เรื่องสั้น | กาลจักรกล

ทามกลับมาฮานอยแล้วหลังจากเรียนสำเร็จจากต่างประเทศ เธอไม่ใช่เด็กน้อยผอมบางขี้อายที่เคยขี่จักรยานไปโรงเรียนอีกต่อไป แต่เป็นคุณหมอสาวร่างสูงโปร่ง แม้รอยยิ้มแบบเด็กๆ พร้อมลักยิ้มที่แก้มจะไม่ค่อยปรากฏบนใบหน้าบ่อยนักเหมือนเมื่อก่อน แต่ใบหน้าเธอยังคงไม่เปลี่ยนไปจากตอนเด็กมากนัก จนครูต่างประเทศบางคนคิดว่าเธอคงเป็นเด็กมัธยมที่เข้าไปเพ่นพ่านเกะกะในเขตมหาวิทยาลัย

“แม่คะ หนูขอออกไปหาเพื่อนเก่า… เรามีนัดกินข้าวสังสรรค์คุยกัน อาจจะกลับค่ำนิดนึง แม่ไม่ต้องคอยนะคะ หนูจะเอากุญแจไป” เธอกล่าวกับแม่ที่พยักหน้ารับรู้และพูดตอบอย่างที่เคยพูดเสมอเมื่อเธอขอออกไปข้างนอก “ดูรถราดีๆ น่ะ สมัยนี้ไม่เหมือนก่อน รถยนต์กับจักรยานยนต์เยอะไปหมด…” แม่ของทามยังคงพึมพำต่ออีก แต่ลูกสาวออกนอกประตูไปกับจักรยานคันเก่าแล้ว

“ดีที่ไม่ได้นัดไกลจากบ้านนัก” ทามคิดขณะขี่จักรยานไปตามถนน ผ่านเมาโซเลี่ยมที่ฝังศพลุงโฮ และคอยระวังรถจักรยานยนต์ที่แล่นแซงหน้าไปอย่างฉิวเฉียด เธอขี่จักรยานเลียบทะเลสาบคืนดาบและสะพานไม้สีแดง จิตใจลอยไปถึงอดีตตอนที่เป็นเด็กไว้ผมเปียที่เคยแข่งจักรยานกับเพื่อนๆ และเคยมาพายเรือเล่นที่ทะเลสาบแห่งนี้ในหน้าร้อนตอนปิดเทอม

ความทรงจำช่วงการสอบครั้งสุดท้ายของระดับมัธยมหวนกลับมาอีก และเหมือนจะแจ่มชัดราวกับเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เสียงระฆังเรียกเข้าห้องเรียน เสียงฝีเท้าของเด็กๆ ที่วิ่งกรูจากสนามเข้ามา กลิ่นของโรงเรียนที่คุ้นจมูก เป็นกลิ่นของดินสอผสมกับกลิ่นชอล์ก รวมไปถึงกลิ่นเหงื่อและกลิ่นรองเท้าของพวกเด็กๆ เสียงหัวเราะไปจนถึงเสียงทะเลาะกันวุ่นวายอยู่ในความทรงจำ

“ฉันถึงไหนแล้วนี่” ทามหันไปรอบตัว ก็พบว่าเธอขี่จักรยานเลยจุดนัดหมายไปไกลโข เธอขี่มาถึงริมแม่น้ำแดงโดยไม่รู้ตัว คงเป็นความเคยชินเก่าๆ ทามบอกกับตัวเอง และลงจากการขี่จักรยานแล้วเดินจูงไปช้าๆ จนมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ริมตลิ่ง น้ำในแม่น้ำกำลังขึ้นสูงเนื่องจากมีมรสุมผ่านมาเมื่อสองสามวันก่อน น้ำสีแดงหมุนวนม้วนตัวอยู่ใต้เขื่อนลงไป มีนกกระยางสีขาวบินวนอยู่ตัวเดียว

มีเสียงร้องเพลงของเด็กๆ แว่วมากับสายลม ทามไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงความคิดของตัวเองหรือเสียงจริง เพราะเป็นเพลงที่เธอกับเพื่อนเคยร้องเล่นกันเสมอ ปากของเธอขยับร้องตามเพลงนั้นอย่างอัตโนมัติ…

