เรื่องสั้น | นอกจากความเงียบก็ไม่มีอะไรอื่นอีก (1)

กังวานเสียงปืนดังขึ้นสามนัดก่อนจะสงัดเงียบไป ประกาศตัวตนอย่างเด่นชัดถึงความยิ่งใหญ่แล้วเสียงค่อยมลายหายไปราวถูกม่อนดอยซับหาย ฉันค่อยๆ ขยับเปลือกตาขึ้นช้าๆ

ได้ยินเสียงหายใจของตัวเองดังอย่างชัดเจน

เสียงจากเสาไฟฟ้าดังหวี่ๆ สม่ำเสมอ กาเหว่าร้องดังมาจากที่ไกลๆ นานหนเสียงจักรยานยนต์จะกรีดผ่านทิวเขาสะท้อนเข้ามาถึงในบ้าน แล้วทุกสิ่งก็ขาดหาย ราวกับว่าที่ที่ฉันยืนอยู่เป็นที่รกร้างและแปลกแยกจากโลกใบนี้ ฉันอยู่ที่นี่มาสามเดือนเต็มๆ แต่ยังไม่คุ้นชินว่ามันคือบ้าน ทั้งที่มันก็คือบ้านเดิมที่เคยอาศัยในตอนเด็ก แต่คงเพราะจากมานานเหลือเกิน มันเปลี่ยนแปลงไปทุกอย่าง

ฉันเหมือนกล้าผักสักชนิดหนึ่งเหี่ยวสลดในกระถาง ตอนที่พ่อพาไปฝากไว้กับป้าที่รับราชการครูอยู่ต่างจังหวัด ฉันถูกพรากจากครอบครัวตั้งแต่ครั้งนั้น มันเป็นการจากลาที่ยาก แม้ปราศจากเสียงร้องไห้ แต่แผลใจได้ปริกว้างขึ้นตามการเติบโต

บ้านเก่าในความทรงจำหายไป หลังจากที่ไปอาศัยกับป้าได้ไม่กี่ปี พ่อก็รุ่งเรืองมากขึ้นจากการเป็นนายหน้าค้าที่ดิน และยังก้าวขาเข้าสู่วงการการเมืองท้องถิ่น ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลสมัยแรก พร้อมเป็นหัวคะแนนฐานเสียงให้กับพรรคการเมืองใหญ่ น้ำเลี้ยงดีจนพี่ๆ ทุกคนได้เรียนต่อ ท่านได้รับเลือกอยู่หลายสมัย ฉันรอฟังข่าวหวังว่าพ่อจะกลับมารับ แต่กลับเหมือนพ่อ-แม่เห็นฉันเป็นตัวกาลกิณีทำให้ครอบครัวทุกข์ยากตั้งแต่เกิด พอออกไปพ้นบ้าน ครอบครัวก็พลิกฟื้นกลับมามั่งคั่ง ทุกครั้งที่พ่อมาหา ฉันจะหลบเลี่ยงออกนอกบ้าน ไม่ก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องรอจนพ่อกลับ สิ่งที่พ่อทิ้งไว้คือของฝากเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีถ้อยคำใดเอ่ยถึงฉันและฉันไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดจากป้า ราวความผูกพันในสายเลือดเจือจางลง

กาลอันยาวนานสร้างบาดแผลเกินกว่าจะสมานในระยะเวลาอันสั้น ฉันกลับมาทำไม คิดคำถามนี้อยู่ตลอดเวลา ฉันแทบไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้นตอนพ่อจากไป พี่ๆ โทรศัพท์มาบอกด้วยเสียงอันสั่นเครือ พ่อจากไปแล้ว ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว พ่อล้มลงตรงรั้วหน้าบ้าน กว่าแม่จะไปเจอก็ช้าไปเสียแล้ว ฉันกลับบ้านไปร่วมงานด้วยความสำรวม ไม่ได้มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ผิดกับตอนที่ป้าเสีย ฉันร้องไห้หนักหลายวันหลายคืน แต่กับพ่อฉันเงียบนิ่งจนจบพิธีการ ก่อนขอตัวกลับมาทำงาน และคิดว่าจากนี้ไปตัวฉันและครอบครัวคงไม่ได้เจอกันอีก

