ทราย เจริญปุระ | ย่อหน้าสุดท้าย

– “แล้วเจ้าตัวน่ะเป็นไงบ้าง” ฉันปาดน้ำตา สะกดเสียงให้นิ่ง แล้วถามแบบสบายๆ

“ก็อธิบายให้ฟัง ว่าต้องกินยานะ กินประจำ จะได้เรียนเข้าใจกว่าเดิม นางก็บอกว่า -เขาคงเอาสมองคนที่ฉลาดมากๆ มาป่นเป็นผงผสมยาสมองดีของหนู แล้วคอยดูน้าาา อาจารย์โทนี่จะต้องตะลึงที่เห็นหนูมองกระดานแล้วยกมือตอบตลอดเวลา หนูจะเป็น student of the month เพื่อนที่หนูไม่ชอบจะต้องงง!- ”

พูดถึงตรงนี้เราสองพี่น้องก็เงียบกันไปซักพัก ก่อนที่น้องสาวจะพูดต่อ

“นางก็อยากเป็นที่รัก อยากเล่นกับเพื่อน อยากคุยกับครู…”

“…เหมือนที่เราก็เคยเป็นนั่นล่ะ” ฉันต่อคำปิดประโยคให้-

ป้าทรายเขียนถึงเรื่องนี้เพราะอยากจะให้จิ๋วได้อ่านตอนโต

ใครจะรู้ว่าอีกสิบปี ยี่สิบปี ป้าทรายจะยังอยู่บนโลกนี้หรือเปล่า

หรือต่อให้อยู่, ก็ไม่รู้ว่าอยู่ในสภาพไหน อาจจะคุยกับจิ๋วไม่ไหว หรือจิ๋ว-ซึ่งในเวลานั้นก็จะไม่จิ๋วแล้ว

จะเห็นป้าเป็นแบบไหน หรือจะออกเดินไปตามหนทางตัวเอง

ป้าก็ไม่มีวันรู้

ป้าทรายรู้ว่าจิ๋วไม่ชอบอ่านหนังสือเอง แต่ชอบที่จะให้แม่เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง แล้วพอบวกกับจินตนาการอันกว้างไกลของจิ๋ว ที่สามารถคิดพร้อมๆ กันได้ทีละหลายๆ เรื่องจนเกินคำจะอธิบายแล้ว โลกทั้งโลกก็ดูจะมีแต่ความเป็นไปได้

ป้ากับแม่รู้กันเงียบๆ มานานแล้ว ว่าจิ๋วเป็นคนพิเศษ ก็เป็นหลานป้า เป็นหลานคุณตารุจน์ เราจะธรรมดาได้ยังไง ใช่ไหมลูก

แต่โลกนี้ก็ไม่ได้ต้องการความพิเศษอะไรมากมายนัก โลกหมุนเร็วเกินกว่าจะให้รายละเอียดกันเป็นรายคน กระบวนการเติบโตที่วัดผลกันนั้นก็ต้องทำมาอย่างครอบคลุม ใครแตกกลุ่มแตกแถวออกไป ต่อให้เป็นการแตกกลุ่มเพื่อไปดูดอกไม้ดอกไร่ หรือนั่งเฝ้าแมวสักตัว ก็ดูจะเป็นความแปลกผิดไปได้ง่ายๆ

-โลกเราก็แค่อยากได้เด็กธรรมดาน่ะจิ๋ว-

มันง่ายกว่าที่จะรับมือกับอะไรที่ถูกผลิตซ้ำเป็นพันครั้ง

ไม่มีใครผิดหรอกนะ ในความรู้สึกของป้า

คนทุกคนต่างมีหนทางรับมือกับโลกต่างๆ กันออกไป แต่อาจจะไม่ได้ทำทันทีในวัยต้นชีวิต เราค่อยๆ เดินไป ขัดเกลา และเลือกวิธีที่จะแสดงตัวตนกับโลก

พบกันครึ่งทางกับกติกาและความชอบ

หยวนๆ ให้กับสังคมและตัวเอง

ซึ่ง-ป้าเกลียดที่จะพูดคำนี้-เดี๋ยวจิ๋วโตกว่านี้มันจะค่อยลงตัวไปเอง

ตอนแม่กับป้ายังเด็ก เราเรียนโรงเรียนเดียวกัน นอนด้วยกัน ไปโรงเรียนพร้อมกัน

แม่ของจิ๋วเป็นเด็กร้ายกาจมากนะลูก มากจนบางทีป้าก็รับมือไม่ถูก เลยทำอะไรแผลงๆ ไปบ้าง นิ่งใส่บ้าง หรือภาวนาในใจบ้าง ว่าให้พระเจ้าเอาใครก็ได้ มาเปลี่ยนเด็กคนนี้ออกไปจากพื้นที่ของป้าเสียที

ป้าอยากจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ แม่จิ๋วก็จะต้องมากระชากออก ไม่ยอมให้อ่าน

ครั้นป้าถามว่าไม่อ่านแล้วจะให้ทำอะไร แม่ก็เซ้าซี้ชวนเล่น พอป้ายอมไปเล่น ก็ยังโดนกรีดเสียงใส่เสียอีก ว่าทำหน้าตาให้มันสนุกเดี๋ยวนี้!!

