เรื่องสั้น | ชาร์จแบตเตอรี่

ลูกชายคนเล็กเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนปีหนึ่งด้านศิลปะ เปิดประตูบ้านจัดสรรให้พ่อ เขาขับรถยนต์กระบะสีดำมาจอดกึ่งกลางประตู หันหน้ามาพูดกับลูกชาย

“พ่อจะไปเยี่ยมย่าที่สันป่าตองสัก 3-4 วันนะ ย่าแก่แล้ว หลงๆ ลืมๆ”

“ย่าปีนี้อายุเท่าไรแล้วพ่อ”

“84 ย่าง 85 กำลังวังชาลดน้อยถอยลง ย่าอยู่คนเดียว ทำอาหารกินเอง ซักผ้าเอง สารพัด สงสารย่า คงเหนื่อยมาก บ้านน้องสาวอยู่ใกล้ก็จริง ช่วยอะไรไม่ได้มาก แก่เฒ่าเหมือนกัน เกิดอะไรกลางค่ำกลางคืนใครจะช่วยทัน”

“เออ ดีละ พ่อรีบไป บอกย่าด้วย สอบเสร็จบีจะไปอยู่ดูแลย่า”

“พ่อไปนะ เสาร์-อาทิตย์ไม่มีกิจกรรมที่มหาวิทยาลัย ไม่มีการบ้าน ก็ไปช่วยแม่ขายเสื้อผ้า แม่จะได้ไม่เหนื่อยมาก”

“ครับ พ่อ”

ในตอนเช้าจันทร์ถึงศุกร์ บีขับเวสป้าไปเรียนหนังสือ เอพี่ชายบีขับรถออกไปทำงานกับพี่สะใภ้ โดยเอจะไปส่งภรรยาที่ทำงานก่อนแล้วขับรถนิสสันเก๋งขนาดเล็กไปที่ทำงานของตน เอส่งค่าผ่อนบ้านเดือนหนึ่งหมื่นบาท ส่วนภรรยาผ่อนรถยนต์ แม่บีขายเสื้อผ้าที่ตึกเช่าข้างร้านอาหารชื่อดัง จะขายได้ดีหากมีรถทัวร์แวะกินอาหาร เอพี่ชายยังส่งน้องชายเรียนหนังสือ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจิปาถะในครอบครัวด้วย พ่อเกษียณรับบำนาญ ช่วยรายจ่ายครอบครัวได้ส่วนหนึ่ง

เงินบำนาญของพ่อส่วนหนึ่งต้องส่งให้ย่าไว้ใช้จ่าย ครอบครัวดำเนินชีวิตแบบประคับประคองกันเดินไป สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยลำแข้งตามวิถีคนชั้นกลางทั่วๆ ไป

“พ่อเป็นคนขยัน ไม่ชอบอยู่นิ่ง ไปอยู่บ้านย่า เช็ดถูบ้านแทบทุกวัน ซักผ้าให้ย่า ทำอาหารให้ย่ากิน กวาดใบไม้ตามลานบ้าน กวาดใบไม้ตามหลังคา พลาดตกลงมากระแทกดินจนเจ็บเอวเรื้อรัง”

“ไม่น่าเลย ไปหาหมอหรือยัง” เอพี่ชายถามท่าทางหงุดหงิด

“ไปมาแล้ว แม่ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง 2-3 วันก่อนปีนบันไดขึ้นไปตัดกิ่งไม้ที่ขึ้นสูงไปหาสายไฟฟ้าตกลงมา พ่อบอกว่าต้องนอนนิ่งพักหนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นได้ เจ็บมาก ทนไม่ไหว ขับรถตัวแข็งไปหาหมอโรงพยาบาลอำเภอ เอ็กซเรย์แล้วกระดูกเอวไม่เป็นไร กินยาหมอพอดีขึ้นจึงกลับบ้านได้”

“ขึ้นต้นไม้ทำไม จ้างเขาตัดก็ได้ พ่อรั้น ขยันไม่เข้าท่า” บีลูกชายคนเล็กกล่าวฉุนเฉียวห่วงใยพ่อ