หลังจากพ่อเสีย แม่ก็ได้พยายามดึงลูกๆ ทุกคนให้กลับมายังบ้าน แต่นกที่กางปีกบินเองได้แล้วย่อมต้องการสร้างรังของตัวเอง โชคร้ายที่ฉันยังสนุกกับงานและร่าเริงกับความโสด ซึ่งก็ง่ายที่แม่จะพากลับมาขังไว้ที่บ้าน ใช่ว่าฉันจะยอมจำนนอย่างง่ายดาย ยังหัวเราะให้แม่ด้วยซ้ำ ยังคิดว่าแม่พูดเล่นที่บุกมาหาฉันและขอร้องให้กลับไปอยู่ด้วย แววตาของแม่เหมือนคนเป็นไข้ลอยล่องไร้จุดยึดเหนี่ยว

“น้องกลับบ้านไม่ได้หรอก น้องต้องทำงาน แม่ก็ขอพี่ๆ มาอยู่ด้วยสิ”

“โอ้ย มันบ่มาหรอก เขามีครอบมีครัวอยู่ต่างที่กันหมด จะหื้อเขามาอยู่ตวยบ่ได้หรอก”

“แล้วจะให้น้องกลับไปเหรอ น้องมีงานต้องทำ” ฉันเริ่มไม่พอใจ

“แม่หญิงตั๋วคนเดียวมาอยู่กรุงเทพฯ กรุงทา จะอยู่ไปได้อย่างใด อะหยังก่อแพง ทำงานจะได้สักกี่บาท สู้มาอยู่บ้านเฮาก่อบ่ได้ ไร่สวนตี้นาเฮาก่อมีเป่อเลอะ” แม่เริ่มหาเหตุผลเรื่องความเป็นอยู่ และยังดูแคลนรายได้ ความหงุดหงิดเกาะกุมลมหายใจ

“น้องอยู่ได้ อยู่ได้หลายปีแล้วและสบายด้วย น้องมีความสุขที่ได้ทำที่นี่ อีกอย่างกลับบ้านไปแล้วน้องจะทำงานอะไร น้องว่าแม่กลับเถอะ แล้วน้องจะช่วยเรื่องส่งเงินค่าใช้จ่ายรายเดือนไปให้แม่ ถ้าแม่เบื่อบ้านไม่อยากอยู่คนเดียว แม่ก็ไปอยู่กับพี่ๆ เขาก็ได้”

“บ่เอาหรอก จะไปปล่อยบ้านหื้อร้างได้จะได นะ…มาอยู่กับแม่เต๊อะ เรื่องก๋านเรื่องงานไปหาเอาทางพู้นก่อได้” เสียงแม่อ่อนลงราวอ้อนวอน ฉันไม่ตอบอะไรอีก เรามีความคิดเห็นกันคนละอย่าง มันไม่มีทางที่จะเข้าใจกันได้หรอก แม่มาอยู่เพียงสองวันแล้วก็จากไปด้วยความบึ้งตึง ฉันไปส่งแม่ที่ขนส่ง มองเห็นท่านจากไปด้วยความโล่งอก

แต่เพียงไม่กี่วันแม่ก็โทรศัพท์มาหา ไม่ได้พูดถึงเรื่องชวนไปอยู่อีก แต่พูดเรื่องงานทำบุญครบหนึ่งร้อยวันพ่อที่จะมีขึ้นอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า แม่เกลี้ยกล่อมฉันจนใจอ่อน แต่นั่นคือความผิดพลาดอย่างแท้จริง

ในงานทำบุญครบร้อยวันพ่อ เหล่าบรรดาพี่ๆ และญาติๆ ต่างช่วยพูดกดดันให้ฉันมาอยู่กับแม่ ทุกคนต่างก็อ้างภาระที่ต้องทำเหตุจำเป็น ครั้นจะให้แม่ไปอยู่กับพี่ๆ แม่ก็ไม่อยากทิ้งบ้าน เหมือนเส้นที่ถูกขีดไว้แล้ว การยืนยันคำเดิมของตัวเอง พูดให้ทุกคนเห็นใจ ไร้ประโยชน์ แม่เศร้าซึมเมื่อฉันไม่ยินยอม สายตาญาติทุกคู่ก็คือศาลฎีกาที่ตัดสินพิจารณาความผิดมาที่ฉัน