อย่ามาทำเฉื่อยเนือยเบื่อหน่าย

ป้าแอบดูแม่เขาอยู่เรื่อยๆ แหละ จากระเบียงหินขัดเย็นเฉียบตรงชั้น 4 ต้นอโศกตรงนั้นบังตัวป้าได้พอดี ต่อให้ลมพัดกระพือจนใบสีโศกนุ่มนวลของมันจะกระพัดกระพือไปบ้าง ป้าก็มั่นใจว่าแม่เขาไม่มีทางเห็น

แม่หนูเป็นเด็กขอบสนาม -ไม่ใช่ติดขอบสนามอย่างคนชอบกีฬาหรอกนะ

แต่เดินไต่เลาะขอบปูนริมสนามกีฬาหญ้ากรังในโรงเรียนทีละก้าว ขอบแคบๆ นั่นวางเท้าได้แค่ทีละข้าง และแม่เขาก็ค่อยต่อเท้าก้าวชิดไปข้างหน้า บางทีเขาก็จะหยุดและก้มเก็บอะไรบางอย่าง ซึ่งแม้จะไม่เห็นถนัด ป้าก็เดาได้ว่ามันคือดอกตูมของต้นหางนกยูงที่ลาช่อมาก่อนจะบาน

กลีบตูมเขียวๆ นั้นหุ้มเอาสีส้มเจิดจ้าไว้ข้างใน เหมือนได้แกะห่อขนมแสนอร่อยที่ค่อยๆ เผยตัวมาทีละนิด

สีเขียวที่ซ่อนสีแดงไว้ด้านใน กลีบสีส้มสด สีขาวจุดส้ม ก้านเกสรอ่อนๆ

ทำไมป้าจะไม่รู้, ก็ป้าเคยเป็นเด็กขอบสนามมาก่อนจะเป็นเด็กห้องสมุดนี่นะ

จริงๆ ป้าก็ทำความลำบากหลายอย่างให้กับช่วงประถมของแม่หนู เพราะการที่ป้าเป็นป้านี่ล่ะ ไม่ใช่สิ่งอื่นเลย ทั้งครูทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่เลยจับตาแม่เขาเป็นพิเศษ ว่าจะไม่เป็นเรื่องเป็นราว เอาแต่หมกจมอยู่ในกองหนังสือเหมือนป้ามั้ย จะอยู่ๆ ลาออกจากโรงเรียนเหมือนที่ยายพาแม่ออกไปไหม จะ “หลงแสงสี” แบบที่ครูหลายคนว่าป้าให้แม่หนูได้ยินไหม

แต่ก็ไม่นะ แม่หนูเรียนเก่ง

แล้วก็ปรับตัวเก่งเชียวเวลาที่อยู่โรงเรียน

เขาจะกลับมาร้ายกับป้าเท่านั้นแหละ

รำพันมาถึงตรงนี้ก็เพื่อจะบอกว่า ป้าเพิ่งอ่านหนังสือมาเล่มหนึ่ง เป็นเรื่องของยายที่เขียนจดหมายถึงหลาน เหมือนที่ป้าเขียนหาจิ๋วอยู่นี่แหละ

แต่ป้ารู้ว่าให้อ่านตอนนี้จิ๋วก็คงเบื่อหน่ายอย่างที่สุด และคงอ่านข้ามบรรทัดนี้ไปด้วยซ้ำที่ป้ากำลังจะบอกว่า

ป้ารักจิ๋วนะ

จิ๋วเป็นหลานคนแรกของป้า ป้าอยากให้จิ๋วมีความสุขมากๆ และไม่ต้องเป็นอะไรเลยก็ได้ นอกจากเป็นจิ๋ว

เพราะไอ้ความโลดโผนตามวัยอะไรต่างๆ นั่นป้าก็เคยทำแล้วก็ผ่านมันมาได้

ป้าเชื่อว่าจิ๋วก็จะผ่านมันได้

และเมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต

จิ๋วก็จะอดทนอ่านอะไรเลอะๆ เทอะๆ จากป้าได้จนจบ

-และนี่คือย่อหน้าสุดท้าย-

แม่บอกว่าจิ๋วไม่ชอบอ่านหนังสือเอง แต่จะอ่านแค่ตอนจบ แล้วค่อยให้แม่มาเล่าเรื่องตรงกลางให้ฟัง

นี่คือตอนจบล่ะนะ จิ๋วอ่านแค่ตรงนี้ก็พอลูก

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่มีแสงแดด ทั้งที่เป็นหน้าฝนซึ่งฟ้าอึมครึมติดกันมาหลายวัน ป้ารู้ว่าจิ๋วจะชอบวันที่สดใสแบบนี้ แม้จะยังอธิบายไม่ได้ว่าชอบมันเพราะอะไร

แต่วันหนึ่งจิ๋วจะเข้าใจ ว่าวันที่สดใสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ในชีวิตของคน

ป้าอยากให้หนูจำวันแบบนี้ไว้ เอาไว้คิดถึงเวลาที่ชีวิตมันยากเกินไป

แค่นี้แหละลูก

ป้ารักหนูนะ, ลวิตรา

“ดั่งใจปรารถนา” เขียนโดน ซูซาน ตามาโร แปลจากภาษาอิตาลีโดย สรรควัฒน์ ประดิษฐพงษ์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2562 โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