เรื่องสั้น | ในแสงเทียน (จบ)

เขามาหาผมหลังจากที่ไม่ได้เจอกันแรมปี ผมกำลังอยู่ในช่วงความสิ้นหวัง หรือไม่ก็สับสน ผมไม่แน่ใจนัก ที่แน่ๆ คือ ผมเป็นคนเขียนหนังสือแต่เขียนงานไม่ออกมานาน จนขาดความมั่นใจ และเริ่มยอมรับกับตัวเองว่าการอยากเป็นนักเขียนของผมได้สิ้นสุดลงแล้ว เคยคิดว่าตัวเองแน่ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องหลงตัวเองอย่างโง่เง่า

ผมฝันอยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่เรียนมัธยม ผมอ่านหนังสือมาก ผมรักเฮมิ่งเวย์ แล้วผมเริ่มงานเขียนด้วยการเขียนบทกวี เรียนรู้ทุกอย่างจากการทำงานในวงการหนังสือ จนเริ่มมีผลงานเป็นเล่มออกสู่ผู้อ่าน ทั้งรวมเรื่องสั้นและนิยาย

แน่นอน ผมภูมิใจกับผลงานไม่ได้เรื่องเหล่านั้น แต่ความหลงตัวเอง ตัดสินใจให้ผมลาออกจากงาน เพียงเพื่อจะมุ่งมั่นเป็นนักเขียนอาชีพ

ผมมีภาพกับเค้าโครงเรื่องยาว คิดว่ายอดเยี่ยมอยู่ในหัว แต่ผมกลับเขียนออกมาไม่ได้ ผมพล่าน ลนลาน นอนไม่หลับ รู้สึกอับอาย และไร้ค่า จนในที่สุดผมยอมรับกับตัวเอง กลับมาเลียแผลอยู่ที่บ้านเกิด ในบ้านชั้นเดียวซึ่งผมเรียกว่าบ้านแค่เล เพราะอยู่เกือบติดริมทะเล กับสุนัขที่ผมเลี้ยงมาตั้งแต่หย่านม

ผมไม่แน่ใจว่าเขายกเรื่องดาวขึ้นมาคุยทำไม

แสงเทียนตรงชั้นเครื่องเสียงสั่นไหว เมื่อสายลมโชยผ่านหน้าต่างเข้ามา เจ้าหมึก…สุนัขพันธุ์ผสมระหว่างโดเบอร์แมนกับดัชชุนด์ ขนสั้นเกรียนสีดำแต้มเหลืองน้ำตาลกับขาว ใบหน้ายาวเหมือนโดเบอร์แมน แต่รูปร่างเตี้ยและยาวเหมือนดัชชุน นอนหลับตรงที่นอนของมันข้างประตู เสียงเปียโนปลายนิ้วบิลล์ เอแวนส์ ไหลพร่ำไปกับท่วงทำนองเพลง Nardis มีมาร์ก จอห์นสัน เล่นดับเบิลเบส กับโจ ลาบาร์เบรา ระรัวกลอง ทีมทรีโอสุดท้ายในฝันของเอแวนส์

เราเคยนอนฟังซีดีแปดแผ่น บันทึกจากการแสดงสดครั้งสุดท้ายนี้ ตั้งแต่แผ่นแรกจนถึงแผ่นสุดท้ายติดต่อกันค่อนข้างบ่อยมากในห้องฟังเพลงของผม แล้วเราก็ถกเถียงกันถึงทีมทรีโอชุดนี้กับชุดเก่าที่มีสกอตต์ ลาฟาโร เล่นดับเบิลเบส ร่วมกับพอล โมชั่น เล่นกลอง ว่าทีมไหนเยี่ยมกว่ากัน แต่เราไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน

“เราเห็นรูปจากหนังสือพิมพ์” เขามองเปลวเทียน ใช้มือขวานวดต้นแขนซ้ายเกือบตลอดเวลา “ศพถูกลากตรงสนามหลวง ภาพตำรวจยืนตรงรั้วธรรมศาสตร์ มือถือปืนสั้นกำลังเล็งเข้าไปในมหาวิทยาลัย นักศึกษาถูกถอดเสื้อผ้า นอนคว่ำหน้าอยู่ในสนามหญ้ามากมาย มีทหารถือปืนยืนเฝ้าเต็มไปหมด”

