เรื่องสั้น | ความฝันนั้นจบไป

ตอนที่ผมก้าวข้ามธรณีประตูเข้าสู่บ้าน จำได้ดีว่าลมเย็นๆ พัดผ่านตัวผมจากหลายทิศทาง พร้อมกับความรู้สึกหนึ่งลอยลมมา ทำให้นึกย้อนถึงตัวเอง ผมเคยพยายามอย่างหนัก เคยหวังว่าสักวันต้องทำให้เป็นดังพ่อหวังไว้ ผมปวดใจเหลือเกิน ได้แต่ทนข่มความทรมานนั้น พยายามทำให้ได้ ทั้งที่ไม่อยากทำเลย สุดท้าย…

ทว่าผมยังอดมองไปตามความเคยชินไม่ได้ มองไปที่ประตูหลังบ้าน มองหน้าต่างที่มีอยู่ทางขวามือสามบานเปิดกว้างและมองไปยังบันไดทอดสู่ชั้นบน ลมมักจะมาจากสามทางนี้ เป็นสัมผัสที่ผมคุ้นเคยมาตลอดเกือบสี่สิบปีที่อาศัยภายในบ้านหลังนี้ ลมจะพัดอวลพากลิ่นหอมและเหม็นตลบพาเข้าและพาออก ยามที่ปิดบ้านปิดหน้าต่างไปนอกบ้านกันนานๆ เช่น ช่วงเทศกาลปีใหม่หรือสงกรานต์ เมื่อกลับมาแม่จะขึ้นไปเปิดหน้าต่างชั้นบนก่อน แล้วลงมาเปิดประตูหลังบ้านค้างไว้ก่อนจะเดินมาผลักหน้าต่างสามบานนี้ออก เป็นภาพคุ้นตาของผม ชั้นล่างบ้านเราแปลกกว่าบ้านอื่นก็ตรงเมื่อเข้ามาภายในบ้านทางด้านซ้ายมือจะเป็นชั้นหนังสือสูงจากพื้นจรดเพดานและขนานยาวตามผนังบ้านไปจนใต้บันได กลายเป็นว่าบ้านทางด้านนี้ไม่มีหน้าต่าง เมื่อจะอ่านหนังสือ จึงต้องหยิบจากด้านนี้ไปอ่านอีกด้านของบ้านที่เปิดหน้าต่างโล่งไว้และมีแสงสว่างเพียงพอ เว้นก็แต่ตอนกลางคืนที่พ่อจะอ่านหนังสือและเปิดโคมไฟสว่างบริเวณนี้

ตั้งแต่จำความได้ ผมแทบไม่เคยเห็นพ่อไม่อ่านหนังสือแม้สักคืนเดียว พ่อชอบทำอะไรซ้ำๆ สมกับคำว่ากิจวัตรประจำวันนั่นแหละ ตั้งแต่การอ่านหนังสือตอนกลางคืนหลังรับประทานมื้อค่ำอย่างน้อยสองถึงสามชั่วโมง พ่อไม่ดูทีวี โทรทัศน์ประจำบ้านจึงต้องไปอยู่ชั้นสองในห้องโถงโล่งของชั้นบน (บ้านเรามีเพียงสองชั้นก็จริง แต่กว้างขวางมาก บ้านเราปลูกบนเนื้อที่กว่า 200 ตารางวา เฉพาะตัวบ้านก็กินเนื้อที่ไปกว่า 80 ตารางวาแล้ว เนื้อที่ภายในหากคิดอย่างปัจจุบันก็หลายร้อยตารางเมตรสำหรับการใช้สอยที่กว้างเกินใช้เสียด้วยซ้ำ) พ่อชอบตื่นแต่เช้ามารดน้ำต้นไม้ที่มีอยู่รอบบ้าน รอรับประทานมื้อเช้าก่อนเดินไปทำงานที่ไกลออกไปสองกิโลเมตร พ่อกลับบ้านตรงเวลาแทบทุกวัน คือห้าโมงครึ่ง นานทีปีหนพ่อจึงจะกลับถึงบ้านสายกว่านี้ นั่นแสดงว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นในที่ทำงาน พ่อเป็นเจ้าหน้าที่การเงินมือดีคนหนึ่งของบริษัทฝรั่ง พ่อทำงานกับเขามาตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยและไม่เคยย้ายงานเลย พ่อทำจนวันที่พ่อจากโลกไปก่อนเกษียณอายุการทำงานเพียงเดือนเดียว พ่อไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงจะทำให้พ่อเครียดและโมโห พ่อจึงต้องนั่งที่เดิม ไปที่เดิมๆ กินแต่อาหารเดิมๆ และพบปะกับคนเดิมๆ