แต่ท้ายที่สุดฉันถูกมัดมือและจูงให้กลับสู่อ้อมกอดเดิมที่ไม่เคยต้องการอยู่ดี เพราะว่าเมื่อเสร็จงาน แม่ที่เงียบขรึมอยู่แล้วจู่ๆ ก็ร้องไห้ขึ้นมาเมื่อลูกหลานจะลากลับบ้าน ทุกคนลงความเห็นว่าฉันควรอยู่ก่อน อยู่เป็นเพื่อนแม่อีกสองสามวัน เป็นสองสามวันที่แม่ได้แต่ร้องไห้ วิงวอนให้ฉันอยู่ ฉันคงเลวเกินไปถ้าไม่รู้สึกรู้สา

ยิ้มเศร้าให้กับตัวเองในทุกเช้า ที่นี่เต็มไปด้วยแรงผลักประหลาด ภูมิทัศน์, อากาศ, สังคม, หมู่บ้าน ราวถักทอเป็นที่คุมขัง มันจะต้องใช้เวลามากขนาดไหนกันที่จะหลอมรวมตัวเองให้เข้ากับที่นี่ได้ เพราะเพียงแค่คิดว่าตัวเองจะต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป…ฉันก็เริ่มกลัว…

แรกๆ แม่ก็คอยเอาอกเอาใจ หลังจากนั้นไม่นานแม่ก็ทิ้งฉันเอาไว้กับบรรดาสารพัดสัตว์ที่เลี้ยงไว้ในบ้าน สุนัขเพศเมียตัวหนึ่ง ชื่อ “นังลิ้นจี่” พันธุ์อะไรฉันไม่รู้จัก รูปร่าง สีขนก็ไม่บ่งบอกถึงลักษณะใดๆ แม้จะมาอยู่ด้วยหลายวันแล้ว แต่มันยังครางใส่ทุกครั้งที่ฉันเดินเข้าใกล้ พยายามผูกมิตรด้วยการเป็นคนนำอาหารไปให้ แต่นังลิ้นจี่ก็ไม่เคยสนใจ มันเพียงดมแล้วเงยหน้ามอง คล้ายไม่ไว้ใจแล้วเดินจากไป แม่หัวเราะขบขัน นอกจากสุนัขไม่ยอมผูกมิตรแล้ว แม่ยังมีไก่บ้านหนึ่งตัว ซึ่งเป็นไก่บ้านจริงๆ เพราะอยู่แต่ในบริเวณบ้าน มันเดินไปมาเหมือนทหารลาดตระเวน ราวกับทำหน้าที่คุ้มภัย มาใหม่ๆ มันเอียงคอจ้องมองดู พอเผลอมันก็เอาปากจิกไปที่นิ้วหัวแม่เท้าตรงเล็บ ฉันตกใจเผลอเตะมัน มันก็กระพือปีกถอยฉากไป ไม่นานมันก็กลับมาใหม่ เมียงๆ มองๆ พยายามเข้ามาในบ้านจนถึงขั้นเข้ามาในห้องนอน สบโอกาสก็ปล่อยมูลหยดแหมะเรี่ยราดให้ตามล้างเช็ดไม่หยุดไม่หย่อน มันชื่อไก่ติ๋ก แม่ฟักมันกับมือ มันจึงติดตามแม่ไปทุกที่

พบว่าตัวเองเป็นเพียงโทรทัศน์สักเครื่อง ที่แม่เปิดทิ้งไว้เพียงเพื่อให้รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่ได้สลักสำคัญอันใดในบ้าน แม่แค่เหงาแล้วดึงฉันกลับมาเพื่อให้มีคนมาเหงาเป็นเพื่อน และที่แย่กว่า บางเวลาถูกแม่ทิ้งให้อยู่บ้านโดยลำพัง ท่านไปสังคมในหมู่บ้าน ไปหาเพื่อนเล่นไพ่หรือแทงหวยเถื่อน หรือหายตัวเป็นวันๆ ไปเล่นออกเบอร์ในตลาดนัด ไม่เคยรู้สึกรู้สาถึงความเจ็บปวดที่ฉันยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อจะมาอยู่ด้วย