วันนั้น 6 ตุลาคม 2519 ผมเป็นแค่นักข่าวในหนังสือพิมพ์หัวดำฉบับหนึ่ง ผมจำภาพเหล่านั้นได้ดี ภาพศพเด็กหนุ่มถูกจับแขวนคอกับกิ่งต้นมะขามตรงสนามหลวง แล้วมีชายคนหนึ่งเอาเก้าอี้ฟาดศพ มีเด็กกับผู้คนรายล้อม พวกเขากำลังหัวเราะกันอย่างเพลิดเพลิน

“เรารีบไปหาเธอที่บ้านริมคลอง” เขาหันมามองหน้าผม มือยังคงนวดต้นแขน “เราหดหู่ เศร้า จนอยากให้เธอกอด แต่เรากลับได้รับความจริง”

“นายบอกเราทำไม” เราจ้องตากันนิ่ง เสียงเปียโนพลิ้วไหวงดงาม อยู่ในช่องว่างความคิดคำนึงของเราสอง

“ความจริงอันโหดร้าย” เขาหลับตา ถอนหายใจยาว “ถึงจะผ่านมาเกือบสามสิบปี เรายังรู้สึกเจ็บอยู่เลย”

เสียงเจ้าหมึกละเมอ เห่าเบาๆ ในลำคอ

“นายเชื่อเถอะ…” เสียงเขาเครียด “เราเชื่อว่าไม่มีใครหรอก มีสิทธิ์ฆ่าความฝัน ถึงจะเป็นพระเจ้าก็เถอะ ตัวเราเองด้วย นายฆ่าทุกอย่างที่ห่อหุ้มชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความรัก ความเกลียดชัง ความใคร่ รวมถึงความริษยา แม้กระทั่งความยินดี แต่นายจำเป็นต้องประคับประคองความฝันของนายอย่างทะนุถนอมด้วยความจริงจัง”

ผมก้มหน้า

“นายแค่บีบคั้นตัวเองมากไป” เขาหายใจค่อนข้างแรง มือยังบีบนวดต้นแขนซ้าย “เราเจ็บแขนมาเป็นอาทิตย์แล้ว ไม่รู้เพราะไร”

ผมเงยหน้าสบตาเขา แววตาคู่นั้นแม้ยังคงสดใส แต่ดูเหมือนจะมีแววอ่อนล้าให้เห็นชัดเจน คำพูดของเขาวนเวียนอยู่ในหัวผม

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมากับเจ้าหมึก ผมรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงซากขี้ขลาด ผมคิดถึงการฆ่าตัวตายบ่อย แต่ผมไม่เคยกล้าทำ

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเขามาหาผมทำไม

ผมกลืนความรู้สึกบางอย่างกลับลงไปในอก เรายังคงสบสายตากันนิ่ง แววตาเขาอ่อนโยนและเข้าใจทุกอย่าง แต่ผมไม่อาจรั้งหยาดน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตาไว้ได้ ภาพใบหน้าพร่ามัวของเขา เหมือนกำลังยิ้มกับผม เสียงดับเบิลเบสกำลังตีความจิตวิญญาณตัวเองออกมากับสายเบสทั้งดึงและปล่อยไว้ด้วยนิ้ว เป็นช่วงเดี่ยวดับเบิลเบสอันบรรเจิด หลงอยู่กับนัยยะอันชวนให้ตีความ ก่อนเสียงเปียโนจะเข้าท่วงทำนองเพลงอีกครั้ง แล้วค่อยๆ จางหายเมื่อจบเพลง

“นายเคยมีแผ่นกู๊ดบาย แอนด์ เฮลโล่ ของทิม บัคเลย์ นี่” เขายิ้ม “เราอยากฟังเพลงมอร์นิ่ง กลอรีย์”

ผมลุกไปหยิบอัลบั้มชุด Goodbye And Hello จากตู้ใต้เครื่องเสียง เปลี่ยนแผ่นสอดแผ่นซีดีของบิลล์ เอแวนส์ ลงในตลับ วางลงบนตู้ข้างกล่องบ๊อกซ์เซ็ตชุด The Last Waltz ติดกับแท่งเทียนกำลังสว่างเรือง

“นายจะฟังมอร์นิ่ง กลอรีย์เลย หรือฟังตั้งแต่เพลงแรก” ผมถาม

“เอาตั้งแต่เพลงแรกเลย” เขาเอนนอนลงบนพื้นห้อง “เรามีเวลาเยอะแยะ”

