม่ใช่หรือ

“ท่านจับมือผมให้แน่นครับ” ท่านยื่นมือจับชายหนุ่มดวงตาดูตื่นตระหนกกับโลกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสไออากาศหนาวเยือกเย็น ประสมเสียงคลื่นขับกล่อมตลอดเวลา

“ขอบใจนะ” อดีตรัฐมนตรีมองเรือประมงลำใหญ่มีเงาสีดำคล้ายสัตว์ประหลาด พาหนะที่นำเขาลี้ภัยการเมืองครั้งนั้น

“น้าว่ากำลังเรียน กศน.อยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ผมเรียนที่ศูนย์ใกล้บ้านครับ”

“เรียนให้จบเร็วๆ นะ แล้วน้าค่อยหางานทำให้” อดีตรัฐมนตรีคนดังอัดบุหรี่เข้าปอดพรืดราวกับจะฉลองให้ชะตากรรมตนเอง น้ำเสียงแข่งกับกระแสลมทะเลที่พัดผ่านเรืออย่างรวดเร็ว เสียงซ่า เหมือนเสียงผีคุ้งคลองทักทายก็ไม่ผิด

เมื่อสามเดือนก่อนเขายังนั่งจิบไวน์พร้อมกับสมาชิกพรรค มีการคาดการณ์การเมืองหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี มีเหตุการณ์พลิกผันอีกด้าน ที่เขาได้พาดพิงอักษรย่อฝ่ายค้านคนหนึ่ง พร้อมกับหลักฐานสำคัญที่ทำธุรกรรมกับธนาคาร เขาจึงถูกเจ้าของบริษัทใหญ่ขู่ฆ่าเอาชีวิตทีเดียว

“ครับ ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงสั่นเล็กน้อย เขาเคยเห็นท่านจากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์เท่านั้น พอได้นั่งเรือลำเดียวกันก็อดตื่นเต้นไม่ได้

“ถ้าเล่นการเมือง ฝึกงานที่พรรคก็ได้นะ ต่อไปจะได้แทนน้าชายยังไงล่ะ”

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสรับใช้ท่านสำเริง เวียงสำราญ อย่างใกล้ชิดที่สุด ยังจำภาพพายเรืออาบแสงจันทร์ปีนั้นได้ดี ท่ามกลางแสงจันทร์นวลบนท้องฟ้า เขาแจวเรือเล็กส่งท่านที่เรือประมงปากอ่าวโต๊ะอีตำ

หลังจากคืนนั้น ชีวิตท่านอดีตรัฐมนตรีก็เงียบไป แทบไม่ได้ยินชื่อและข่าวคราวตามสื่อมวลชนอีก ข่าวร่ำลือท่านเป็นโรคเอดส์ บ้างก็ว่าเป็นอัมพาต บ้างก็ว่าเสียชีวิตในโรงพยาบาลประเทศอังกฤษ แต่ก็ไม่มีแหล่งข่าวไหนกล้ายืนยัน

เขานึกถึงบุพการีทั้งสอง พ่อ-แม่ทิ้งเขาให้อยู่กับโต๊ะชาย ยังไม่มีใครบอกความจริงได้เลย เขาเป็นตายร้ายดียังไง ในฐานะที่เขาเป็นบุพการีผู้ให้กำเนิด ใจจริงอยากให้กลับมาเยี่ยมอีกครั้ง อยากนั่งฟังคำบอกเล่าสาเหตุต้องทิ้งลูกในหนนั้น หรือนี่เป็นเวรกรรมของพ่อกับแม่ ทำให้เขาต้องพลัดพราก ทุกข์ทนกล้ำกลืนกับคำถามที่ไร้คำตอบ

คล้อยหลังสิบปีให้หลัง ยังไม่มีข่าวคราวจากพ่อ-แม่ แต่นายสำเริง เวียงสำราญ กลับมาเล่นการเมือง ราวกับได้ฟื้นชีวิตมาจากความตายได้ เขาตกเป็นข่าวดังครึกโครมอีกครั้งหนึ่งในนามรัฐมนตรีกระทรวงธรรมชาติ เจ้าของอภิมหาโครงหลายแสนล้านบาท ที่นักอนุรักษ์ธรรมชาติต้องออกโรงต้านกันสุดฤทธิ์

