เรื่องสั้น | วันหนึ่งของเธอ (จบ)

พ้นจากจุดอลหม่าน ห่างออกมาได้สักพัก แม่น้ำก็ปรากฏให้เห็นเต็มตา เธอเลี้ยวขวาไต่ขึ้นสะพานโค้งโดยไม่มีจุดหมายใดชัด เธอเลือกทิศนี้เพื่อสนองตามจิตใต้สำนึกที่คล้ายสะกิดบอกเธอ เดินไปพลางแหวกพลาสติกหุ้มก้อนเนื้อมันเยิ้ม ด้วยความหิวโหย เธอพยายามฉีกทึ้งมันด้วยคมเขี้ยว สะบัดเหวี่ยงหัวจนได้เนื้อเหนียวเย็นชืดเค้ากลิ่นสาบติดปาก เธอเคี้ยวมันอย่างฉุนเฉียว กรามนูนเป็นสัน รับรสเฝื่อนคาวและคราบไขติดเพดานปาก เธอกลืนลงไปช้าๆ อย่างฝืดคอ แทะชิ้นเนื้อไปทีละคำ

อาหารตกถึงท้องช่วยให้มองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความโล่งอก เธอทอดสายตายังทิวทัศน์ทั้งสองฝั่งฟากแม่น้ำจากบนสะพาน ตึกสูงเป็นกระจุกซ้อนเหลื่อมหลายชั้นหลายระดับ อาคารบ้านเรือนลดหลั่นแผ่ออกไป กลุ่มควันดำบ้าง ขาวบ้างลอยสูงประปรายหลายจุด ที่เห็นอยู่ไกลๆ พวยควันสีเทาเหมือนลอยนิ่งอยู่ที่เดิม อีกจุดใกล้เข้ามาควันพองตัวหนาเป็นขยักแล้วกระจายสูงสลายตัวไปอย่างวิจิตร

เธอย่ำไปบนพื้นคอนกรีต เสียงฝีเท้าดังอย่างเปล่าเปลี่ยว เธอหันมองแม่น้ำสีเทาทอดลำคดเคี้ยวจากส่วนลึกของแผ่นดิน พอถึงจุดสูงสุดของโค้งสะพาน เธอตรึงเท้านิ่ง ห้วงคิดจดจ่ออยู่กับความโล่งว่างรายรอบ ตัวเธอกระจิริดอยู่ท่ามกลางแผ่นฟ้าโอฬาร ความสูงของจุดที่ยืนยังทำให้มองเห็นทิวทัศน์ของเมืองในส่วนที่ห่างไกล ทุกสรรพสิ่งดูนิ่งงันเป็นอัมพาตไปหมด มันขับเน้นความรู้สึกภายในบางอย่าง แม้จะตึงท้องหลังกินอาหาร แต่เธอกลับรู้สึกตัวโหวงเหมือนอวัยวะภายในหายไป เหลือแค่ผิวหนังห่อหุ้มจับกระดูก เธอสัมผัสรับรู้ถึงการสูญเสียอันใหญ่หลวง ทว่าไม่อาจระบุสิ่งที่สาบสูญ มีแต่ภาพที่ไม่อาจเข้าใจได้คอยแวบเข้ามาในสมองดุจสายลมวูบ ดับเปลวเทียนริบหรี่ของความทรงจำ

ฟ้ามืดมัวลง ลมเย็นหอบกลิ่นชื้นไอฝนลอยมา ลมโกรกแรงขึ้น ครู่ต่อมาก็โบกพัดเหมือนชำแรกทะลุผิวกายจนเธอสะท้าน สายลมพัดหวนไปหวนมา ผมสยายป่ายเปะปะตามซอกคอและแก้ม เศษขยะและถุงพลาสติกปลิวกราว เธอขยับไปต่อ สะพานลาดลงดูชัน เธอก้าวเท้าเหมือนดิ่งลงไป ลมกระโชกดั่งพายุเข้า ท้องน้ำเบื้องล่างเป็นสีดำทะมึน แรงลมยิ่งโหมเหมือนจะพัดขาเธอลอยจากพื้น ยากจะทรงตัวยืนอยู่ได้ เสียงอื้ออึงรอบๆ ผนวกกับสายลมที่ปะทะ กระตุ้นความรู้สึกบ้าบิ่น สายลมกลายเป็นสิ่งวิเศษอัศจรรย์ มันทะลุทะลวงทุกสิ่ง พยายามฉีกร่างเธอพร้อมกับส่งเสียงหวีดหวิดก้องในหู ทั้งชวนให้เสียวว่ามันจะหอบพาเธอลิ่วไป เธอเริ่มสนุกกับการต้านแรงลม เกิดอารมณ์คึกคักขึ้นมาทันใด เธอทิ้งน้ำหนัก ปล่อยตัว แขนขาวูบสะท้านขณะยันตัวไปข้างหน้า มันชวนหฤหรรษ์มากกว่าน่าหวาดหวั่น มวลอากาศพุ่งเข้าใส่ด้วยพละกำลังมหาศาล บิดลำตัวเธอไปข้างหลังพร้อมกับกระหน่ำทุบอกจนหายใจแทบไม่ไหว