ผมกดปุ่มเพลย์ แล้วปล่อยให้เสียงร้องทิม บัคเลย์ โอดครวญไปเรื่อยๆ

เจ้าหมึกลุกเดินมาซุกตัวกับต้นขาผม ส่งเสียงครางเบาๆ ผมลูบขนสีดำเกรียนบนหัวแผ่วเบา แล้วรู้สึกตัวเองผ่อนคลายลง แสงเทียนวูบไหว ยินเสียงคลื่นหน้าหาดกับเสียงประสานจากเส้นใบสนทะเลต้องลม หวีดหวิวแผ่วเบา

เราทั้งคู่เงียบ ปล่อยจิตใจให้ลอยหายไปกับเพลงของบัคเลย์ แล้วนึกย้อนกลับไปสู่ช่วงวันเวลาผ่านเลย วันที่สร้างบาดแผลไว้ในจิตใจ กระทั่งกลายเป็นแผลเป็น จนไม่สามารถลบให้หายไปได้ แม้รอยแผลนั้นจะเลือนจางไปบ้างก็ตาม

ผมจ้องแท่งเทียนกำลังส่องประกายคลุมเครือ แล้วเพิ่งรู้ว่า…จริงๆ แล้ว เมื่อทุกครั้งที่จุดไฟตรงไส้เทียน แท่งเทียนทุกแท่งจะค่อยๆ ละลาย เพราะเปลวไฟเลีย จนกลายเป็นน้ำตาเทียน ไหลหลั่งลงตามลำแท่งเทียนอย่างมีระบบ แล้วทับถมซ้อนทับ กันถ้าเราไม่ไปแกะน้ำตาเทียนเกาะทับถมกันยาวนานออกไป แท่งเทียนทั้งแท่งก็ยังอยู่ครบเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนรูปทรง และสั้นลงเท่านั้นเอง

เขาขยับร่างช้าๆ มือขวายังคงนวดเฟ้นหัวไหล่อย่างตั้งใจ ปล่อยให้เสียงเพลงขับกล่อม กระทั่งบทเพลง Morning Glory โรยมากับเสียงหวานเศร้า

“เรารักเพลงนี้” เขาฮัมท่วงทำนองเพลงตามเสียงร้อง จากนั้นเขาเริ่มร้องตามเบาๆ คลอไปพร้อมกับเสียงบัคเลย์

ผมเห็นใบหน้าเขาอาบไปด้วยความสงบ หรืออาจเป็นความสุข หรือทั้งสองอย่าง ผมมั่นใจ

“ช่างงดงามจริงๆ” เขาหันหน้ามามองผม แล้วร้องต่อด้วยเสียงดังขึ้น…

“ฉันจุดเทียนไขเล่มบริสุทธิ์ที่สุดของฉัน

ไว้ใกล้กับบานหน้าต่างของฉัน

เพียงหวังให้สะท้อนดวงตาคนจรจัดผู้ผ่านมา

และฉันรอคอยอยู่ในบ้านพักชั่วคราวของฉัน”

“เล่านิทานให้ฉันฟัง” ฉันบอกกับคนจรจัด

“เรื่องราวของความหนาวเหน็บ” ฉันยิ้มให้กับคนจรจัด

“เรื่องราวของความแก่ชรา” ฉันคุกเข่าให้กับคนจรจัด

และเขายืนอยู่ข้างหน้าบ้านพักชั่วคราว

“ไม่” คนจรจัดพูด “ไม่มีเรื่องเล่าของกาลเวลาอีกแล้ว”

“ตอนนี้อย่าถามฉัน ถึงการสลัดสิ่งสกปรก”

“ฉันไม่อาจเข้าไปข้างใน”

“เพราะมันสูงเกินจะป่ายปีน”

และเขาได้เดินออกไปจากบ้านพักชั่วคราวนั้น…

เสียงทิม บัคเลย์ เหมือนมีมนต์สะกด บีบรัดความรู้สึกเราสองให้เงียบงัน บรรยากาศเก่าๆ ลอยมากับท่วงทำนองเพลง เขาลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง มือขวายังคงบีบนวดต้นแขนซ้าย แล้วขยับไล่ลงไปจนถึงข้อมือ เขาสลัดมือเบาๆ

“ฟังอีกเที่ยวนะ” เขายิ้มจนขอบตาเรียวยาวเหมือนแนบติดกัน “สิบกว่าปีแล้วที่ไม่ได้ฟังอัลบั้มชุดนี้”

