ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 กุมภาพันธ์ 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | อาณาจักรใจ |
เผยแพร่ |
ร่างสูงๆ ในเสื้อขาวยับย่นเดินหายลับไปกับมุมโค้งถนน แค่ชั่วกะพริบตา ฉันก็เห็นเพียงดอกปัตตาเวียสีแดงเจิดจ้า และปวงดอกไม้ที่เบ่งบานตลอดสองฟากฝั่ง
มันเป็นทางเดินที่สวยเหลือเกิน คดเคี้ยวลาดลงไป พื้นสีเทาให้ความรู้สึกเยือกเย็น แต่กรวดหินและเหล่าของประดับตกแต่งก็ทำให้ทุกอย่างดูน่าพิสมัย…แต่ก็นั่นไง ทางที่นำฉันขึ้นมา และทางที่พา…คนจากไป
พี่ชื่อนล…เสียงนุ่มนวลยังก้องอยู่ในหู ร่ำๆ จะอยากเชื่อ เมื่อมองดูดวงตาที่กระตือรือร้นว่าจะพาฉันไป แต่ประสบการณ์ก็เตือนว่าอย่าโง่อีก ชีวิตมีแค่สองทางเลือกไม่ใช่หรือ
ไม่อยู่ที่นี่ต่อก็ตายซะ
อาจจะต้องขอบคุณที่ยังมีความชื้นเปียกอยู่ในหว่างขา ตราบใดที่สำนึกว่า ยังต้องหนีบโกเต๊กชุ่มๆ อยู่กับกางเกงในเปียกๆ อย่าได้ฝันหาวิมานอันใด
“แล้วนั่นเป็นอะไร! ยืนหยั่งกับคนปวดขี้”
อีพี่สร้อยสายละสายตากลับมาเหมือนกัน ดูโล่งอกโล่งใจที่คนแปลกหน้ายอมจากไปในที่สุด
“ประจำเดือนมา” ฉันตอบ
“อ้อ” นางกวาดตาดูจากหัวจรดเท้า “อย่าทำเลือดเลอะล่ะ จะลุกจะนั่งก็ระวังด้วย คนเขาจะรังเกียจ”
“วันนี้โกเต๊กคงมาใหม่แล้ว เดี๋ยวหนูไปซื้อให้” พะนาสอดเสียงขึ้น
“ทำไมต้องไปซื้อให้” อีพี่สร้อยสายถามทันควัน “ธุระใครก็คนนั้นจัดการสิ”
“เมื่อวานเลือดมาไม่รู้ตัว” ฉันเอ่ยปากออกไป “เดี๋ยวจะไปซื้อเองอยู่แล้ว”
“เอ๊ะ เดี๋ยว” อีพี่สร้อยสายทำหน้าคิดขึ้นมา “มึงมีแผนอะไรหรือเปล่า อีพี่ หาเรื่องไปซื้อของแล้วจะลักหนี นัดแนะกับอีนั่นใช่มั้ย”
ฉันคงไม่มีวันจะพูดกันรู้เรื่องกับนายจ้างคนนี้ จึงปิดปากเสีย เพราะต่อให้อธิบายยังไงก็ต้องโดนด่า ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“เอายังงี้ พะนา มึงไปซื้อให้มันแหละ ช่วงนี้ไว้ใจไม่ได้ งานการยังทำได้ไม่เท่าไหร่ มาลักหนีออกไปกูก็เดือดร้อน มึงเอาสตางค์ให้พะนาไป”
ไม่ต่อล้อต่อเถียงอีก ฉันล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกง ดึงเอามัดใบแดงออกมา อีพี่สร้อยสายเพ่งตาดู
“มึงมีสตางค์ติดตัวเท่าไหร่”
ฉันไม่ตอบ เพราะเท่าไหร่ก็เรื่องของฉัน
“มึงมีเงินติดตัวหลายใบเชียวรึ…หรือว่าลักยักเอาของร้านไปบ้าง”
ยิ่งพูดยิ่งทำให้ฉันเกลียดอีพี่สร้อยสายจับใจ สบประมาทซึ่งหน้าขนาดนี้
“เงินฉันเอง สะสมมา” ตอบไปห้วนๆ
แท้ก็มีแค่ไม่กี่ใบ และเพิ่งได้เพิ่มขึ้นจากคนแปลกหน้า
“อย่าให้กูรู้เชียว” อีพี่สร้อยสายชี้นิ้วใส่ “ใครขี้ลักขี้ขโมยกูจะส่งเข้าคอกหมด”