เธอโซเซไปถึงปลายสะพานโดยแคล้วคลาด สักพักต่อมาลมก็สงบเหมือนถูกล่าม ท้องฟ้าเปิดและอากาศแจ่มใสขึ้น เธอลงจากสะพานมายืนอยู่กลางถนน ณ อีกฟากของเมืองที่กั้นด้วยแม่น้ำ สถานที่ใหม่อีกแห่งที่เธอไม่รู้จัก

เธอไม่เร่งร้อนก้าวเดิน รู้ตัวว่าช่องว่างระหว่างการรู้สึกตัวกับสูญสติกำลังแคบเข้ามา เธอรอให้แน่ใจว่ามันจางหาย ยืนอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ริมทางจนเส้นประสาทของเธอค่อยมั่นคงขึ้น แล้วจึงตระเวนไปต่อ ลากเท้าก้มมองพื้นดั่งจะสะกดรอยสิ่งต่างๆ ที่ล้ำหน้าเธอไป ตอนนี้เธอเท่ากับศูนย์ จึงต้องตามเก็บมันให้ได้ เธอต้องคิดอย่างเอาจริงเอาจังกับอะไรบางอย่าง พยายามจดจ่อกับจุดเล็กๆ ที่รบกวนใจเธอ

“ไม่เป็น มีนา ฉันมีนา เป็น มีนาคม ไม่เป็น มีนาคม” สมองทึบตันของเธอเค้นคำเหล่านี้ผุดขึ้นมาอีก มันแผ่ขยายกินพื้นที่ข้างใน แต่คว้าจับอะไรไม่ได้ เธอวิงเวียนและอึดอัดเหลือที รีบย่ำเท้าหนีจากมัน

หนูตัวหนึ่งยกขาหน้าขึ้นกลางถนน พอเห็นเธอมันก็ปรูดไปที่ท่อระบายข้างทาง ตรงที่ซอมบี้ตัวผอมเก้งก้างนั่งคู้พิงเสาไฟอยู่ ศีรษะเกรียนห้อยอยู่ระหว่างหัวเข่า ใบหน้าเซียวและเฉยชามองตามเธอ เธอไม่สนใจ เบนตาไปทางอื่น ก้าวเท้าต่อไปเรื่อยๆ เมืองทอดตัวอยู่รอบด้าน เธอผ่านย่านเมืองเก่า อาคารตึกแถวก่ออิฐสองชั้นคูหาเล็กๆ เรียงไปตามโค้งถนน เดินได้สักพักก็ล่วงเข้าสู่เขตจัตุรัสเก่าแก่ ถัดขึ้นไปเป็นหย่อมหญ้าเขียว มีสวนสาธารณะขนาดย่อมตั้งอยู่

เธอเดินเลียบขอบสนามซึ่งหญ้ารกเต็ม บางหย่อมสูงเป็นพง ลานตรงกลางเป็นสนามเด็กเล่น มีเครื่องเล่นสามสี่อย่าง ถังลอดผุๆ กระดานลื่นส่องประกายจ้า ชิงช้าตั้งเรียงแถวคู่กับกระดานหก ครั้นเธอขยับขึ้นไปบนสนามหญ้า จึงเห็นซอมบี้มอมแมมตัวน้อยเดินอยู่สะเปะสะปะ ยังมีร่างเล็กๆ หลายร่างบนไกวชิงช้านั่งอยู่เคียงกัน ไม่มีการเล่นสนุก ไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าววุ่นวาย ต่างพากันนั่งนิ่งมือกุมสายโซ่ ใบหน้าเรียงสลอนล้วนเงียบกริบ ตาโตเบิกกว้างมองอย่างโหยหามาทางถนน ดั่งจะรอใครมาผลักชิงช้าให้โยกไกว