ผมเองก็ไม่ค่อยได้ฟังมากนัก หลังให้ความสนใจอย่างจริงจังกับแจ๊ซ

“มันมีแจ๊ซผสมกับโฟล์กในเพลงของบัคเลย์” เขามองเปลวเทียนข้างชุดเครื่องเสียง “เมื่อก่อนเราไม่รู้หรอก แค่รู้สึกว่าเป็นเพลงโฟล์กแปลกๆ แต่เราชอบมากๆ ตรงที่มันเล่นกับสเปซได้งดงามจริงๆ”

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง

“คนทำงานศิลปะ ต้องเข้าใจสเปซนะ” เขาพยักหน้า “เราว่ามันเป็นสีสันซ้อนอยู่บนนัยยะของอารมณ์”

เสียงเพลงยังคงขับกล่อม อยู่ในบรรยากาศสลัวรางจากแสงเทียนอันวูบไหว เมื่อสายลมโชย เจ้าหมึกพลิกร่างนอนหงาย งอปลายตีนหน้าขึ้นชี้ ส่วนขาหลังกางออก ปากแหลมเอียงเล็กน้อยมาพาดกับต้นขาผม

“นายเห็นเปลวไฟตรงไส้เทียนมั้ย” อยู่ๆ เขาเปรยขึ้นมา ชี้นิ้วไปยังแท่งเทียนบนชั้นเครื่องเสียง “เราจะไม่มีวันเห็นแววตาคนจรจัดในแสงเทียนหรอก ถ้าเราไม่เป็นคนจรจัดเสียเอง”

ผมยิ้มอยู่ในความสลัวจากแสงเทียน

วันรุ่งขึ้นผมตามเขากลับกรุงเทพฯ หลังพาเจ้าหมึกไปฝากไว้กับพี่สาวในตัวเมือง และอีกวันต่อมาเขาเสียชีวิต เพราะหัวใจวาย ขณะก้าวออกจากรถไฟฟ้าตรงสถานีพญาไท เพื่อจะไปร่วมงานวันเปิดนิทรรศการครั้งใหม่ของจิตรกรคนนั้น ผู้กำลังประสบความสำเร็จ

ผมลุกจากเก้าอี้ริมหน้าต่าง มีแท่งเทียนเก่าๆ กำลังส่องสว่าง ภายในห้องรับแขกในทาวน์เฮาส์ของเขา เดินไปยืนมองภาพสีน้ำมัน เรื่องราวชีวิตชาวบ้าน กับความเชื่อธรรมดาอันเหนือจริงอย่างพินิจ ในแสงสลัวๆ ขณะเสียงทิม บัคเลย์ ยังคงคร่ำครวญ

ผมคิดถึงเขา

บ้านไม้เก่าริมคลองรังสิตร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่ ผมเดินดูผ่านรั้วเหล็กโปร่งๆ จนมาหยุดตรงประตูเข้าบ้าน จังหวะนั้นชายหนุ่มวัยราวสามสิบปีต้นๆ เปิดประตูออกมาพอดี เรามองหน้ากันอยู่สักครู่

“มาหาใครครับ” ชายหนุ่มถาม มีรอยยิ้มต้อนรับ

“บ้านของดาวใช่มั้ย” ผมถาม

“ครับ แม่กำลังเขียนรูปในห้องใต้ถุนบ้าน” เขาใช้มือเชื้อเชิญให้เข้าบ้าน

“ขอบคุณ” ผมยิ้ม พยักหน้า มองใบหน้าชายหนุ่มอย่างจริงจัง

“พอดีผมต้องรีบออกไปข้างนอก” เขาพูด ชี้มือไปยังชั้นล่างของบ้านไม้ “เชิญเลยครับ”

ผมเดินผ่านประตูเข้าไป ชายหนุ่มยืนชิดประตู “จะให้ผมเรียกแม่มั้ย”

“ไม่ต้อง” ผมส่ายหน้า “เดี๋ยวลุงจะเดินไปหาเอง”

ชายหนุ่มเดินออกจากประตู ยิ้มกับผมขณะปิดประตูหน้าบ้าน

ผมเดินช้าๆ สัมผัสความร่มรื่นจากแมกไม้ใหญ่ ลมโชยมาเกือบตลอดเวลา ตรงห้องใต้ถุนบ้าน ฝากั้นห้องไม่ได้ปิดทึบ ไม้ยางสีฟ้าอมขาวแตกลอกแต่ละแผ่น เว้นช่องว่างไว้เท่ากัน เหมือนต้องการปล่อยให้แสงลอดผ่านเข้าไปภายในห้อง ไม่มีหน้าต่างตรงผนังด้านหน้า มีเพียงประตูเปิดค้างเอาไว้