นานวันผันผ่านทุกอย่างดูไร้ค่าเหลือเกิน เพื่อนบอกให้หาอะไรทำเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน คนเคยทำงานทุกวัน มันจึงเป็นธรรมดาที่จะเครียดเพราะอยู่เฉยๆ การหางานใหม่ไม่ยาก เพียงแต่มันไม่ใช่งานเดิมที่เคยทำ นั่นเป็นเรื่องเศร้าอย่างแท้จริง เพื่อนพิมพ์บอกในแอพพลิเคชั่นไลน์ว่า อีกหน่อยก็ชิน ถ้าใครเอ่ยประโยคนี้ออกมา

ฉันจะรู้สึกสั่นสะท้านด้วยความหวาดผวา คำว่าชิน ฟังดูแล้วไม่ต่างอะไรกับการจำยอม

ชีวิตฉันเปลี่ยนไปเมื่อได้เจอกับเพื่อนเก่า เราเจอกันที่วัดประจำหมู่บ้าน ชัยวัฒน์เป็นฝ่ายมาทักฉันก่อน เขาบอกจำฉันได้ก็ตอนงานศพพ่อ แต่ไม่ได้ทักทายกัน เขาเปลี่ยนไปมาก จากเด็กชายตัวอ้วนขี้แกล้งประจำห้อง เป็นคนสูงโปร่งภูมิฐานด้วยท่าทีของนักการเมืองท้องถิ่น ชัยวัฒน์เป็นสมาชิกสภาเทศบาล หลังจากเจอกันที่วัดเราได้แลกเบอร์โทร.

เราติดต่อกัน เขาถามถึงสาเหตุที่กลับมา ฉันเล่าเรื่องราวตัวเองอย่างย่นย่อว่าจำต้องมา และตอนนี้ก็เครียดมาก แม้จะส่งสติ๊กเกอร์รูปหัวเราะ แต่เขาก็คงรับรู้ถึงความเครียดได้ ถามถึงงานของเขาบ้าง แต่เขาก็พูดมาพร้อมกันพอดีว่า ตำแหน่งงานที่เทศบาลว่าง มันเป็นตำแหน่งงานเล็กๆ แต่ถ้าไม่รังเกียจเขาก็ช่วยได้ ฉันไม่ตอบรับในทันที เพราะไม่ชอบงานราชการเป็นทุนเดิม แต่ไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

เมื่อความเบื่อและความเครียดคล้ายมีดจ่อคอหอยอยู่ตลอดเวลา เรื่องที่คุยกับท่าน ส.ท.หนุ่มก็เริ่มชัดเจนในหัว จึงนำไปคุยกับแม่ บอกกล่าวแกให้เข้าใจ แต่ปรากฏว่าแม่ไม่ชอบให้ไปทำงานในเทศบาล ไม่ชอบให้ไปยุ่งเกี่ยวกับชัยวัฒน์และเรื่องการเมือง แม่โวยวายขณะที่ฉันไม่เข้าใจ แม่ไม่อยากให้ฉันเป็นเหมือนกับพ่อ ฉันอธิบายว่าทำงานเทศบาลมันคนละเรื่องกับการเป็นนักการเมืองท้องถิ่นแบบพ่อ แต่แม่ก็พูดย้ำอยู่อย่างนั้นว่าไม่ชอบให้เป็นเหมือนพ่อ ฉันโกรธกับการไร้เหตุผลของแม่ จึงตะโกนถามกลับว่าเป็นแบบพ่อแล้วมันเป็นอย่างไร

