ทวีปที่สาบสูญ : พี่จะพาไปเรียนหนังสือ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดคิดถูก ที่สุดท้าย…ก็เชื่อในบัตรประชาชนที่คนคนนั้นยื่นให้ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว

“เอาไว้เลยมั้ย พรุ่งนี้ค่อยคืน จะได้หายระแวงกัน”

ใบหน้าที่มองตรงมาในบัตร ก็ยังคงเค้าหน้าแจ่มชัด และดูมีสง่าราศีทั้งที่เป็นแค่ภาพขาวดำ

“ไม่เป็นไรหรอก คุณลองอยู่ก็แล้วกัน” ฉันดึงมือกลับมา

หน้าขาวๆ มองอย่างหยั่งเชิง

“แน่ใจจริง?”

ฉันแค่พยักหน้า ถึงอย่างไรตอนนี้ฟ้ารอบด้านก็มืดลงทุกที และต่อให้ออกไปตอนนี้ คนคนนี้คงจะออกจากสวนไม่ง่ายแล้ว ดีไม่ดีฉันจะมีความผิดตามไปด้วย

พี่สร้อยสายบอกไว้ว่า ถ้าอยู่แต่ในที่พัก จะไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายได้ แต่ไม่รับประกันอันใด หากดึกดื่นค่ำคืนแล้วยังเตร็ดเตร่ออกไป

ตั้งแต่สิบโมงกลางคืนเป็นต้นไป ในสวนนี้จะตัดไฟ เหลือไว้แค่บางจุดสำคัญเท่านั้น และถ้ามีคนลักเข้าลักออก จะเข้าคอกสถานเดียว

“งั้นเก็บนะ”

มือขาวเก็บบัตรเข้ากระเป๋าสตางค์ มือนั้นดูเรียวยาว ปลายเล็บสะอาดสะอ้าน เฉกเช่นมือของคนที่ไม่ได้ทำงานหนักทั่วไป

ต่างจากมือของฉัน

แค่ล้างแก้วกาแฟมาไม่กี่วัน หนังปลายนิ้วก็ลอกมากขึ้นเรื่อยๆ เล็บมือมีแต่กลิ่นน้ำยาซันไลต์ และยิ่งในวันที่เลือดประจำเดือนหลั่งไหลอย่างนี้

ฉันมีแต่กลิ่นสาบคาวไปหมดทั้งตัว

“น้องง่วงหรือยังล่ะ ปกตินอนกี่โมง”

“ไม่รู้กี่โมง…” ฉันตอบ “…แต่เดี๋ยวไฟก็จะตัดแล้ว”

อีกครั้ง ที่ความพิศวงสงสัยปรากฏในตา จนฉันเป็นฝ่ายคิดได้ ที่ข้อมือขาวนั้นคาดสายนาฬิกา ขณะที่ตัวฉันไม่มีอะไรช่วยนับเวลา รู้แค่ว่า เมื่อตีนฟ้าเริ่มยกก็ต้องตื่น มืดลงคือกลางคืน ส่วนกลางวัน จะรู้เที่ยงรู้บ่ายก็จากการมาการไปของนักท่องเที่ยว

และท้องที่ร้องหิวโหย

…เขาคงไม่เข้าใจ

พลันก็รู้สึกหวิวๆ ขึ้นมาอีก เหมือนการพูดคุยกับคนแปลกหน้ายิ่งทำให้ร่างกายล้า อยากจะนอนลงเต็มที

“…เดี๋ยวคุณจะนอนด้านไหน” เอ่ยปากถามออกไป

“นอน?…อ๋อ” อย่างนึกได้ “ยังไงก็ได้ ยังไม่ง่วงเลย…น้องง่วงแล้วหรือ”

“เพลีย…” ฉันพูดตามจริง

“น้องไม่สบายนี่ งั้นนอนไปก่อนเลยนะ…อ้อ เดี๋ยว ต้องปิดไฟใช่มั้ย”

“เดี๋ยวไฟจะดับเอง”

“อ้อ…” นิ่งไปพักหนึ่งก็พูดขึ้นอีก “น้องอยู่ได้ยังไงแบบนี้ อยู่คนเดียวเสียด้วย”