ครูเหวียนสอนภาษาฝรั่งเศสในโรงเรียนสั่งการบ้านมาแล้ว เป็นการบ้านชิ้นสุดท้ายของเทอมปลายก่อนจบมัธยม ทุกคนต้องเขียนเรียงความสั้นๆ เป็นภาษาฝรั่งเศสในหัวข้อว่า ถ้านักเรียนมีโอกาสเดินทางด้วยเครื่องจักรกลเวลา หรือ Time Machine นักเรียนจะเลือกเดินทางไปที่ไหนในเวลาใด ครูจะให้คะแนน คนที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ของรางวัลพิเศษจากครูด้วย เป็นหอไอเฟลจำลองเล็ก ที่ครูบอกว่าได้มาจากปารีสเลยทีเดียว ครูให้เวลาสองวันแล้วทุกคนต้องออกมาอ่านที่หน้าชั้น ซึ่งพอทุกคนเห็นของรางวัลก็ตาโต รู้สึกถึงแรงขับเคลื่อนที่ต้องการเอาชนะเพื่อการครอบครองของที่เป็นตัวแทนของฝรั่งเศส

ครูเหวียนบอกว่าเรียงความไม่ต้องยาวมากก็ได้ เพราะต้องให้เวลาสำหรับทุกคนมาอ่านหน้าชั้น แต่ให้มีประโยคชัดเจน โดยจะให้คะแนนทั้งด้านไวยากรณ์ภาษาที่ถูกต้องสละสลวยและแนวความคิดในบทความ ดังนั้น ทุกคนต้องพยายามเสนอเรียงความพร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกช่วงเวลาที่จะนำพาไปด้วยกาลจักรกลวิเศษ นอกจากนี้ ครูเหวียนยังบอกด้วยว่า การตัดสินผู้ชนะครั้งนี้ คุณครูจะเชิญเพื่อนชาวฝรั่งเศสอีกคนที่เพิ่งเดินทางมาเที่ยวฮานอยมาร่วมรับฟังและให้ความเห็นด้วย

ทามตื่นเต้นกับโจทย์ท้าทายนี้มาก และหมายมั่นว่าจะต้องได้หอไอเฟลนั้นมาเป็นรางวัล ก็เธอเป็นที่หนึ่งในห้องมาตลอดนี่นา แล้วเธอก็มีไอเดียที่จะไม่ซ้ำกับใครแน่นอน ทามมุ่งมั่นกับบทความแทบไม่หลับไม่นอน พยายามบรรจงเรียบเรียงเกือบทั้งคืน แม้ครูจะบอกว่าให้เวลาสองวัน แต่เธอต้องรีบนำหน้าคนอื่นไว้ก่อน

วันเสนอการบ้านมาถึง ตอนเข้าทุกคนดูตื่นเต้นกว่าปกติ ต่างก็พยายามปกปิดเรียงความของตัวเอง

โดยม้วนกระดาษไว้ไม่ให้ใครแอบเห็น ทามรู้สึกมั่นใจและพอใจกับเรียงความของตัวเอง แต่เธอก็เหมือนกับคนอื่น เอากระดาษเปล่ามาปิดไว้ข้างหน้าการบ้าน ไม่ให้ใครมอง ลีเพื่อนสนิทแอบกระซิบถามว่าเธอเลือกหัวข้อว่าอย่างไร แต่ทามได้แต่ยิ้มส่ายหน้า แล้วว่าเดี๋ยวก็รู้เอง

เธอกวาดตาไปรอบห้องเพื่อสำรวจประเมินคู่แข่งแล้วก็คิดว่าไม่น่าเป็นห่วง

คุณครูเหวียนเอาหอไอเฟลจำลองทำจากเหล็กอันน้อยออกจากกล่องมาตั้งไว้บนโต๊ะครู สายตาทุกคู่จ้องเขม็ง