เธอลัดเลาะตามริมทาง หญ้าใต้ฝ่าเท้าเบียดเสียดกันหนาแน่น เธอชอบสัมผัสของมัน สูดกลิ่นหอมเอียนจางๆ ที่ลอยขึ้นมา ถึงสุดสนามเธอก็กลับลงไปที่ถนน ตั้งใจรักษาเส้นทางเดิมไว้ แล้วสืบเท้าต่อขึ้นไปตามทางผ่านตลาดร้าง ตรงทางเข้าหน้าตลาดมีเวทีทำจากแผ่นกระดานปูถังน้ำมัน ใต้เวทีซอมบี้ตนหนึ่งง่วนกับการทำอะไรบางอย่างกับขาตัวเองในความมืด เธอก้าวเท้าพาตัวออกห่าง รู้สึกสังหรณ์เข้มข้นตามลำดับ เธอต้องไปไหนสักที่ มีใครสักคนต้องตามหา ไม่ว่าจะเป็นอะไรเธอต้องยึดเหนี่ยวมันไว้ให้ได้ เธอมุ่งหน้าเดินเลียบตึกแถวสู่หัวมุมถนนโดยไม่ลังเล

พ้นมุมตึก เธอก็เห็นอะไรจริงๆ ร่างตะคุ่มไวๆ เคลื่อนไหวอยู่โพ้นข้างหน้า เธอชะเง้อมองอย่างคาดหวัง ใจร้อนขึ้นมา เธอเร่งฝีเท้า ไม่ยอมให้ตัวเองถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีก พอขึ้นมายังสะพานข้ามคลองแคบๆ สายหนึ่ง เธอเห็นร่างโดดเดี่ยวของซอมบี้ที่ลากเท้าเดินอยู่ชัดขึ้น

วาบความคิดแล่นเข้าสู่หัวเธอเหมือนกลิ่นฉุนแรงพุ่งเข้าจมูก เธอนึกได้ทันทีว่า ตามซอมบี้ร่างป้อมตันตนนี้มาแต่เริ่ม ถึงแม้จะจดจำเวลาไม่ได้ว่านานแค่ไหนหรือเพราะเหตุใด นั่นไม่สำคัญเท่ากับเธอสัมผัสได้ถึงเจตนาอันแน่วแน่ของตนเป็นครั้งแรก มันจึงมีความหมายพิเศษต่อเธอ ราวกับความคิดถูกจุดให้สว่างไสวด้วยแสงใหม่ เธอสูดหายใจอย่างกระตือรือร้น พยายามดึงสติไปยังเรือนร่างที่อยู่ไกลๆ เบื้องหน้า คอยมองไม่ให้คลาดสายตาได้อีก เธอบังคับตัวเองอย่าหยุดจ้องดูหุ่นโชว์ในตู้กระจกหน้าร้านที่ประดับประดาสีสันสดใส แต่ช่างยากสาหัสที่จะไม่เหลือบมองผิววาวเกลี้ยงเกลาของตัวหุ่นทอดแขนค้างในท่าสง่า มันมีมนต์สะกดอย่างประหลาด เธอข่มใจทิ้งสายตาลงที่ปลายเท้า ไม่ยอมจำนนต่อแรงดึงดูด เร่งติดตามสิ่งใหม่ที่รอคอยอยู่ แล้วสบายใจขึ้นเมื่อยังเห็นเรือนร่างนั้น ซอมบี้ร่างตันก้าวเนือยลงแต่ก็คงเส้นคงวาต่อทิศทางราวกับมีแรงฉุดไปข้างหน้า มือยังยึดสายกระเป๋าสะพายอวบตุง มันแกว่งเด้งขึ้น-ลงอยู่ข้างหลัง

บ่ายคล้อย สองข้างทางดูเปลี่ยวกว่าเดิม ซอมบี้เดินเพ่นพ่านบางตา ถนนทอดยาวใต้ร่มเงาต้นไม้แผ่ใบเขียวครึ้ม ร่างป้อมหยุดตรงเลยทางแยกที่มีรางรถไฟตัดผ่าน เขาหันซ้ายขวาและเอี้ยวตัวโฉบสายตาแข็งกร้าวมาทางเธอ แต่ไม่มีทีท่าแยแส ก่อนขยับไปยืนหน้าผนังตึกปูนโทรมๆ เหลืองเทาสกปรก มีตะไคร่ขึ้นและเต็มไปด้วยใบปิดโฆษณาขาดรุ่งริ่ง เรือนร่างสั้นและตัน ท่าทางดูมีอายุและอมโรค ยืนหันข้างมือข้างหนึ่งยันผนังนิ่งอยู่ ผมสั้นติดหนังหัวเห็นรอยแหว่งหลายจุด ลำตัวโอนเอนตามแรงหายใจหอบ