“ก็ยุ่งกับการเมืองจนเต๊าต๋ายนะก่า” แม่บอกด้วยอารมณ์โมโห ฉันคิดและงุนงงกับคำพูดของแม่ตัวเอง การที่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองจนตัวตายแล้วมันคืออะไร พ่อจากไปเพราะโรคประจำไม่ใช่หรือ บ่อยครั้งฉันก็ไม่เข้าใจความหมายของคำเมืองเก่าๆ มากนักหรอก ขยับปากจะถาม แต่แม่ก็เดินหนีไปแล้ว

แต่ก็นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันทำ สมัคร สอบ และถูกบรรจุให้เข้าทำงาน ฉันบอกแม่ เพราะไม่อยากให้แม่รู้ว่าจะมาควบคุมตัวฉันเอาไว้ไม่ได้ ฉันเสียสละตัวเองที่กลับมาอยู่กับท่าน แต่ไม่ใช่เพื่อมาเป็นตุ๊กตาไขลาน แม่เพียงส่ายศีรษะแล้วไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น แต่สีหน้าที่แสดงออกมานั้นปวดร้าวด้วยความผิดหวัง

เริ่มงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการระดับปฏิบัติงาน ชัยวัฒน์ยังคอยให้กำลังใจเสมอ พาไปทำความรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่คนทำงานในท้องถิ่น ทุกคนยินดีที่ฉันซึ่งเป็นลูกสาวของพ่อได้มาทำงานในบ้านเกิด มีบางคนสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเรา ฉันได้แต่หัวเราะและบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน ซึ่งทุกคนในที่ทำงานก็บอกว่าดีแล้ว ชัยวัฒน์มีภรรยาและลูกสองคน ฉันก็เพิ่งจะรู้ในตอนนั้นเอง สีหน้าตกใจทำให้พี่ๆ ในเทศบาลแปลกใจ พลางคิดว่ามีเหตุผลอันใดหรือเปล่าที่ท่าน ส.ท.หนุ่มไม่พูดเรื่องครอบครัวให้ฉันฟัง แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจ ความจริงก็คือเราก็เพิ่งเจอกัน และฉันเองก็ไม่ได้ถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวของเขา มันอาจจะน่าแปลกใจเท่านั้นเอง

ทุกอย่างมันก็น่าจะดีตามครรลอง งานราบเรียบจนน่าเบื่อ แต่ก็รู้สึกว่ายังแปลกแยกจากที่นี่อยู่ดี แม้ไม่รู้สึกอะไร แต่ฉันก็ค่อยๆ เริ่มถอยห่างจากชัยวัตน์ ถอยห่างในแง่ที่ไปไหนมาไหนสองต่อสองเพื่อตัดปัญหาให้คนมานินทา แต่บอกความจริงว่าเพิ่งรู้ว่าเขามีภรรยาแล้ว ชัยวัฒน์หัวเราะเสียงดังบอกว่าอย่าคิดมาก ฉันได้ทีเลยถามเรื่องของเขาอีกสักเล็กน้อยว่า แต่งกี่ปี มีลูกหรือยัง เราคุยกันเนิ่นนาน ชัยวัฒน์เป็นผู้รับฟังที่ดี บางทีมันก็ดีที่ฉันกลับมายังมีใครที่เข้าใจฉันบ้าง

“แล้วทำไมรินยังไม่มีแฟน”

ฉันถอนหายใจ “ไม่รู้สิ ยังสนุกกับงานอยู่มั้ง” นั่นสิ ความโสดนั่นแหละคือความผิดพลาด หากว่าฉันแต่งงานแล้วก็คงไม่ได้มาที่นี่ แม่ก็คงไม่สามารถบังคับให้กลับมาได้ จู่ๆ ฉันก็เศร้าลงอย่างไม่มีสาเหตุ แต่ก็ฝืนหัวเราะออกมา

“ผมดีใจที่รินคิดกลับมาช่วยพัฒนาบ้านเรา” เขาพูดแบบนักการเมืองเต็มตัว แต่ฉันกลับหัวเราะให้ประโยคนั้น

“รินไม่เคยคิดแบบนั้น ไม่เคยมีความคิดแบบนั้นแม้แต่นิดเดียว” ฉันหัวเราะ ยิ่งหัวเราะไม่หยุดเมื่อเห็นสีหน้ามึนงงของเขา