พ่อต่างจากผมทุกอย่าง พูดให้ถูก ควรจะใช้คำว่า ผมแตกต่างจากพ่อทุกประการ ไม่เคยทำได้อย่างที่พ่อตั้งหวังไว้ ผมกลายเป็นลูกเหลือขอ ยิ่งหลังจากผมป่วยพ่อก็แทบไม่สนใจผมเลย เหมือนผมเป็นลมที่พัดเข้ามาในบ้านแล้วพัดออกไป

เมื่อผมกลับเข้าบ้านอีกครั้ง จึงสัมผัสได้ว่าพ่อยังคงอยู่ในบ้านหลังนี้ ไม่ไปไหน เมื่อผมมองไปที่เก้าอี้ตัวนั้น เป็นเก้าอี้ที่พ่อใช้นั่งรับประทานอาหารทุกมื้อที่รับประทานในบ้าน เป็นเก้าอี้ที่พ่อนั่งอ่านหนังสือทุกเล่มในบ้านนี้ แม้แต่งานที่หอบมาจากที่ทำงานพ่อก็ยังมาสะสางบนโต๊ะรับประทานอาหารและเก้าอี้ตัวนี้ เก้าอี้ที่ไม่มีใครนั่งมาเป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่พ่อเสียไป ผมเดินไปยืนดู เอื้อมมือกำลังสัมผัสผิวไม้ แต่แล้วก็หดมือกลับมา

ชั่ววินาทีนั้นทุกอย่างก็กลับมา เก้าอี้ไม้สักหนา หนัก ดูมันวาว ผมรู้สึกว่ามันคืออวัยวะของพ่อ ผมเดินออกห่างและไม่อยากเข้าใกล้

พ่อเป็นลูกจีนเกิดในไทย อาศัยย่านเยาวราชในพระนครตั้งแต่เกิดจนโต มาซื้อที่ดินและปลูกบ้านหลังนี้ไกลถึงยานนาวาก็ตอนแต่งงานกับแม่ แรกๆ พ่อก็ยังไปเยาวราชแทบทุกวันหยุดหรือแม้แต่เลิกงานในบางวัน พ่อได้ทำงานที่ดีๆ เงินเดือนสูงๆ เพราะความเคร่งครัด มีระเบียบวินัยและเอาการเอางานจึงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเงินเดือนมาโดยตลอด แต่เชื่อไหมว่า ปีที่แม่ท้องผมและเกิดเหตุการณ์สำคัญของคนไทยเชื้อสายจีนและคนไทยละแวกแถบนั้น แถวๆ ห้าแยกพลับพลาไชย พ่อเข้าร่วมประท้วงด้วยจุดเริ่มต้นมาจากการแค่ไปมุงดู หลังจากเพื่อนพ่อคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัสจากการถูกตำรวจกราดยิง พ่อก็เข้าร่วมอย่างเต็มตัว

อันที่จริงวันนั้นเป็นวันพุธ พ่อเลิกงานแล้วแต่ยังไม่ได้กลับบ้าน ช่วงนั้นบางวันพ่อชอบแวะแถวสามแยก หน้าธนาคารเอเชียซึ่งมีร้านอาหารและร้านขนมชื่อดังและอร่อย บางร้านอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ อย่างร้านลอดช่องสิงคโปร์ วันนั้นก็เหมือนวันก่อนหน้านี้ที่พ่อชอบไปพบปะเพื่อนฝูง บางครั้งก็สังสรรค์กับลูกค้า ลูกค้าบางคนพึ่งพาและยึดโยงกันยาวนานอีกหลายสิบปีก็มาจากการนั่งรับประทานอาหารแถวสามแยกนี่แหละ