เสียงคลื่นทะเลสาดซ่าซ่า เหมือนเสียงเพลงแห่งท้องทะเลขับขาน ชายหนุ่มเงยหน้ามองแสงจันทร์คืนนี้มีสีหม่น ด้วยก้อนเมฆประดับท้องฟ้าเกือบทุกด้าน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงธรรมชาติเดินทางมาถึงตอนสองทุ่มตรงตามที่ตกลงกันไว้

เขามองร่างสูงใหญ่ก้าวลงเรือพายลำเดิมอีกครั้งหนึ่งอย่างอดแปลกใจไม่ได้ วิถีมนุษย์ช่างน่าแปลกประหลาด เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย นี่เป็นงานประเภทเดียวกัน เพียงแต่มีเวลาคั่นนานสิบปีเท่านั้น

“สวัสดีอีกครั้งนะ” ทั้งๆ ที่ไม่ได้พบกันนานนับสิบปีแล้ว น้ำเสียงทักทายท่านห้าวลึกน่าเกรงขามอยู่เช่นเดิม

“ครับท่าน”

“เรียนจบหรือยัง”

“ผมเรียนจบแล้ว กำลังต่ออนุปริญญาครับ”

“ไม่เจอกันนาน สบายดีนะ” เขาทักทาย ใบหน้าชายหนุ่มลูกทะเลเครียดขรึม ห้วงสมองสับสน เขาอยากบอกอดีตรัฐมนตรีสองสมัย ชุมชนเขาโต๊ะอีตำไม่สบายนักหรอก บ้านเกิดมีบางอย่างเปลี่ยนไป มีการรุกรานทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มสาวแตกคอกันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ในส่วนตัวเขาเองนั้น เมื่อเรียนจบการศึกษาตามอัธยาศัยก็เรียนต่อวิทยาลัยชุมชนสาขาการปกครองท้องถิ่น ได้รับความรู้จากอาจารย์ผู้สอน ที่คลุกคลีตีโมงกับแกนนำกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ ทำให้เขาอยากมีส่วนร่วมปกป้องภูเขาบ้านเกิด

ครูเคยสอนว่า ตอนพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลกนั้น แผ่นดิน น้ำ ทะเลหมอก ทุกอย่างเคลื่อนไหว จึงให้มาลาอีกะห์ชื่อตอวุส นำภูเขาตอกตรึงให้โลกนิ่ง แต่มนุษย์กำลังถอนลิ่มโลกเหล่านั้นออกไป มันย่อมนำพาความเสียหายไม่ทางตรงก็ทางอ้อม มันจึงเป็นภารกิจที่ทุกคนต้องช่วยกัน หาไม่เช่นนั้นภูเขาทั้งลูกก็จะหายไปอย่างแน่นอน

“มีนายทุนจะซื้อภูเขาทำโรงโม่หิน” เขายังจำน้ำเสียงแกนนำทักทายผู้เข้าร่วมประชุมที่นกน้อยรีสอร์ตได้ดี เขาได้มองเห็นเบื้องหลังการปกป้องต่อต้าน ทุกคนสละแรงกายแรงใจ ทุ่มเทใจให้แผ่นดินที่รักด้วยหัวใจ โดยไม่มีเงินทองว่าจ้างสักบาทเดียว

ชายหนุ่มมองเห็นหมู่บ้านที่เปลี่ยนแปลง นับแต่มีนายทุนรับสัมปทานระเบิดภูเขา ที่เขาเองก็มีส่วนร่วมประท้วงคนหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าท่านสำเริง เวียงสำราญ ฐานะที่เป็นรัฐมนตรีคนนี้อยู่เบื้องหลัง เขาคืนสังเวียนการเมืองอีกหนหนึ่ง แต่สังกัดพรรคใหม่ หลังจากเสร็จสิ้นเลือกตั้งก็ได้นั่งกระทรวงธรรมชาติ สิบปีผ่านก็ยังไม่เปลี่ยนนิสัยเดิม หนนี้ก็ร่วมมือกับนายทุนโรงโม่หิน ขนาดชาวบ้านไม่ยอมก็ยังเดินหน้าต่อไปอย่างไม่สนใจ