ผมเดินไปตรงช่องว่างระหว่างแผ่นไม้กั้นเป็นฝาบ้าน ภายในค่อนข้างสว่าง ฝาผนังด้านข้าง มีหน้าต่างบานใหญ่เปิดเอาไว้ แสงจากภายนอกจึงทอดผ่านเข้ามาได้เต็มที่

ตรงเกือบชิดหน้าต่าง ภาพสีน้ำมันขนาดไม่ใหญ่นัก ยังวาดไม่เสร็จ ตั้งอยู่บนขาตั้ง ดาวนั่งอยู่ตรงหน้าภาพนั้น มือถือพู่กันนิ่ง จ้องภาพเหมือนเมฆกำลังยิ้มนิดๆ แต่เส้นผมยังเป็นเพียงลายเส้นหยาบๆ ไม่ได้ลงสี

ร่างเล็กๆ ของเธอดูอวบขึ้น ผมยังเป็นลอนละต้นคอเหมือนเดิม แต่ไม่ได้ดำแวววาวอย่างที่เคยเป็น กลับเป็นสีขาวโพลนเรืองแสงจางๆ แสงจากหน้าต่างทอดทับลงบนภาพเขียน กับด้านข้างใบหน้าเธอ ให้ความรู้สึกสงบลึกๆ ใบหน้านั้นยังคงคมคาย แม้จะอวบขึ้นก็ตาม เธอยืดหลังตรง มือถือพู่กันค้างไว้ จ้องภาพเหมือนใบหน้าเมฆนิ่งและนาน

ผมมองไปตามฝาผนังห้อง ภาพสีน้ำมันหลายภาพที่ติดอยู่ ทุกภาพเป็นภาพเหมือนของเมฆ ในมุมแตกต่างกันออกไป ภาพส่วนใหญ่คงเขียนไว้นานแล้ว มีภาพใหม่ๆ ไม่กี่ภาพติดสลับอยู่ มีภาพโดดเด่นและให้ความรู้สึกแรง เขียนด้วยถ่านชาโคลบนแคนวาส ขนาดใหญ่พอสมควร ติดตรงกลางฝาห้องด้านใน ยังคงเป็นภาพใบหน้าครึ่งซีกด้านตรงซีกซ้ายของเมฆ กำลังจ้องมองมายังผม แววตาแม้จะดูอ่อนไหว แต่มีประกายความปวดร้าวออกมาให้สัมผัส หนวดเคราสั้นๆ ติดผิวหน้า แม้จะเพิ่มความเข้มให้กับใบหน้า แต่ดูเหนื่อยล้าชัดเจน ริ้วรอยตีนกาตรงหางตา กับเส้นสามเส้นบนหน้าผาก กดเข้าไปในผิวหนังบางๆ บนใบหน้า ช่างเหมือนใบหน้าของเขาตอนไร้ลมหายใจ เส้นผมยาวสยายลงพาดหัวไหล่ กินเนื้อที่บนภาพเกือบทั้งหมด ผมจ้องภาพนั้นอยู่นาน สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง ฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนทั้งสอง

เธอวางพู่กันลงบนตั่งเตี้ยๆ มีจานสีกับหลอดสีวางซ้อนกันเกะกะ ลุกขึ้นยืน ถอยหลังออกมาสองก้าว กอดอก จ้องภาพเขียนยังไม่เสร็จนิ่งและนาน

ผมลังเล ขณะหมุนตัวเดินตรงไปยังประตูเปิดค้างไว้ แต่แล้วก็หยุด มองผ่านช่องว่างระหว่างฝาบ้านเข้าไปอีกครั้ง เธอยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ท่าทางครุ่นคิด ตรงหน้าภาพใบหน้าเมฆ เหมือนกำลังพยายามบีบคั้นอารมณ์กับความรู้สึกตัวเองให้ย้อนกลับไปในอดีต แล้วผมตัดสินใจหันหลังกลับ เดินออกไปยังประตูตรงรั้วบ้าน

ผมคงไม่สามารถลืมภาพทั้งหมดที่เห็น แต่แน่ใจว่า…ควรปล่อยให้เธอเป็นอย่างที่เธอปรารถนา

“ไม่มีใครมีสิทธิ์ฆ่าความฝันอย่างที่นายคิด” ผมกระซิบผ่านสายลม แล้วเดินช้าๆ ด้วยความรู้สึกสงบลึกและเข้าใจ…