แต่จู่ๆ ก็ได้ข่าวมาว่าบริเวณห้าแยกพลับพลาไชยซึ่งไกลออกไปพอสมควรกำลังมีเรื่องมีราว มีกลุ่มคนไม่พอใจตำรวจที่จับแท็กซี่หาว่าจอดในที่ห้ามจอด พ่อกับเพื่อนอีกสองคนจึงเรียกรถสามล้อนั่งพากันไปดู สถานที่เกิดเหตุอยู่ละแวกโรงหนังพัฒนากร โรงหนังชื่อดังในสมัยนั้นซึ่งคือปี พ.ศ.2517 หนังเพิ่งเลิกฉาย คนจึงเยอะ พอมีข่าวนี้ กระแสคนที่ไม่พอใจตำรวจ-ทหารมาก่อนหน้าตั้งแต่ช่วงก่อนและหลัง 14 ตุลา ทำให้คนมามุงดูมากขึ้นจนกลายเป็นล้อมตำรวจในที่สุด เท่านั้นไม่พอยังรุมกันด่าทอตำรวจอย่างรุนแรงและหยาบคาย สถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี เมื่อตำรวจสองนายที่จับแท็กซี่พยายามให้แท็กซี่คนนั้นออกมาห้ามประชาชน แต่คนไม่ฟังแล้วหรอก พ่อว่า ตำรวจหนีออกจากที่นั้นไปได้ คนชุมนุมที่เต็มห้าแยกเลยเข้าไปถนนพลับพลาไชยและถนนเจริญกรุงก็เลยพากันตามไปถึงโรงพักพลับพลาไชย ความไม่พอใจตำรวจบานปลาย มีคนมาร่วมกว่าสองพันคน บางคนเข็นรถจี๊ปของตำรวจชนโรงพัก บางคนวิ่งไปทำลายมอเตอร์ไซค์ทั้งของตำรวจและคนอื่นๆ แถวนั้น มีคนเผารถตำรวจหน้าโรงพัก คนโห่ฮาด่าตำรวจกึกก้อง ไม่ต้องพูดถึงก้อนหินก้อนอิฐ โรงพักถูกขว้างปาเละเทะไปหมด เหตุการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พ่ออยู่ในเหตุการณ์ตลอด

พอห้าทุ่มครึ่งไฟฟ้าบนโรงพักดับ คนก็กรูกันขึ้นโรงพัก บางส่วนจุดไฟเผา ไฟลุกโหมจนเหมือนจะเอาไม่อยู่ รถดับเพลิงมาถึงอย่างรวดเร็วแต่เข้าไปไม่ได้ คนด่าตำรวจดับเพลิง ที่เวลาชาวบ้านไฟไหม้ มาช้าแสนช้า แถมไม่ยอมฉีดน้ำดับ ต้องเงินมาน้ำถึงไหล อะไรอย่างนี้ กระแสความไม่พอใจของคนเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่คาดคิด เพราะข่าวที่ออกไปและตำรวจมาจากไหนก็ไม่รู้เต็มไปหมด ทราบภายหลังว่าระดมกันมาจากทุกสถานีตำรวจในกรุงเทพฯ เหตุการณ์จึงกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวแท้ๆ และรุนแรงเข้าไปใหญ่ ก่อนลามอย่างหยุดไม่ได้ มีการจุดเผาไฟรถที่จอดละแวกนั้นด้วย รถสิบล้อคันหนึ่งถูกขับและพลิกล้มขวางถนนเพื่อสกัดตำรวจ ที่สุดเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น! ตำรวจยิงใส่คนที่ชุมนุม!