เธอผ่อนฝีเท้ารีรอจะตรงไปเผชิญหน้า หาใช่รู้สึกหวั่นกลัว แต่เพราะมีอะไรสำคัญบางอย่างพยายามสื่อถึงเธอ มันเผยอจิตใจถูกผนึกให้อ้าออก อารมณ์เศร้าเหงาและถวิลหาลึกๆ ผ่านเข้ามาอุ่นผ่าวในสำนึก เธอตกใจกับความรู้สึกใหม่นี้ จับต้นชนปลายไม่ถูก ซอมบี้ตนนี้เกี่ยวดองอะไรกับตัวเธอเล่า เธอมองอย่างเสาะค้น บางทีความคิดอาจเล่นเล่ห์กับเธออยู่ เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมใดซอมบี้ตนนี้ยังคงดูแปลกหน้าไม่เปลี่ยน ทว่าคล้ายเขามีความสำคัญยิ่งยวดจนไม่อาจพรากสายตาไปได้

เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ในที่สุดก็ขยับตัวเหมือนเพิ่งตัดสินใจได้ เดินทื่อเข้าไปในสวนหย่อมรกเรื้อทางรั้วส่วนที่พัง เธอดุ่มตามเข้าไปผ่านพงรก ย่ำบนแผ่นหินปูไปถึงกระไดที่ทอดขึ้นสู่ช่องประตูมืดสลัว

ทันทีที่ผ่านธรณีประตู กลิ่นอับอวลมาเคล้ากับอีกสารพัดกลิ่นเมื่อย่างลึกเข้าไป ภายในเต็มไปด้วยสัพเพเหระทั้งหลายที่เจ้าของสถานที่รวบรวมไว้ ทุกอย่างวางกองอย่างเป็นระเบียบพิสดาร ไม่ใช่ลักษณะการโยนทิ้งหรือยัดรวมกันเข้าอย่างสุ่มๆ ข้าวของมีทั้งรองเท้าเก่าๆ ห่อด้วยผ้า หนังสือพิมพ์เป็นตั้ง ซากนาฬิกาแขวนวางทับกัน ขวดแก้วหลากสีเรียงแถวชิดผนัง ปึกธนบัตรกับเศษเหรียญพูนขวดโหล ล้อจักรยานกองสุม กระจกส่องหน้าวางซ้อนบนเก้าอี้หมุน ตุ๊กตาสุมตั้งเป็นพะเนิน กองหมอนวางทับด้วยคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ กรอบรูป ดอกไม้พลาสติก กองเสื้อผ้าสูงท่วมหัว กระป๋องสังกะสีเรียงเป็นรูปพีระมิด ถ้วย-ชามวางปะปนกับแจกัน กองหนังสือถูกจัดเรียงอย่างตั้งใจจนสูงแตะเพดาน แผนที่ซีดจางแปะเต็มผนัง สิ่งของมากมายหลายอย่างงอกเงยครอบครองพื้นที่ทั่วทุกห้อง ล้วนถูกคัดแยก แทบไม่ปะปนกัน ไม่ใช่การทิ้งขว้าง แต่เป็นการจัดวางอย่างเรียบง่าย บรรจง แต่งแต้มด้วยความนึกคิดที่แสดงออกถึงการยืนยันอย่างเงียบๆ เน้นย้ำซ้ำๆ กับวัตถุที่ถูกคัดเพื่อไม่ให้ความหมายหล่นหายจากตัวมัน

เธอเดินไปรอบๆ มองดูข้าวของสารพัด เขานั่งยองๆ อยู่ตรงมุมห้องข้างหลังเธอ เสียงกุกกักทำให้เธอหันกลับไป เขากำลังสอดมือเข้าไปในกระเป๋าสะพาย ล้วงวัตถุชิ้นหนึ่งวางลงบนกองนิตยสาร จ้องมองสักครู่แล้วหยิบคืน เพราะไม่ใช่ของชนิดเดียวกัน ล้วงหยิบของในกระเป๋าอีกชิ้นแล้ววางใหม่บนกองกระดาษ ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ง่วนอยู่กับการเลือกวางวัตถุโดยลืมสังเกตผู้บุกรุก เธอทำเสียงขึ้นจมูกขณะดุ่มเข้าไปยืนค้ำร่างอีกฝ่าย เขายกศีรษะขึ้น เห็นใบหน้าได้ถนัด ตาลึกมีถุงห้อยพองใต้ดวงตา จมูกกับปากบิดเบี้ยวไปทางซ้าย หน้าเซียวซีดเต็มไปด้วยจ้ำฟกช้ำและริ้วรอย ดูไม่สบายอย่างมาก เขาเหลือกตาขึ้นสบอย่างเฉยชา ปากที่แห้งแตกเป็นสะเก็ดอ้าค้าง