เด็กบางคนออกความเห็นกึ่งสงสัยว่า หอจำลองนี้อาจเอาเหล็กที่เหลือจากหอจริงมาทำก็ได้

นั่นยิ่งทำให้มันดูขลังและเป็นที่หมายปองขึ้นไปอีก

ครูเหวียนเรียกชื่อนักเรียนทีละคนให้ออกไปอ่านเรียงความของตัวเอง ส่วนใหญ่เสนอหัวข้อแนวคิดและเหตุผลเพียงสั้นๆ บางคนว่าอยากย้อนยุคไปสมัยไดโนเสาร์ เพื่อจะได้หาทางปราบให้เชื่องเอามาเป็นพาหนะ บางคนก็ว่าอยากไปสมัยปฏิวัติฝรั่งเศสเพราะอยากเห็นกิโยตินตัดคอคน

เด็กนักเรียนได้ทยอยเสนอเรียงความของตัวเองแล้ว เหลือเพียงทาม กับทิฟาม เด็กชายผิวคล้ำหน้าซื่อจากบ้านที่ปลูกผักขายและไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ทามยิ่งรู้สึกดีใจว่าจะได้เสนอการบ้านของตัวเป็นคนสุดท้ายซึ่งจะเด่นเพราะไม่ซ้ำใคร และที่นั่งฟังเพื่อนมาก็ไม่มีใครเสนอเรื่องที่โดดเด่น เธอก้าวออกไปพร้อมกระดาษการบ้าน

“ถ้าฉันได้นั่งเครื่องจักรเวลา ฉันเลือกที่จะกระโดดข้ามเวลาไปในทุกสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ เพราะฉันจะได้มีประสบการณ์กับช่วงเวลาวิเศษเหล่านั้น ไม่ใช่เฉพาะช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง อย่างเช่น ช่วงเวลาที่พีระมิดสร้างเสร็จ และมีขบวนแห่พระศพของฟาโรห์ ช่วงเวลาที่ทหารกรีกออกจากม้าไม้ในเมืองทรอย และการสู้รบครั้งสุดท้ายกำลังจะเกิดขึ้น ช่วงเวลาที่จักรพรรดินโปเลียนทรงสวมมงกุฎให้พระองค์เองที่มหาวิทยาลัยนอเตรอดาม หรือช่วงเวลาที่กาลิเลโอทิ้งก้อนเหล็กลงมาจากหอเอนเมืองปิซา เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีการตกของสิ่งของ รวมทั้งยังมีช่วงเวลาพิเศษอีกมากมายที่ฉันจะใช้เครื่องจักรกลแห่งกาลเวลาเดินทางไปร่วมชมและเป็นสักขีพยาน”

เสียงปรบมือดังขึ้นทั้งห้อง ทามยิ้มแก้มแทบปริ ด้วยหัวใจพองโต รู้สึกเหมือนกับว่าได้ถือหอคอยไอเฟลไว้ในมือ

คุณครูเหวียนกล่าวชมเชยว่าดีมาก แล้วบอกว่ายังเหลือทิฟามเป็นคนสุดท้าย ให้ออกมาอ่านเรียงความ

ทิฟามเดินช้าๆ ออกมาหน้าห้องแล้วเริ่มอ่าน

“ถ้าฉันได้นั่งเครื่องจักรเวลา ฉันจะเลือกไปในช่วงเวลาอนาคต เพราะว่าเวลาในอดีตนั้นเรารู้จุดจบแล้วว่าเป็นอย่างไร แต่เหตุการณ์ในอนาคตนั้นเรายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ถ้าฉันรู้เหตุการณ์ในอนาคต แล้วย้อนกลับมาในยุคปัจจุบัน ฉันจะเป็นเหมือนผู้วิเศษที่รู้ล่วงหน้าก่อนคนอื่น และหากเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น ฉันอาจหาทางแก้ไขเรื่องนั้นๆ ได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่ฉันหวังว่าเราจะมีกำลังพอในการสร้างสรรค์อนาคตที่ดีงาม”

ทุกคนในห้องเงียบกริบ ก่อนที่จะมีเสียงปรบมือแม้จะไม่ดังเท่าที่ตบให้กับทาม แต่หัวใจของทามตกไปที่ตาตุ่ม ฝืนยิ้มปรบมือให้ คุณครูเหวียนจะตัดสินอย่างไรนะ เรียงความของเรายาว สละสลวยกว่าตั้งเยอะ

คุณครูเหวียนกล่าวชมทิฟามว่าดีมาก แล้วบอกว่าจะคุยกับเพื่อนฝรั่งเศสเกี่ยวกับคะแนน แล้วจะประกาศผลหลังพักเที่ยง