แต่นั่นแหละ ชีวิตคนก็เหมือนบทเพลงที่มีเนื้อร้องตอนหนึ่งว่าชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน ทุกคนในครอบครัวพากันตื่นเต้นดีใจกัน เมื่อเอพี่ชายบอกว่าพาภรรยาไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอบอกพี่สะใภ้มีครรภ์ได้ 2 เดือนแล้ว ต่างลืมเรื่องราวเจ็บเอวเรื้อรังของพ่อไปพักหนึ่ง แม่เอกำชับลูกสะใภ้ดูแลตนเองให้ดี หาอะไรดีๆ มาบำรุง เอาอกเอาใจลูกสะใภ้ ไม่ให้ทำอะไรมีผลกระทบลูกในท้อง

บรรยากาศมีทีท่าไปได้ดี พอรุ่งเช้าลูกสะใภ้บอกว่ามีเลือดออกช่องคลอด จึงรีบไปโรงพยาบาล หมอตรวจแล้วให้ยามารักษา กำชับให้ระมัดระวัง การกระทบกระเทือนอาจทำลูกแท้งได้ ครอบครัวกลับมาเศร้าซึมอีกครั้ง เอสามีต้องคอยปลอบภรรยา เธอร้องไห้เป็นห่วงลูกในท้องแท้งตลอดคืน

พออาการลูกสะใภ้ดีขึ้น ทุกคนค่อยหายใจโล่งอกได้พักหนึ่ง แต่แล้วพ่อของเอได้เจ็บอกมากในค่ำวันหนึ่ง พอใกล้สว่างนอนกัดฟันบอกแม่ เจ็บอกมากจนทนแทบไม่ไหว เหมือนมีอะไรหนักมาทับกลางอก เอและแม่รีบพาพ่อส่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดทันที หมอบอกให้นอนพักโรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการอย่างละเอียด แม่ทำหน้าที่นอนเฝ้า

“คนไข้เป็นโรคเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย เส้นเลือดหัวใจตีบมาก รับเลือดไปเลี้ยงไม่พอ จึงเกิดอาการเจ็บหน้าอก” หมอเจ้าของไข้บอกเสียงราบเรียบในเช้าที่มาตรวจคนไข้ประจำวัน

“มี 2 วิธี อาจทำบายพาสหรือใส่บอลลูนต้องดูก่อน วิธีใดเหมาะกับคนไข้”

หลังการทำบายพาสพ่อเอกลับมาใช้ชีวิตตามปรกติ แต่ร่างกายไม่แข็งแรงดังแต่ก่อน คนในครอบครัวกลับมองเป็นผลดีต่อพ่อ ไม่ต้องทำอะไรเสี่ยงเจ็บป่วย อีกนั่นแหละ นิสัยคนยากจะเปลี่ยน พ่อของเอยังคงปีนต้นไม้แต่ไม่สูงเท่าเดิม ยกของหนักโดยลืมตัว ลูก-เมียสอบถาม ตอบไม่ได้ทำอะไรหรอก

ย่าความจำลดลง พูดตอนเช้าบ่ายลืมไปเลย พูดคำถามเดียวซ้ำๆ หลายครั้ง

“อาบน้ำหรือยัง” ถามลูก 3 ครั้ง

“กินข้าวหรือยัง” ถามหลานตอนมาเยี่ยม 2 ครั้ง

เช้าวันหนึ่ง ย่าเดินผ่านหน้าบ้าน เกิดอาการวูบล้มลงในพุ่มไม้ รู้สึกตัวอีกครั้ง ญาติพี่น้องประคองนั่งเก้าอี้ใต้ถุนบ้าน พ่อเอตรวจดู ไม่ถลอกไม่บวม ย่าบอกขัดยอกเล็กน้อย หลายคนโล่งอก ตกกลางคืนย่าบอกปวดตุบๆ ตรงก้นกบเป็นพักๆ พอเช้าจนบ่าย ย่าบอกเจ็บมากขึ้น พ่อบีรีบนำส่งโรงพยาบาลประจำอำเภอ หลังเอ็กซเรย์กระดูกเชิงกรานย่าร้าว พ่อเอต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อพ่อกลับบ้านในตัวเมืองอยู่กับครอบครัวได้ 2-3 วัน ต้องจ้างญาติห่างๆ นอนเฝ้าย่า เผื่อฉุกเฉินเวลาใดจะช่วยได้ทัน

เหตุการณ์ย่าล้มป่วย สร้างความกังวลเพิ่มแก่เอ พ่อสุขภาพไม่ค่อยดี มานอนพักบ้านในเมืองไม่กี่วันก็ต้องรีบเดินทางไปอยู่ดูแลย่าอีกแล้ว ย่าเป็นคนใจแข็ง เจ็บป่วยพอทนได้จะไม่บอกใคร