“นั่นแหละเรื่องร้ายแรงที่ถูกลืมมาจนถึงทุกวันนี้ก็ดำเนินต่อไปอีกสี่วัน เพื่อนพ่อคนหนึ่งถูกยิงบาดเจ็บสาหัส เพื่อนคนอื่นๆ ที่ทราบเรื่องก็พากันมาชุมนุมเพิ่มเติม เพื่อนพ่อที่ขึ้นสามล้อตามไปกันตอนแรกสองคนถูกตำรวจยิงเสียชีวิต” พ่อบอก ตอนนั้นผมเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ผมสนใจเรื่องราวของความไม่เป็นธรรมในสังคมมาก

“สุดท้ายมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะเหตุการณ์บานปลาย มีคนชุมนุมเป็นจุดๆ ย่านนั้น เลยไปไกลถึงหัวลำโพง แถวสามแยกหน้าธนาคารเอเชียก็มีคนถูกยิงตายด้วย คนประท้วงเป็นจุดๆ แบบนี้ เหมือนกลียุคเลย มีคนชุมนุมตรงไหนตำรวจก็ไปปราบ แน่นอนคนก็บาดเจ็บล้มตาย สุดท้ายทั่วเยาวราชและใกล้เคียงเต็มไปด้วยตำรวจทุกซอกซอย การแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงใช้ไม่ได้หรอก เมื่อเหตุการณ์สงบลงคนตายไป 26 คน นี่เฉพาะที่ตำรวจแถลงนะ พ่อว่ามีอีกเยอะ”

พ่อเล่าย้อนอย่างดุเดือดในวัยของผมขณะนั้นทำเอาผมฮึกเหิมมาก พ่อในวันนั้นผิดกับพ่อในวัยย่างเข้าหกสิบในอีกสามสิบกว่าปีต่อมาราวกับคนละคน

ผมทราบจากแม่ภายหลังว่าพ่อถูกยิงเข้าคอ เพราะพ่อไม่เคยเล่า กระสุนเฉียดก้านสมองไป พ่อหมดสติไปหลายวัน หลังผ่าตัดและฟื้นมา พ่อเงียบขรึม เลิกพูดถึงเหตุการณ์วันนั้น ไม่ไปแถบเยาวราชอีกเลย แม้แต่เหตุการณ์ 6 ตุลาที่พ่อไปร่วมในธรรมศาสตร์ ก่อนจะหนีออกมาทัน พ่อยังไปยืนดูคนถูกลากไปตามถนนและดึงแขวนต้นไม้ก่อนทำร้ายศพ พ่อดูภาพคนยืนหัวเราะกันราวกับดูหนังตลกด้วยน้ำตานองหน้า พ่อกลับมาบ้านอย่างเศร้าซึม แม่บอก

ในชีวิตพ่อเล่าให้ผมฟังครั้งนั้นเพียงครั้งเดียวและไม่เคยกล่าวถึงอีกเลยจนถึงวันตาย ไม่ว่าใครจะพูดเรื่องแถวห้าแยกหรือเหตุการณ์ 6 ตุลา พ่อจะไม่เข้าร่วมหรือแม้แต่จะเอ่ยถึง พ่อกลายเป็นใครอีกคนที่ไม่ใช่พ่อคนเดิม แม่บอกย้ำหลายหน

ผมเรียนจบเพียง ปวช. ซึ่งคำว่าเพียงนี้ก็ได้มาจากพ่อ พ่อมักพูดกับคนอื่นอย่างนี้ ไอ้นี่มันจบแค่ ปวช. ภายหลังผมสอบเข้ามัธยมปลายโรงเรียนชื่อดังไม่ได้ พ่อก็บอกให้เรียน ปวช.ใกล้บ้านไปก่อน ปีหน้าสอบใหม่ ปีถัดมาผมก็ยังสอบไม่ได้อีก พ่อหาว่าผมไม่พยายาม ทั้งๆ ที่ผมอ่านหนังสือเตรียมสอบทั้งปีตามแผนที่พ่อกำหนดไว้ให้หมด แต่ผมก็ทำตามไม่ได้ จึงต้องเรียน ปวช.จนจบแล้วก็ออกมาอยู่บ้านหนึ่งปีโดยไม่ได้ทำการงานอะไรหรือเรียนต่อระดับ ปวส. เพราะผมล้มป่วย ผมเบื่ออาหาร ไม่อยากรับประทาน ผอมลงๆ จนกระทั่งพ่อพาไปหาหมอ หมอตรวจไม่พบความผิดปกติทางกาย จึงส่งไปตรวจทางใจ หมอทางใจบอกว่าผมเป็นโรคซึมเศร้า ให้ยามารับประทานแล้วนัดไปพบใหม่ทุกเดือน