บริษัทล่ารายชื่อคนสนับสนุน แจกเงินคนละสามร้อยบาท กับเสื้อสีดำหนึ่งตัว ทำให้มองเห็นกระบวนการชัดขึ้น เขาเริ่มเข้าใจการเมือง นโยบายไม่ได้เป็นความต้องการชาวบ้าน เพียงแค่สนองต่อมตัณหาของคนเท่านั้น

“พวกเขาเข้าหานักการเมืองขอใบเบิกทาง ภูเขาที่เราหวงแหนกำลังถูกทำลาย พี่น้องทราบหรือเปล่าครับว่าหลายเดือนก่อนมีการประท้วงใหญ่…” ห้องประชุมเงียบกริบ ได้ยินเสียงลำโพงดังเหมือนสิงโตคำราม

“พวกเขาใช้ชื่อเครือข่ายปกป้องภูเขา มันเป็นการจัดตั้งเพื่อมาทำลายเรา มันคุ้มมากใช่มั้ยพี่น้อง ที่เราขายภูเขาคนละสามร้อย พวกเขายุให้พวกเราแตกคอกันเอง นายทุนสมคบอดีตรัฐมนตรีมีภรรยาเป็นกรรมการบริษัท ผลักดันโครงการนี้เต็มที่” ชายหนุ่มได้ยินเสียงแว่วมาตามสายลม

“กลุ่มประท้วงจึงมีสองกลุ่ม หากมีปะทะกันก็อย่าได้แปลกใจ เขาวางแผนให้เราแตกคอกันเอง เพื่อลดพลังต่อต้าน แม้ต้องเสียเพื่อนที่เคยนั่งกินน้ำชาโต๊ะเดียวกัน แต่เพื่อรักษาภูเขาลูกนี้เอาไว้ เราก็ต้องทำใช่ไหมครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตามีประกายปลาบปลื้มใจ มองผู้คนนับพันที่รวมตัวกันที่ลานทรายริมคลองวันนั้น

อยากบอกผู้ใหญ่ที่นับถือ บางครั้งการตัดสินใจของรัฐมนตรีก็ไม่ใช่สิ่งถูกต้องเสมอไป ยิ่งการฉวยโอกาสเอาความไม่รู้ของชาวบ้าน พูดความจริงด้านเดียวให้ชาวบ้านฟัง มันย่อมไม่ใช่คุณสมบัติผู้นำที่ดี

ชายหนุ่มรู้สึกเนื้อตัวร้อนผ่าว ครั้งแรกที่เขาพายเรือนำท่านขึ้นเรือใหญ่นั้น เคยภาคภูมิใจที่มีโอกาสรับใช้คนสำคัญระดับประเทศ เขาพายเรือท่ามกลางแสงจันทร์ฉาย แต่ครั้งนี้เขาอดนึกถึงคำว่าพายเรือให้โจรนั่งไม่ได้เลย

อดีตรัฐมนตรีสำเริง เวียงสำราญ เปลี่ยนอิริยาบถด้วยการนั่งยองๆ กลางลำเรือ หยิบบุหรี่สูบปล่อยควันสีขาวลอยฟุ้งในอากาศ

ชีวิตนักการเมือง สอนให้เขารู้จักการหลบหลีกเอาตัวรอด ถนนสายนี้ไม่เคยมีความปลอดภัย พลาดพลั้งนิดเดียวก็ถูกเหยียบจมธรณี ทั้งๆ ที่เคยคบหาและทำธุรกิจร่วมกัน แต่ก็ยังตามล้างตามล่ากันถึงตาย การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรอย่างว่าจริงๆ

ท่านเงยหน้ามองภูเขาทั้งสองสลับไปมา ซ้ายมือคือลูกที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับชาวชุมชน อีกลูกทางขวามือที่แยกออกจากด้วยลูกคลอง ทั้งสองดูเป็นภูเขาที่ทอดเงาติดกันตลอดเวลา เหมือนกับมีลมหายใจเดียวกัน เขาหยุดมองนิ่งที่ลูกใหญ่ด้านขวามือ เห็นภาพภูเขาละลายหายไป โดยมีโรงงานปูนขึ้นมาแทนที่ในปีต่อมา จะมีการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ลูกคลองนี้จะหายไปจากแผ่นดิน