ประตูสวนดอกไม้เปิดพักใหญ่แล้ว นักท่องเที่ยวทยอยกันเข้ามาไม่ขาดสาย และสักครู่จะเริ่มมีคนเข้ามานั่งกินกาแฟ พะนารีบวิ่งลงไปซื้อผ้าอนามัยให้ อีพี่สร้อยสายสะบัดผม เดินเข้าร้านเพื่อจัดข้าวของต่างๆ ให้เข้าที่ และที่สำคัญ จะได้สั่งงานฉันเหมือนวันอื่นๆ
เลือดประจำเดือนยังคงไหลไม่หยุด และดูจะออกมากกว่าเดือนอื่นๆ ที่ผ่านมา หรือว่าเพราะมันยังมาบ้างไม่มาบ้าง ฉันไม่ค่อยแน่ใจ การมีประจำเดือนเป็นของใหม่ และทำให้เจ็บตึงไปหมดทั้งนมทั้งขา ขณะที่ปากไม่อยากกินอันใด ถึงเวลากินก็แค่กินพอให้ร่างกายมีแรงต่อไปได้
แล้ววันเวลาก็ผ่านไป อีกคืน อีกวัน ที่ฉันทำงานเต็มที่เต็มเวลาในร้านกาแฟ ตกค่ำก็กลับเข้าห้อง นอนหงายหน้าลืมตาดูฝ้าเพดาน จนไฟฟ้าดับก็หลับไปกับความมืด
จนวันหนึ่ง ที่มีเสียงมาเคาะประตู หลังกลับห้องได้ไม่นาน
“ใครเหรอ”
ไม่มีเสียงตอบ และฉันก็เริ่มระแวงขึ้นมา
“พะนาหรือ”
แน่แก่ใจว่า พะนาลงไปแล้ว และถ้าเป็นเด็กหญิงคงจะร้องบอกแล้วก่อนหน้า
ยังเงียบอยู่
ฉันพยายามมองหารูร่องที่จะมองลอดออกไป แต่ก็ไม่มี ในห้องยังไม่ทันเปิดไฟ เพราะใกล้ค่ำแต่ก็ยังไม่มืดจริง
เสียงเคาะอีก ใจเต้นขึ้นทีหนึ่ง
“ใคร ไม่บอกฉันก็ไม่เปิดหรอกนะ”
“พี่เอง รีบเปิดสิ”
แค่คำสั้นๆ แต่ฉันจำเสียงนั้นได้แล้ว ทันทีที่ประตูเปิด ก็เจอคนผมสั้นคนเก่า แต่วันนี้สวมสีดำทั้งชุด
“…คุณ”
อย่างรวดเร็ว คนตัวสูงผลุบเข้าประตูมา และดึงประตูปิดทันที
“…คุณมาได้ยังไง”
ฉันยืนหันหลังให้ประตูห้อง มองดูคนที่เปิดยิ้มกว้างให้
“ก็มาเที่ยวตามปกติสิ เหมือนคนอื่นๆ”
“ไม่ใช่…คุณยังอยู่ในนี้ได้ยังไง ยามเขาไม่ไล่ตรวจเจอหรือ”
“มีวิธีก็แล้วกันน่า” ยักคิ้วให้
แต่ฉันไม่สบายใจเลย รู้ว่าปัญหาจะต้องตามมาในไม่ช้า
“คุณกลับมาทำไม รู้มั้ย ถ้ามีคนมาเจอ”
“ไม่มีใครเจอหรอก ไม่ได้ออกไปเพ่นพ่านตอนนี้ พรุ่งนี้ค่อยไป”
“คุณมาทำไม”
“มารับน้องไง”
ฉันมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา มันอยู่นอกเหนือความคาดหวัง
ใช่…ฉันไม่คิดจะหวัง แม้บางครั้งก่อนหลับใหลจะมีภาพแผ่นหลังในเสื้อเชิ้ตสีขาวเดินห่างออกไป ฉันบอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า คนแปลกหน้าจะไม่มีวันหวนกลับมา
แต่หล่อนมา…
“ฉันไปไม่ได้หรอก” รีบพูดออกไป ทันทีที่หัวใจรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้น
“ฉันไปไม่ได้ พี่สร้อยสายไม่ยอมอยู่แล้ว”
“น้องไม่ต้องขอเขานี่”
ฉันเบิกตาอีก
“ขอไปดีๆ ไม่ได้ก็ต้องหนีไปเท่านั้นแหละ…ไปเถอะ ไปกับพี่”
ฉันไม่คิดเลยว่า จู่ๆ วันหนึ่ง จะมีคนมาบอกกับฉันถึงในห้องคับแคบว่า “ไปเถอะ…ไปกับพี่” ตลอดเวลาที่เร่ร่อนมานั้น ฉันยิ่งไว้ใจคนยากขึ้นเรื่อยๆ และมองเห็นเส้นทางแคบลงๆ ทุกวัน สิ่งที่มาถึงในตอนนี้มันคือโอกาสใหม่ หรือจะเป็นอีกครั้งที่ไปเพื่อโง่กว่าเดิมล่ะ?