ผมกินยาบ้าง ทิ้งบ้าง หมกตัวแต่ในห้อง ไม่พูดจากับใคร ไม่อยากไปไหน ไม่อาบน้ำ ไม่ลงมาข้างล่าง ผมดูทีวีบ้าง ฟังเพลงบ้าง นานเข้าก็ไม่คิดอยากอะไรทั้งนั้น ผมสามารถนั่งนิ่งๆ ทั้งวันได้โดยไม่ทำอะไร ไม่กระดุกกระดิก ช่วงนั้นผมเริ่มจำอะไรไม่ได้ ทั้งหมดนี้ที่ผมรู้เพราะแม่บอกในภายหลัง

ผมทราบจากแม่ว่าผมตัดจากตัวเองจากโลกภายนอก หมอรับผมเข้าเป็นคนไข้ในนานหลายเดือน เมื่อออกมาก็ยังเข้าๆ ออกๆ อีกกว่าสิบปี หนักสุดผมอาละวาด ทำลายข้าวของ ทำร้ายแม่ ผมจึงต้องพักรักษาในโรงพยาบาลอีกหลายเดือน ผมค่อยๆ ดีขึ้น จำตัวเองได้ เห็นตัวเองครั้งแรก ผมก็แปลกใจว่าทำไมตัวเองไปอยู่ที่นั่น เมื่อเริ่มระลึกได้ ผมก็อยากกลับบ้าน หลังแม่มาเยี่ยมและบอกแม่ จากนั้นอีกครึ่งปีต่อมาหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้

ทว่าหลังจากเดินเข้ามายืนภายในบ้านในวันนั้น แม้จะอายุเลยสี่สิบแล้ว ผมรู้สึกว่าพายุกำลังจะโหมกระหน่ำเข้าใส่ตัวผม มองไปทางใดอึดอัดไปหมด จนกระทั่งเสียงแม่จากด้านหลัง “ขึ้นไปดูห้องแกสิ ยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน”

เท่านั้นแหละ ผมเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ผมนึกภาพตัวเองและความเป็นอยู่ในอดีตได้ มันแจ่มชัดในหัวอย่างลบไม่ออก ช่างน่าสะอิดสะเอียนและขยะแขยง ผมบอกแม่ไปว่า “ซื้อใหม่ได้ไหม”

“ซื้ออะไร” แม่ถาม

“ของในห้อง ทิ้งหมด ผมไม่อยากได้ ไม่อยากอยู่กับพวกมัน” ผมเริ่มเสียงสูง รู้สึกตัวอีกครั้ง ผมกลับมาที่โต๊ะรับประทานอาหาร มองไปที่เก้าอี้ ผมอยากเปลี่ยนแปลงบ้านหลังนี้ใหม่หมด แต่คงทำไม่ได้ คงต้องไปอยู่ที่อื่นดีกว่าที่ไม่ใช่บ้านหลังนี้ “ไอ้เก้าอี้ตัวนี้ไงแม่” ผมเตะโครมไปที่เก้าอี้ของพ่ออย่างแรง

แม่เดินเข้ามาดึงผมไปกอด แม่ไม่พูดอะไรอยู่นาน ก่อนที่แม่จะพูดออกมาในที่สุด “ตอนนี้เราเหลือกันสองคนนะ”

“พี่จิตล่ะ”

“พี่เขาไม่เคยติดต่อมาเลย หลายปีแล้ว”

“พี่เขาเคยไปหาหนูสองครั้ง”

แม่บีบหัวไหล่พลางผลักผมออก แม่ตกใจ ตาโต “จริงหรือ” แม่บีบหัวไหล่ผมอย่างแรง “พี่แกเขาอยู่ไหน”

“หนูไม่รู้”