“ทราบข่าวประท้วงยังไงบ้าง” ชายหนุ่มนึกถึงกวีหนุ่มขึ้นอ่านกวีบนเวทีวันชุมนุมประท้วงยังจำท่อนวรรคหนึ่งแว่วมาตามสายลม

“ก็ได้ยินเหมือนกันครับ”

“ผมได้ค่าจ้างสามร้อย เสื้อดำหนึ่งตัวครับท่าน” ได้ยินอดีตรัฐมนตรีหัวเราะเหมือนเสียงปีศาจแห่งท้องทะเล

“แสดงว่าเรามีจุดยืนเดียวกัน เห็นด้วยกับสร้างท่าเรือน้ำลึก น้าไม่เข้าใจพวกประท้วงอีกกลุ่มคิดอะไรทั้งที่นำความเจริญมา กลับกล่าวหาน้าทำลายธรรมชาติ งานนี้น้าชายเอ็งก็ทุ่มสุดตัวนะ” ใครๆ ก็รู้น้าชายอยู่เบื้องหลังม็อบแจกเงิน เดินเยี่ยมพบปะพูดคุยกับแกนนำ เพียงแต่ไม่ได้ขึ้นเวทีปราศรัยเท่านั้น เขาเป็นนักการเมืองต้องคบสองกลุ่มอยู่แล้ว

“หากมีการสร้างท่าเรือน้ำลึกตำบลนี้ก็เจริญก้าวหน้า มีงานดีให้ทำเยอะ ไม่ต้องพายเรือข้ามคลองจริงไหม” อดีตท่านรัฐมนตรีกระทรวงธรรมชาติมองเรือประมงลำใหญ่ตวัดแสงไฟเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกลำพอง การจากบ้านเกิดหนนี้ ใช้เวลาไม่นานหรอก ต้นปีหน้ามีการเลือกตั้งใหม่มีโอกาสที่จะได้ร่วมรัฐบาลสูง โครงการแสนล้านก็จะเดินหน้าทันที

“เงียบเลย” ท่านทักท้วง เขากัดลิ้นตนเองจนน้ำตาซึม แต่มันถูกปกปิดด้วยแสงสลัวเลือนรางความเจ็บปวดแล่นริ้วทั่วสรรพางค์กาย

“ฟังท่านอยู่ครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงเบาย้อนนึกถึงเรื่องราวคำสอนตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากเสียงครูที่มัสยิดแล้ว ยามเผชิญภาวะสับสน เสียงโต๊ะชายช่วยเตือนย้ำเสมอ

สำนึกวาบหนึ่งสับสน แว่วเสียงนักต่อสู้ปราศรัยตะโกนก้องให้ได้ยิน เพื่อคนส่วนใหญ่ให้ดำรงอยู่ผุดวาบขึ้น ปลิดชีวิตคนชั่วเพียงคนเดียว แต่ทำให้ภูเขาทั้งลูกคงอยู่มันก็คุ้ม ไม่ต้องเรียกประชุมแกนนำต่อต้าน ไม่ต้องนัดละหมาดฮายัตขอพรกับพระผู้เป็นเจ้าอีกต่อไป

“พี่น้องที่รักภูเขาโต๊ะอีตำให้หลายสิ่งหลายอย่างกับเรา เป็นธรรมชาติที่คอยปกป้องมาตั้งแต่โบราณ หากเราสูญเสียก็จะเรียกคืนไม่ได้อีก เราจะยอมนายทุนได้ยังไงครับพี่น้อง” เสียงแกนนำตะโกนถามดังๆ ผ่านไมโครโฟน เสียงตอบรับ ไม่ยอม ไม่ยอม

ชายหนุ่มกำไม้พายแน่น ขณะแว่วเสียงประท้วงแว่วมา ลมพัดวาบผ่านเรือชั่วครู่หนึ่ง เรือประมงทอดตัวดำทะมึน เรือโคลงเคลงเล็กน้อย ก่อนที่จะถึงเรือลำใหญ่ เขามีเวลาไม่เกินสิบนาที ควรตัดสินใจเด็ดขาดสักที