ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 ตุลาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รักคนอ่าน |
เผยแพร่ |
ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วเหมือนเพิ่งคิดได้ว่าแม่จากไปแล้วจริงๆ
จะว่าไปช่วงหลังมานี้เราก็ไม่ได้สื่อสารอะไรกันมาก และก็ไม่ได้ปุบปับฉุกเฉิน
แต่จะไม่บอกว่าสูญเสียก็คงไม่ได้
นาทีแสนแปลกคือตอนพยายามจัดมัดช่อดอกไม้ให้อยู่ในมือไร้ชีวิตของแม่
-ไม่สวยเลย-นี่คือความคิดที่แวบเข้ามาในหัว
ดอกไม้ดูเร่อร่า ใหญ่โต และผิดที่ผิดทางไปหมดเมื่ออยู่ในมืออันผอมเซียวของแม่ นิ้วเล็กๆ นั้นดูเปราะบางไม่ต่างจากก้านพืชอ่อนเยาว์
ความหวังทำร้ายคนได้ยับเยินขนาดนี้
หรือจะให้ถูก คงต้องเรียกว่าความสิ้นหวังนั่นละ
เราต่างดำเนินชีวิตเรียบเรื่อย เส้นกราฟชีวิตคงเป็นแค่คลื่นอ่อนๆ ดั่งแรงกระเพื่อมของหยดน้ำในทะเล แต่ความหวังนั้นพัดให้เส้นกราฟพุ่งขึ้น แรงดึงดูดจากดวงจันทร์งดงามดึงระดับน้ำขึ้นสูงเหมือนจะแตะนวลของจันทร์ได้
แต่ก็ไม่ได้, ความจริงเป็นเช่นนี้เสมอ
แต่คนเราก็ยังหวัง
ฉันคิดซ้ำไปมา ว่าหรือนี่คือผลตอบแทนของการยอมรับความจริง ทึบทื่อ ราบเรียบ ไม่ระยิบวิบวาวเช่นความฝัน และไม่อาจหล่อเลี้ยงหัวใจได้อย่างนั้น
ฉันคิดว่า, หรือที่จริงแล้ว ฉันเป็นคนที่ทำให้ความตายของแม่มาถึงเร็วเกินควร
แม่เหมือนจะครอบครองอะไรมากมายในชีวิต แต่ครั้นเอามาแยกดูกันจริงๆ แล้วก็แทบจะไม่มีอะไรถาวร การลงทุนดีที่สุดที่แม่ทำ คือการลงทุนกับตัวเอง ดูแลตัวเอง ควบคุมอาหาร รักษาสุขภาพ ลงทุนกับฉันให้มั่นใจได้ว่ายังไงแม่ก็จะมีหลักให้เกาะยึด ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่แปลกอะไร คุณจะคาดหวังอะไรกับชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ลาออกจากงานทันทีที่มีลูก ไม่มีงานประจำ ไม่ได้เอาความรู้ที่ร่ำเรียนมาใช้ทำมาหากิน แบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งให้กับลูกคนโต ความฝันในชีวิตคืออีกยี่สิบสามสิบปีต่อมา จะยังแข็งแรงพอเก็บดอกผลที่งอกเงยจากทุนที่ได้ลงไป ได้เป็นที่รัก ได้ใช้ชีวิต
ฉันเป็นคนไร้ฝันมาแต่ไหนแต่ไร อาจเพราะการเติบโตมาแบบไม่จำเป็นต้องพึ่งพาฝัน ความจริงมันอยู่ตรงหน้าให้เราเห็นทุกวี่วัน ความฝันเป็นเรื่องเสียเวลา ฉันไม่เคยคิดอยากเป็นอะไร หรืออยากทำอะไรเป็นพิเศษ เพราะรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าฉันต้องดูแลแม่ ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม
ความจริงของฉันคือแม่ แต่ความฝันของแม่ไม่มีฉัน
พูดอะไรแบบนี้ออกจะนอกรีตและไม่โรแมนติกเสียเลย แต่ความโรแมนติกไม่ได้ถูกติดตั้งมากับการเป็นมนุษย์ สัญชาตญาณการมีชีวิตต่อไปต่างหากที่ใช่ ตัดเรื่องรักๆ หวานๆ ออกไปแล้ว ชีวิตก็เหลือแค่ปัญหาให้เราแก้ไขอย่างที่เห็นมันเป็นปัญหาจริงๆ ไม่ใช่บทเรียนสอนใจ ไม่ใช่ประสบการณ์ชีวิต
แต่ก็นั่นละ, ถ้าชีวิตฉันถูกรดด้วยความจริง ชีวิตแม่ก็ติดตา แตกกอ และถูกค้ำจุนด้วยความฝัน แม่อดทนรอให้ถึงวันที่จะมีครบทุกอย่าง เงิน เวลา ชีวิต
แล้วก็เหมือนเรื่องเล่าทุกเรื่อง นั่นคือมันต้องมีจุดหักมุม