ระหว่างพักเที่ยง อาหารกลางวันดูจะฝืดคอสำหรับทาม เธอนึกเข้าข้างตัวเองว่าเรียงความของเธอนั้นดีกว่าคนอื่นและดีกว่าทิฟามแน่นอน แต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่าแนวคิดในเรียงความของทิฟามนั้นดูจะดีกว่าของเธอ ลีและเพื่อนคนอื่นๆ ยังพากันชมว่าแนวคิดของเธอยอดเยี่ยม

ระฆังหลังพักเที่ยงดูจะยาวนานกว่าทุกวันในความรู้สึกของทาม และเมื่อนักเรียนทยอยเข้ามาในห้องแล้ว ครูเหวียนก็ประกาศว่า “นักเรียนทุกคนทำได้ดีมาก ทำให้ครูภาคภูมิใจ เพราะเพื่อนฝรั่งเศสกล่าวชมการนำเสนอของทุกคน แต่เนื่องจากครูมีรางวัลเพียงอันเดียว จึงต้องขอตัดสินให้ผู้ที่สมควรได้รับหอไอเฟลจำลองในครั้งนี้ คือทาม ซึ่งได้แสดงความสามารถในทางภาษาได้อย่างดี รวมทั้งมีแนวความคิดที่โดดเด่น”

ทามรีบยืนขึ้นยิ้มอย่างเคอะเขินและเดินออกไปรับรางวัลที่หน้าห้อง แต่ยังพอมีเวลาปรายตาไปดูทิฟามที่ตบมือให้อย่างเต็มใจ ทามรับรางวัลแล้วเดินกลับมานั่งที่ เพื่อนๆ พากันมารุมล้อมขอจับหอไอเฟลกันยกใหญ่

วันนั้นทามขี่จักรยานกลับบ้านด้วยหัวใจพองโต รีบเอาหอไอเฟลอวดแม่และน้องๆ แต่เมื่อถึงเวลานอน แสงไฟสลัวจากถนนที่ส่องเข้ามาถึงห้องนอนจับอยู่ที่หอไอเฟลจำลองบนโต๊ะหัวเตียง ทามกลับรู้สึกว่าคนที่น่าจะได้มันไปคือทิฟาม ไม่ใช่เธอ

“เรื่องพวกนี้ทำไมฉันยังจำอยู่ได้หนอ” ทามคิดขณะเดินจูงจักรยานไปที่ร้านอาหารที่นัดเพื่อนๆ กินข้าว “มันก็แค่เรื่องเด็กๆ ตอนนี้ฉันจะเอาหอไอเฟลจำลองมาแจกเพื่อนๆ ได้ทุกคนแล้ว”

ทามเดินเข้าไปในห้องอาหารที่จองเอาไว้แล้ว พวกเพื่อนเด็กนักเรียนต่างพากันส่งเสียงทักทายเจี๊ยวจ๊าว ทุกคนพากันแสดงความยินดีที่คุณหมอสาวเพิ่งจบกลับมาจากต่างประเทศหลังจากหายไปนานหลายปี ทามเปิดกระเป๋าหยิบหอไอเฟลจำลองมาแจกให้เพื่อนๆ ทุกคนหัวเราะชอบใจ ทามหันไปถามลีว่า “ทิฟามไม่ได้มาเหรอ มีใครชวนเค้าหรือเปล่า”

ลีเลิกคิ้ว พูดว่า “อ้อ ลืมไป คงไม่มีใครเขียนไปบอกเธอ หลังจากที่เธอได้ทุนไปเรียนต่อได้ปีหนึ่งแล้ว ทิฟามเค้าไม่ได้เรียนต่อ ออกไปช่วยทางบ้านทำสวนผัก มีอยู่วันหนึ่งฝนตกหนัก แม่น้ำเชี่ยว มีเด็กตกลงไปในน้ำ ทิฟามเค้ากระโดดลงไปช่วยเด็กขึ้นมาได้ แต่ตัวเค้าโดนพัดไปกับกระแสน้ำ

“เจอร่างอีกทีก็เกือบสองกิโลเมตร ติดอยู่กับเกาะกลางแม่น้ำ”