ยังไม่ทันจะตอบ ไฟก็ดับลง

 

ในห้องกลายเป็นที่มืดอันกว้างขวาง ฉันนั้นเริ่มปรับตัวได้แล้ว ต้องรอสักพัก สายตาก็จะค่อยๆ ปรับชิน และมองเห็นสิ่งต่างๆ ในความสลัวราง แต่อีกคนแปลกหน้า ดูจะตกใจมาก

“เฮ้ย ดับจริง”

“ก็ใช่นะสิ” ฉันตอบ

“นี่กี่โมง”

“ก็คงสี่ทุ่มละมั้ง…คะ” ฉันตอบ

“ไม่ใช่ ยังไม่สองทุ่มเลย” อีกฝ่ายพูดกลับมา

ฉันไม่รู้จะพูดอะไร

 

เป็นความรู้สึกแบบไหนกัน ยามที่ล้มตัวลงนอนเคียงข้างกับคนแปลกหน้า ซึ่งการขยับตัวอย่างระมัดระวังของอีกฝ่าย ก็ทำให้รู้ว่า คงไม่หลับง่ายๆ

แต่ร่างกายของฉันล้าอ่อนเต็มที มีแค่สมองที่ตื่นอยู่ หรืออาจเพราะยังมีสัญชาตญาณระแวงภัย

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันผจญภัยไปกับผู้คนที่ไม่รู้จัก

แต่หลายๆ ครั้งที่ชีวิตผ่านมาจนถึงบัดนี้ ฉันควรจะไว้เนื้อเชื่อใจใครอยู่อีกหรือ

ไม่มีคำตอบ

จมูกได้กลิ่นหอมอ่อนๆ รวยรินมาจากคนที่นอนหงายนิ่งข้างๆ ทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำเลยสักหน่อย ผู้ดีมีเงินนี่ช่างดีแท้ ตัวขาวตัวใส ไม่ต้องล้างหน้าสีฟันก็ไม่มีกลิ่นเหม็นอันใด

แต่เตียงก็คับแคบเหลือเกิน นอนคนเดียวไม่เป็นไร พอมีคนตัวใหญ่อีกคนขึ้นมานอนด้วย

ฉันต้องพยายามที่สุด จะไม่ให้ไปโดนตัว

เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง รู้สึกอึดอัดอย่างไรก็บอกไม่ถูก ทั้งที่ร่างกายเหมือนจะไร้น้ำหนักลงทุกที ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจถามออกไป

“คุณอยากรู้อะไรเหรอ”

อีกคนยังไม่ได้ตอบ

“อยากมานอนที่ลำบากๆ แบบนี้ทำไม”

เงียบนิ่งไปพักหนึ่ง กว่าเสียงถอนหายใจจะดังขึ้น

“พี่ไม่เคยเจอชีวิตแบบนี้เลย”

ฉันไม่เข้าใจถ้อยคำนั้น

“…ไม่น่าเชื่อเลย เด็กอย่างน้องจะเก่งขนาดนี้…จะอยู่อย่างนี้ได้”

 

ฉันลืมตามองฝ้าเพดาน ซึ่งไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความมืด แต่จู่ๆ ก็เหมือนคำพูดนั้นเสียดเข้าไปเขย่าสิ่งที่ตกตะกอนอยู่ข้างใน

“ชีวิตจะต้องดีขึ้น…มันต้องดีกว่านี้แน่”

มีกี่ครั้งที่ฉันพยายามพูดกับตัวเอง และหลายหน หลายคนก็พูดกับฉัน แต่ทั้งหมดทั้งปวงก็ไม่เคยก้าวหน้าห่าเหวอันใด

สุดท้ายของสุดท้าย ฉันก็หลงวนอยู่ในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอก นอนในที่สับปะรังเคซอมซ่อ มีสตางค์ติดตัวแค่ไม่กี่ใบ หนำซ้ำ ยังถึงขนาดต้องนุ่งกางเกงในเปียกๆ อยู่แบบนี้

“อ้าว…เป็นอะไร”