ผมไม่รู้จริงๆ หลังจากรู้สึกตัวคราวนั้นก็จำได้ว่าพี่จิตมาเยี่ยมอีกสองครั้ง เธอห้ามไม่ให้บอกใคร แม้แต่แม่ เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่า พี่สาวผมมาเยี่ยมตลอดทุกสัปดาห์ตั้งแต่ผมเข้าโรงพยาบาลที่นั่น เธอรู้ได้จากใคร อะไร ผมไม่ทราบเลย

พี่จิตหนีออกจากบ้านตอนผมเรียน ปวช.ปีที่สอง วันที่พี่จะไป พี่เดินมาหาผมในห้องแล้วร้องไห้กอดผม พี่ให้เงินห้าร้อยบาท แล้วบอกให้ดูแลแม่และดูแลตัวเองให้ดี วันหนึ่งพี่จะกลับมาดูแลเราทั้งสองคน แล้วพี่ก็ไป ไปอยู่ที่ไหนกับใคร ไม่รู้เลย

รู้แต่ว่ากิ๊บติดผมชิ้นหนึ่งที่ผมแอบเก็บขึ้นจากกองไฟที่พ่อนำเสื้อผ้าข้าวของพี่มาเผาจนหมดยังอยู่กับตัวจนถึงทุกวันนี้

พ่อเสียชีวิตช่วงที่หมอบอกผมต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาล ตอนที่ผมอาละวาดทำร้ายแม่ พ่อจากไปเป็นปีๆ แล้ว ผมยังจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าบ้านเงียบมาก พ่อเผาข้าวของของพี่จิต จากนั้นก็อยู่ในโลกของพ่อ ไปทำงาน กลับบ้าน ไปทำงาน กลับบ้าน แม่บอกอย่างนี้ พ่อเป็นอย่างนี้อีกกี่ปีผมไม่รู้ รู้แต่ว่าพ่อไม่เคยไปหาผมเลย

วันหนึ่งที่พ่อข้ามสะพานลอย สายไฟที่ห้อยระโยงระยางบนสะพานลอยที่พ่อเดินข้ามทุกวันเกิดชอร์ตใส่พ่อ หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า “ชายชราดวงถึงฆาตข้ามสะพานลอยถูกไฟชอร์ตตาย” การไฟฟ้าฯ แจ้งเพียงว่าสายไฟเกิดชำรุด แจ้งเมื่อนักข่าวไปสัมภาษณ์ ไม่มีการขอโทษหรือแสดงความรับผิดชอบใดๆ

“ตอนเกิดเหตุการณ์จลาจลที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ประเทศจีน พ่อแกก็ชื่นชมว่ารัฐบาลจีนทำถูก ทั้งๆ ที่ทั่วโลกประณามจีนกัน พ่อดูข่าวแล้วชี้ใส่ทีวี ด่านักศึกษาว่าไอ้พวกโง่” พ่อพูดซ้ำว่าไอ้โง่ แล้วก็ร้องไห้อยู่อย่างนั้น แม่เล่า จากนั้นแม่ก็พรั่งพรูความเป็นพ่อออกมาราวกับก๊อกน้ำรั่ว “พ่อกลายไปเป็นคนที่แม่แทบไม่รู้จัก ตอนพฤษภาทมิฬพ่อด่าคนชุมนุมที่สนามหลวงว่าพวกอีเดียด ถือมือถือไปชุมนุม ตอนเสื้อแดงถูกล้อมปราบปี 53 พ่อแกหัวเราะดีใจเหมือนถูกหวย หาว่าสมควรแล้วไอ้พวกขี้ข้าทักษิณ พ่อแกเปลี่ยนไปหมด แม่ว่าที่พ่อแกเปลี่ยน คงมาจากประโยคนั้น ประโยคที่พ่อแกชอบพูดกับแม่ว่า คนเราต้องอยู่ให้เป็น เห็นไหม อย่างกูไง” แม่พูดเสียงเรียบว่าพ่อมักน้ำตาไหลเสมอเวลาพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้