“น้องไว้ใจพี่เถอะ” ร่างสูงเดินไปนั่งบนขอบเตียง
คนคนนี้มีขายาวมาก เช่นเดียวกับช่วงแขนและลำตัว ดูสูงเพรียวรับกับใบหน้าหล่อเหลา
ใช่…เป็นผู้หญิงที่เรียกได้ว่าหล่อ…มากกว่าสวย
“ฉันไม่ไป” ฉันสั่นหัว “ไม่เคยไปกรุงเทพฯ”
“กลัวหรือ” มองหน้ายิ้มๆ
“ไม่กลัว” รีบตอบ “ไปแล้วจะเดือดร้อนคุณ”
“โธ่เอ๋ย ห่วงตัวเองเสียก่อนเถอะ…พี่หวังดีกับน้องหรอก พี่สงสารน้อง อยากให้มีชีวิตที่ดีกว่านี้”
คนคนนี้เป็นนักสังคมสงเคราะห์หรือยังไง ฉันเจอมากี่รายแล้ว คนพูดคำใหญ่คำโต เว้นแต่แพรวพลอยกับนางฟ้าระริน ฉันบาดเจ็บมาตั้งเท่าไหร่
“ฉันไม่ไว้ใจคุณ”
“นั่นไง” อีกฝ่ายกลับพยักหน้า “พี่เข้าใจ เป็นพี่พี่ก็ระแวง…แต่เชื่อพี่เถอะ น้องควรได้เรียนหนังสือ ได้อยู่ในที่ๆ ดีกว่านี้”
“ที่นี่ก็ดีแล้ว มีงานทำ สิ้นเดือนก็จะได้เงิน” ฉันสวนออกไป
“แต่น้องยังเด็กมากนะ เฮ้อ พี่จะพูดยังไงกับน้องดี…อุตส่าห์กลับมาอีก น้องไม่อยากเรียนหนังสือหรือ”
ไม่รู้จะตอบคำใดออกไปในขณะนั้น…มันดูเลือนรางห่างไกลไปทุกวัน ภาพที่เคยฝันว่าตัวเองจะได้เข้าไปนั่งโต๊ะในห้องเรียนเหมือนคนอื่นๆ…
พูดตามจริง ฉันเกือบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ ความคิดวนเวียนอยู่แค่ว่า ขอให้มีงานทำ มีที่ซุกหัวนอน ขอให้ค่อยๆ เก็บเงินได้ และอย่างน้อยขอให้ได้ขีดเขียนอะไรๆ ลงในสมุดบ้าง
แค่อยากมีสมุด มีปากกา มีที่จดบทกลอนที่หลั่งไหลออกมาจากหัว เท่านั้นก็ยากมาเสมอ หวังจะได้เดินเข้าไปนั่งเรียนหนังสือสบายๆ นะหรือ…มันเป็นความฝันที่สูงเกินไป
เขาจะส่งฉันได้สักถึงไหน และถ้าบังเอิญฉันทำตัวผิดพลาดสักครั้ง ก็คงโดนเฉดหัวในไม่ช้า
“ขอบคุณมากนะ” ฉันมองหน้าคนที่ปรากฏกายขึ้นอย่างไม่คาดฝัน และพยายามจ้องมอง เหมือนนั่นคือหมอกควันกลุ่มหนึ่ง
“ฉันอยู่ที่นี่ได้”
เตียงลั่นทุกครั้งเมื่อมีการขยับตัว และเป็นอีกครั้งที่ฉันต้องร่วมห้องกับคนแปลกหน้า หากคืนนี้ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเตรียมตัวมาพร้อมกว่าครั้งก่อน เพราะเมื่อเปิดกระเป๋าเป้ที่สะพายหลังมา ก็มีทั้งไฟฉายตั้งขึ้นเป็นโคมไฟ ผ้าห่มผืนบาง และของกินอีกหลายอย่าง เอามาเรียงกลางสะลี