เธอจ้องนิ่งดั่งรอคอยอะไรบางอย่างหรือต้องการให้อะไรสักอย่างเกิดขึ้น แววตาเขม็งขึงอย่างพยายามเค้นนึก แต่ประสาทรับรู้หาได้ถ่ายทอดความรู้สึกพิเศษใดๆ ไปสู่สมองเธอเลย ไม่มีสิ่งใดที่ฝังอยู่ในจิตใจฟื้นตื่นขึ้นมา ทั้งที่เธอพยายามเพ่งลึกเพื่อค้นหา แต่เหมือนมันถูกปกคลุมด้วยความมืดที่ไม่อาจทะลุออกไปได้ ไร้พันธะต่อสานระหว่างทั้งสอง ไม่มีการเชื่อมโยงความรู้สึกใดๆ เข้าด้วยกัน นอกเสียจากความว่างเปล่าโยงกับความว่างเปล่า

เขาเริ่มตัวสั่น คล้ายเพิ่งรู้ตัวถึงภัย แสดงอาการสับสนและตกใจกลัว คุดคู้เข่าพับ เก็บแขนขาไม่ให้ร่างกายถูกสัมผัส กลอกตาส่ายไปมาอย่างกังขาว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นรอบๆ นัยน์ตาเบิ่งดูทึบไร้แวว ได้แต่เอามือข่วนขากางเกงและส่งเสียงครอกๆ ในคออย่างกระวนกระวาย

สภาพที่เห็นไม่เพียงทำให้เธอหมดความยำเกรง ยังกระตุ้นให้เธอเกิดอารมณ์ขุ่นรำคาญ ซ้ำความมืดมนของจิตใจส่อวี่แววหวนมาอีก เธอหัวเสียและเกิดความรู้สึกรุนแรงแปลกๆ วูบขึ้นภายในจนท้องไส้ปั่นป่วน อยากทำอะไรดุดันและเด็ดขาดเพื่อตอบโต้ความว่างโหวงผืนมหึมาที่ปิดล้อมเธออยู่อย่างทารุณ เธอส่ายหน้างุนงงพลางสูดกลิ่นของลางร้าย เพ่งมองเรือนร่างที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่รู้ว่าทำไมหรือเพื่ออะไร

ชั่วอึดใจ เมื่อตัวหนอนคืบคลานเข้าไปในหัวใจ ความเดือดดาลก็ถึงขีด เธอเหยียดแขนและโถมลงไปเต็มแรง

ห้วงต่อมาเธอพบตัวเองยืนหายใจแรงตรงถนนเยื้องหน้าตึก เธอเหลียวหันกลับไปมองบริเวณสวนหย่อม โคลงศีรษะเมื่อเห็นรั้วที่พังยุบยังอยู่ที่เดิม โดยไม่เข้าใจนักว่าอะไรเกิดขึ้นกับตน มันถอยห่างจนเลือนรางและพ้นไปจากตัวเธออย่างเร็วรี่ เหลือแต่ความไม่ลงรอยอันร้ายกาจซึ่งทับเธอด้วยน้ำหนักความว่างเปล่าของมัน

แล้วทุกอย่างก็กลับมาเริ่มต้นใหม่ เธอเดินทอดน่องเอื่อยช้าไปตามถนนว่างไร้และเงียบสงบ ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนระโหยเข้าครอบงำจนเธอสะลึมสะลือ ขณะเมือกแดงเริ่มแห้งกรังเกาะเป็นคราบทั่วแขนขาและใบหน้า ทำให้คันยิบ

อาทิตย์ค่อยๆ ลับแนวอาคาร ความมืดกำลังแผ่เข้ามา เมฆสีคล้ำจับแสงรังรองตามขอบ ดาวพระศุกร์ปรากฏดวงขึ้นแล้ว อีกไม่นานเมืองจะได้ดื่มด่ำกับราตรี และเหมือนทุกคราในยามโพล้เพล้ เธอรู้สึกใจหวิววูบเมื่อสัมผัสถึงความวิเวกเดียวดายที่กดถ่วงอยู่ในอก เธอมองไปรอบๆ ดูเส้นสายอ่อนช้อยของแสงเงาสุดท้ายแห่งวัน แล้วย่ำเท้าตรงสู่สี่แยกที่ถนนสองสายมาบรรจบกันและแยกจากกันหายไปสู่ความมืด