ผมเป็นคนอีกรุ่น แม้จะเรียนแค่ ปวช. แต่ก็อ่านหนังสือ ติดตามข่าวสาร ผมชอบที่ อ.ศิลป์ พีระศรี พูดไว้ “นายไม่อ่านหนังสือ นายจะรู้อะไร” ผมจึงยอมรับเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ไม่ได้หรอก ผมเคยเถียงพ่อเช่นนี้ ผลหรือ พ่อหัวเราะเยาะใส่

“เด็กอย่างแกจะรู้อะไร สอบมอสี่ยังไม่ติดเลย” นั่นคือคำสบประมาทของพ่อที่มีต่อผม

หลังจากผมกลับบ้านไม่ถึงสัปดาห์ พี่จิตก็กลับมา ตอนแรกไม่ทราบว่าพี่จิตรู้มาก่อนว่าผมจะกลับ เพราะหลังจากดีขึ้นก็ไม่เคยเห็นพี่จิตเลย พี่จิตไม่มาเยี่ยม ไม่ส่งข่าวมาให้ มีแต่ผมเองที่เฝ้ารอ เมื่อพี่จิตกลับบ้าน บ้านจึงสมบูรณ์ขึ้น เป็นบ้านที่มีผม พี่จิตและแม่

ทว่าก็ยังไม่มีใครนั่งเก้าอี้ตัวนั้น

ผมบอกพี่บอกแม่ “เอาไปทิ้งเถอะ”

แม่ตอบ “แกคิดว่าจะง่ายอย่างนั้นเลยหรือ เอาสิ แกเอาไปทิ้งเลย”

คืนนั้นผมนอนนึกภาพตัวเองกำลังลากเก้าอี้แสนหนักตัวนั้นไปทางในบ้าน เปิดประตูแล้วข้ามธรณีประตูก่อนจะลากไปตามทางเข้าบ้าน ผ่านสนามหญ้าจนถึงประตูรั้วแล้วยกข้ามประตู ลากออกไปวางหน้าถังขยะใบใหญ่ที่ชิดรั้ว ผมคิดว่าภาพทั้งหมดควรจะออกมาอย่างนี้แล้วโยนยานอนหลับหนึ่งเม็ดใส่ปาก ตามด้วยน้ำเปล่าแล้วล้มตัวนอน

เช้ามาหลังแปรงฟันทำธุระเสร็จ ผมเดินมาโต๊ะรับประทานอาหาร แม่เตรียมอาหารเช้าไว้แล้ว ผมตักเข้าปากพลางมองไปที่เก้าอี้ของพ่อ หลังกินเสร็จ ผมบอกตัวเองว่าไว้ตอนบ่ายก็ได้ ตอนนี้ขอขึ้นไปทำอย่างอื่นก่อน จนล่วงเข้าตอนเย็น ผมลงมารับประทานอาหารอีก ผมมองเก้าอี้แล้วก็เดินเลยไปออกนอกบ้าน ผมไปหาเพื่อน กลับเข้าบ้านอีกครั้งก็ดึก ได้เวลานอน

ตื่นสายไปหน่อย ไว้เย็นก็แล้วกัน ผมบอกตัวเองอย่างนั้น แล้วก็ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปนับเดือน

แม่ไม่ว่าอะไร เก้าอี้ยังอยู่ที่เดิมตรงนั้น จริงของแม่ ผมไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม แค่คิดจะเอื้อมมือไปสัมผัสยังไม่กล้าเลย

พี่จิตซึ่งมีครอบครัวแล้ว นานๆ ที่มาเยี่ยมก็ไม่เคยนั่ง ไม่แม้แต่จะพูดถึงด้วยซ้ำ เหตุนี้เมื่อผมไม่นั่ง พี่จิตไม่นั่ง แม่ก็ไม่นั่ง เก้าอี้ของพ่อจึงยังอยู่ตามเดิม เหมือนพ่อที่ยังคงอยู่ในบ้านหลังนี้ ทุกที่ภายในบ้าน ทุกความทรงจำของเรายังมีพ่อ

แม้จะยังไม่มีใครนั่งเก้าอี้ตัวนั้นอีกแล้ว

ก็ยังไม่มีใครกล้าทิ้งเก้าอี้ตัวนั้น