พี่สะใภ้คลอดลูกแล้ว เอสามีได้ลูกสาว สุขภาพแข็งแรงทั้งแม่-ลูก ทำความตื่นเต้นดีใจแก่สมาชิกในครอบครัว แม่เอตื่นเต้นมาก หน้าเบิกบานแจ่มใส พ่อเอไม่พูดอะไร ยืนนิ่งยิ้มมองหน้าหลานสาวตัวน้อย ตาเปล่งประกาย

เด็กหญิงเกิดมาท่ามกลางความรักและเอาใจใส่อย่างดี ชื่อเล่นว่า “ขวัญ” ขวัญพัฒนาอย่างราบรื่น ไม่งอแง แข็งแรง อารมณ์แจ่มใส ร่างกายพัฒนาตามวัย ราว 10 เดือนเศษเริ่มยืนในคอกสำหรับเลี้ยงเด็กตามยุคสมัย ยืนขึ้นสาวมือไปตามท่อพลาสติกบนสุด ก้าวเดินไปรอบๆ จนเอบอกว่าเดินวันยังค่ำ พ่อ-แม่เลี้ยงดูตามคู่มือเลี้ยงเด็กหลายเล่ม ทั้งโภชนาการ การอบรมสั่งสอน ปัสสาวะ อุจจาระไม่ยุ่งยากเหมือนยุคพ่อ-แม่ ใช้แพมเพอร์สผ้าอ้อมสำเร็จรูปปิดอวัยวะขับถ่ายหนัก-เบาไว้

พ่อน้องขวัญ เลี้ยงดูสั่งสอนลูก ช่วยภรรยาแข็งขัน วันนี้ลูกสาวกำลังซนและน่ารัก อายุเกือบขวบแล้ว

“สอนน้องขวัญทีละอย่าง จะได้จำง่าย ไม่สับสน” พ่อน้องขวัญบอกญาติพี่น้อง

“นอยๆๆ” พ่อน้องขวัญทำมือฟ้อน หลายคนปรบมือให้จังหวะ เด็กตัวน้อยมองแล้วทำตาม นิ้วขาวเล็กและข้อมือที่หมุนน่ารักน่าเอ็นดูที่สุด พ่อสอนทำปากแบบต่างๆ พนมไหว้ทำได้ แต่เป็นแบบปลายนิ้วแตะกัน สอนยิ้มทำได้ เห็นฟันซี่เล็กขาวล่าง 2 ซี่แล้วหุบยิ้มรวดเร็วนอกคำสอน เรียกเสียงหัวเราะแก่คนรอบตัว

น้องขวัญกลายเป็นศูนย์กลางครอบครัว ส่งพลังความสุขสดชื่นแก่ทุกคน

พอย่าดีขึ้น เดินเหินสะดวก ช่วยตัวเองได้ พ่อเริ่มสุขภาพไม่ดีอีกแล้ว กลืนอาหารไม่สะดวกเหมือนมีก้อนอะไรในหลอดอาหาร ต่างคิดว่าไม่เป็นอะไรมาก ซื้อยามากินเองแต่ไม่ดีขึ้น ผ่านไปราว 2-3 วันพ่อไอถี่ขึ้น อาเจียนออกเป็นเลือด สัญญาณอันตรายเริ่มกะพริบเตือน ตอนเช้าพ่อไอเป็นเลือดออกมาอีกกว่าครึ่งกระโถน ครอบครัวพาพ่อส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบ พ่อต้องนอนพักในห้องผู้ป่วย ให้หมอตรวจดูอาการ ต่อมาหมอบอกว่าพบก้อนเนื้อที่หลอดอาหารใกล้เส้นเลือดใหญ่

หมอได้นำชิ้นเนื้อไปตรวจแล้วทำการรักษาไปพักหนึ่ง ไม่บอกว่าเป็นอะไร คนไข้อดทนไม่ไหวถามหมอในเช้าวันหนึ่ง

“ผมเป็นมากไหม”

“เยอะอยู่”

ภรรยายังมีคำถามคาใจ ลูกชายพาพ่อนั่งล้อเข็นออกมาก่อน ภรรยาถามหมอต่อ

“ถามจริงๆ เถอะค่ะ คุณหมอ ตรวจชิ้นเนื้อแล้วคนไข้เป็นมะเร็งหรือเปล่า ระยะใดคะ”