“พี่เอาขนมมาให้”
ฉันมองดูซองสีสวยๆ มีตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่อ่านไม่ออก
“บิสกิต” คนยื่นให้บอก
“ไว้รองท้องตอนหิวๆ ยี่ห้อนี้อร่อย กินกับนมก่อนนอนก็ได้”
“ฉันไม่ค่อยหิวหรอก” ตอบออกไป
“อะไร น้องทำงานทั้งวัน ดึกๆ ต้องมีหิวบ้างล่ะ”
ข้อนั้นฉันไม่ปฏิเสธ แต่ต่อให้หิวก็ไม่คิดจะสรรหาอะไรไว้กิน หนึ่ง เพราะไม่อยากจะใช้เงินกับของเปล่าประโยชน์ ถึงเวลากิน ถ้าจำเป็นก็กินให้อิ่มๆ ไว้เสีย สอง เงินทองเป็นของหายาก ฉันอยากเก็บไว้ใช้ในเรื่องที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น
ซึ่งยังไม่รู้เลยว่า มันจะได้พอ…วันไหน
“ชิมหน่อยไหมล่ะ” แต่ดูเหมือนคนที่หอบขนมมาจะคิดไปอีกอย่าง อาจคิดว่าฉันเกรงใจ จึงฉีกซองขนมให้ และคะยั้นคะยอต่อ “ระวังจะติดใจเชียว”
พอไม่รับก็ยื่นมาให้จนเกือบชิดปาก ขัดไม่ได้ จึงได้แต่พึมพำเบาๆ และรับมาขบชิมอย่างเสียไม่ได้
…ฉันไม่เคยกินขนมแบบนี้มาก่อนเลย มีความกรอบ หอม มัน และหวานเบาๆ เกือบเหมือนคุกกี้ที่ครูลินดาเคยทำมาให้
เกือบสะดุ้ง เมื่อชื่อนั้นผ่านวูบมาในความคิด
อะไรสักอย่างในตัวของผู้หญิงผมสั้นคนนี้ ที่ทำให้ฉันตงิดๆ อยู่ในใจ แต่คิดไม่ออก และพยายามไม่คิดต่อกับมัน ฉันนึกออกแล้ว
หล่อนมีอะไรบางอย่างเหมือนครูลินดา
“เออ เจอกันมาสองครั้งแล้ว พี่ยังไม่รู้เลยน้องชื่ออะไร…เห็นเรียกกันพี่ๆ แต่ฟังไม่ถนัดสักที”
อาจเป็นบุคลิกของหล่อน หรือท่าทีที่ดีกับฉัน เหมือนครูลินดาครั้งแรกๆ ที่พบเจอ
“คุณรีบกลับไปเถอะ” ฉันกระถดตัวห่างหล่อนทันที “ออกไปตอนนี้เลยก็ได้”
ตาของหล่อนดูสวยมากในแสงไฟฉายที่พกพามา แต่ฉันกลัวมันเสียแล้ว
“ไปตอนนี้ได้ยังไงล่ะ” หล่อนพูด “น้องเป็นอะไรน่ะ”
“อย่า!” ฉันปัดมือที่ยื่นมาหาแขน “ฉันอยู่ของฉันดีๆ อย่ามายุ่งกับฉัน!”