ฉันพยายามแล้วที่จะห้ามตัวเอง แต่น้ำตาชาติหมามันก็ทรยศสิ้นดี คัดจมูกขึ้นเรื่อยๆ ฉันหายใจเข้าแต่ก็ยิ่งตีบตัน ตาเปียกชื้น แต่ยิ่งตั้งใจจะควบคุมมันไว้ กลายเป็นว่าน้ำตาปะทุมาจนท่วมท้น

ฉันพลิกตัวหันหลังให้คนร่วมเตียงทันที แต่อีกฝ่ายกลับลุกพรวดขึ้นนั่ง

“น้องร้องไห้หรือ”

ฉันไม่มีความจำเป็นต้องตอบ และฉันไม่อาจตอบได้

รู้ตัวว่าไหล่คงสั่นสะท้าน ฉันจิกนิ้วกับอุ้งมือตัวเอง จะกดให้เจ็บๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเจ็บเท่าข้างในใจอีกแล้ว

มีต้นน้ำตาอยู่ต้นหนึ่ง

แตกผลิเติบโตอยู่ในฉัน

เคยคิดว่าแค่รากสั้นสั้น

นับวันยิ่งหยั่งลึกชอนไช

เลาะเลื้อยไปจนทั่ว

ใต้ผิวอันมืดมัวและหมองไหม้

ดูภายนอกไม่เห็นสิ่งใด

ภายในคงใกล้ผุพังเต็มประดา

ฉันทุกข์ทรมาน

กับการพยายามไปข้างหน้า

บาดเจ็บอยู่ตลอดเวลา

ชีวิตสำมะหาสำคัญอันใดอีก

ฉันอยากตัดมันทิ้ง

กรีดทุกสิ่งให้ขาดฉีก…

“น้อง…”

มือของคนแปลกหน้าตะปบบนไหล่ และพยายามพลิกฉันให้หันหา

“น้องเป็นอะไร”

“ไม่ต้องมายุ่งกับกู!” ฉันตวาดออกไป

 

ความเงียบยิ่งกว่าเงียบเกิดขึ้นหลังนาทีนั้น คนแปลกหน้าลุกขึ้น รีบลงไปยืนอยู่ข้างเตียง ส่วนฉันก็ผุดลุกขึ้นนั่งเหมือนกัน

“…เอ้อ พี่ขอโทษนะ” ดูน้ำเสียงดูตะกุกตะกัก

“…พี่ขอโทษที่รบกวน”

ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับไปกลับมา ฉันได้สติขึ้นมาเองบ้าง พูดออกไป

“คุณออกไปไม่ได้หรอก ข้างนอกยิ่งมืด”

“พี่ไม่น่ามารบกวนน้องเลย”

ไม่มีใครรบกวนฉันหรอก ฉันอยู่ในคุกคอกที่ขังตัวเองไว้ก็เท่านั้น

เตียงไหวยวบ เมื่อคนแปลกหน้ากลับลงมานั่งข้างๆ

“น้อง พี่ชื่อนลนะ พี่แค่…พี่แค่สงสารน้อง”

สงสารน้อง…คำพูดนั้นยิ่งเหมือนหอกดาบกรีดแทงเข้าไปจนแทบตัวสั่น ฉันได้รับความสงสารเห็นใจมากี่ครั้ง ทุกครั้งก็แค่ลมพ่นออกปาก

อย่างที่นังตัวร้ายก็ทำกับฉัน

“ถ้าน้องอยากทำงานที่ใหม่…ไปอยู่กับพี่มั้ย”

ฉันยังไม่อยากฟังอะไรมาก น้ำตาทะลักหลั่งลงมาอีกแล้ว ในหัวมีแต่บทกวีที่เรียงราย

ฉันต้องจดจ่อกับมันไว้ เพราะมีแค่สิ่งเดียวที่ฉันพอจะควบคุมได้

ตัวหนังสือของฉัน

แต่อยู่ดีๆ คนแปลกหน้าก็ขยับขึ้นมาบนเตียงอีก แล้วดึงเอาตัวฉันเข้าไปกอดไว้

กอดเร็วและมั่นคงจนไม่ทันสะบัดตัวออก

“พี่สงสารน้องจริงๆ นะ…พี่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เลย น้องไปกรุงเทพฯ กับพี่มั้ย พี่จะพาไปเรียนหนังสือ”