ฉันยังจำช่วงเวลาที่ขับรถพาแม่ไปโรงพยาบาลทุกวันได้ ไปทั้งที่ไม่มีนัด ไม่มีเป้าหมาย ไปทุกชั้น ทุกหมอ ทุกแผนก เพื่อขออะไรซักอย่างกลับมา อะไรก็ได้, แม่บอก
อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สิ่งที่แม่กำลังเป็นอยู่
ความซึมเศร้าและความคิดร้ายๆ ยังเอ่อตัวอยู่ไม่สูงนัก แม่ยังพอประคองตัวลอยคออยู่ได้ด้วยความหวังว่าที่จริงแล้วแม่อาจจะแค่มีปัญหาสายตา อาจจะแค่ปวดไขข้อ อาจจะเพราะเปลี่ยนหมอ อาจจะมีเส้นเลือดไม่รักดีซักเส้นที่ดื้อดึงหลุดจากการควบคุมของแม่ แอบโป่งพองเบียดเพื่อน ซึ่งถ้าเพียงหมอจะตัดมันทิ้ง ความราบรื่นในชีวิตก็จะหวนคืนมา และแม่จะได้มุ่งหน้าสู่ความฝันต่อไป
พร้อมๆ กับที่พากันไปโรงพยาบาล ความเครียดระหว่างสองเราก็สูงขึ้น แม่หล่อเลี้ยงชีวิตด้วยความฝัน
ในขณะที่ฉันเห็นแต่ความจริง
แม่โกรธที่ฉันไม่ร่วมฝันไปกับแม่ และฉันก็โกรธที่แม่ไม่ยอมรับความจริง
-ยอมรับซะ จะได้ค่อยๆ ประคองชีวิตไปต่อ กับอะไรก็ตามที่ชะตากรรมเหลือทิ้งไว้ให้- ฉันคิดเช่นนี้
แต่มันไม่ใช่สิ่งที่แม่ต้องการ ผู้หญิงดื้อๆ แบบแม่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
แต่พอถึงจุดหนึ่ง ที่แม่ขับรถที่ไปซื้อมาเองอีกคัน เพราะคันอื่นโดนฉันเก็บกุญแจไปหมดแล้ว แม่จะไปธนาคาร ไปโอนเงินทุกบาททุกสตางค์ในทุกกองทุนมาดูแลเอง แม่ไม่ไว้ใจฉัน แม่วางใจในความฝันของตัวเองมากกว่า แต่แม่ก็ไปได้ไม่ถึงไหน
รถน่ารักสวยสดคันใหม่ของแม่ยังถอยไปไม่พ้นประตูบ้านด้วยซ้ำไป ตอนแม่ชนมันเข้ากับประตูบ้านและยับเยินอยู่ตรงนั้น
นั่นละจุดเปลี่ยน
แม่เห็นความจริง
และฉันเริ่มขายฝัน
ขับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร, เดินเร็วไม่ได้ก็เดินช้าลง, นึกคำไม่ออกก็ช่างมัน สารพัดคำปลอบที่ฉันส่งต่อให้กับแม่ แม่ยังมีอะไรเหลืออยู่ แม่ยังมีชีวิตให้ใช้ ยังมีฉัน มีน้อง มีโลกข้างนอก มันอาจจะสนุกน้อยลง ไม่แวววาววิบวับอย่างที่แม่เห็นในห้วงฝัน แต่มันก็ยังพอใช้ได้
แต่มันไม่พอหรอก
คุณจะบอกให้คนที่ฝันมาสามสิบสี่สิบปีได้ยังไง ว่าฝันนั้นเป็นไปไม่ได้ และที่เป็นไปไม่ได้ เพราะโรคบ้าๆ โรคหนึ่งที่เล็ดลอดความระมัดระวังทุกอย่างแล้วลอบจู่โจม
นั่นละ ที่แม่ฉันเริ่มใฝ่ฝันถึงความตาย
ทุกวัน ทั้งวัน ทุกห้วงหายใจ
ไม่พยายาม ไม่มีอะไรให้แม่รออีกต่อไป
ไม่ใช่ฉันที่แม่รอ
โรคซึมเศร้าที่อยู่ข้างเคียงแม่ตั้งแต่ยังสาว
เป็นผู้ชนะไปในท้ายที่สุด
และทั้งที่พนมมือว่าตามคำส่งแม่ไปไหว้พระ สมองดื้อๆ ของฉันก็ยังแอบคิดค้านคำที่กำลังพูดออกจากปาก
แม่ไม่ชอบไปวัด แม่ไม่ชอบไหว้พระ และดอกไม้ที่จะเอาให้แม่ไปไหว้พระนี่ก็ไม่สวยเสียเลย
ความฝันมากมายเหลือแค่ดอกไม้ไม่กี่ดอกเท่านั้นเอง
“เป็นธรรมดาชีวิตคนเรา” แม่บอกกล่าว เมื่อคราวฉันร้องไห้ในอ้อมกอดท่าน “ลองนึกถึงดอกไม้ที่ปลูกไว้ ในแต่ละปี มันมีคติสอนใจ ว่าคนเรานั้นไซร้ต้องแห้งเหี่ยว ร่วงโรย หยั่งราก งอกเงย แล้วจึงผลิบาน”*
เป็นธรรมดาชีวิตคนเรา
ฉันเคยบอกแม่เช่นนี้ เพราะแม่ไม่เคยบอกฉัน
ความจริงของแต่ละคนมีหนทางของตัวเอง
“ในมือเธอมีดอกทานตะวัน” (The Sun and Her Flowers) เขียนโดย Rupi Kaur แปลโดย พลากร เจียมธีระนาถ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 โดยสำนักพิมพ์ Her Publishing, มีนาคม 2562
*ข้อความจากในหนังสือ