หมอจ้องหน้าผู้ถาม แววตาหมอฉายความมั่นคงทางอารมณ์

“เป็นมะเร็งระยะที่ 3”

ภรรยาคนไข้นิ่งเหมือนรูปปั้น ถามต่อ เสียงเริ่มสั่นแม้พยายามควบคุม

“จะรักษาอย่างไรต่อไปคะ”

“ผ่าตัดเอาก้อนเนื้อในหลอดอาหารออกไม่ได้เพราะอยู่ติดกับเส้นเลือดใหญ่ จะรักษาโดยฉายรังสีและเคมีบำบัด เพื่อฆ่าเชื้อมะเร็ง”

“จะเริ่มรักษาเมื่อไหร่คะ”

“รอให้ร่างกายคนไข้แข็งแรงขึ้นอีกหน่อยจึงจะทำการรักษาต่อได้”

“คนไข้ต้องนอนโรงพยาบาลไหมคะ”

“ห้องยังไม่ว่าง หมอจะจัดยาให้คนไข้กลับไปพักที่บ้านก่อนนะ มีอะไรฉุกเฉินรีบมา ถ้าไม่มีอะไรก็มาหาหมอตามนัด”

หมอเริ่มทำการรักษาพ่อ พี่เอขับรถไปส่งพ่อจันทร์ถึงอาทิตย์เว้นพฤหัสฯ ฉายรังสีรวม 28 ครั้ง เคมีบำบัดทุกวันพฤหัสฯ พ่อกลืนอาหารไม่ได้ เจ็บคอ ต้องให้อาหารทางสายยาง โดยหมอเจาะท้องลงสู่ลำไส้เล็กดูดซึมไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ให้อาหารพ่อทางสายยางวันละ 4 ครั้ง เป็นอาหารเหลว ต้องจ่ายเงินซื้อเอง ไม่สามารถใช้สิทธิข้าราชการบำนาญของพ่อเบิกได้ เดือนหนึ่งเป็นเงินไม่น้อยเลย

หลังการรักษา คนในครอบครัวสังเกตดู พ่อมีอาการผมร่วง อ่อนเพลีย เมื่อรักษาพ่อครบกระบวนการแล้ว ได้พาพ่อไปให้หมอตรวจดูอาการตามนัด หมอบอกว่าไม่ได้ผล ก้อนเนื้อร้ายไม่มีปฏิกิริยาต่อการรักษา

“ต้องทำอย่างไรต่อไปคะหมอ”

แม่ถามสีหน้ากังวลมากขึ้น ชำเลืองดูพ่อนั่งล้อเข็นใกล้ๆ อย่างห่วงใย ความรักสงสารวิ่งจับจิตเย็นเยือก

“ต้องเปลี่ยนสูตรเคมีบำบัดใหม่ ไม่ต้องกังวลอะไรให้มาก จะหายคือหาย ไม่หายก็ตามนั้น…” เหมือนประกาศิตท่านเปาบุ้นจิ้นหน้าดำตัดสินคดีเฉียบขาด กรีดบาดแผลลึกในใจผู้ฟังให้เจ็บปวดสาหัสฉกรรจ์

พ่อนอนรักษาด้วยเคมีบำบัดรอบ 2 ในห้องนอนบ้านชั้นบน ภรรยาและลูกพาน้องขวัญขึ้นไปหา หวังให้หลานช่วยด้านสุขภาพจิต พ่อเอได้ยินเสียงค่อยลุกขึ้นนั่ง มองหลานยืนข้างหน้าเขม็ง ตาหม่นเศร้าฉายแสงแห่งความสุขวาบหนึ่ง

เช้าอันฉุกละหุกมาถึง พ่อเออาเจียนเลือดมากประมาณกระโถนหนึ่ง ครอบครัวนำส่งโรงพยาบาลเร่งด่วน ความหวาดหวั่นกระจายสู่ทุกคน ไม่พูด แต่ว้าวุ่นในใจ ผ่านเวลาวิกฤตได้เพียงคืนหนึ่ง พอบ่ายแก่อีกวัน พ่อก็จากไปอย่างเงียบๆ ข่าวพ่อตายส่งแรงสั่นไหวสู่ลูกเมียพี่น้อง

งานศพที่ใครไม่อยากจัด มีขึ้นแล้วผ่านไป หลังพ่อตายย่าเงียบขรึมลง แม่เอทำใจยอมรับความจริงได้ยากอีกคน กินยานอนหลับ 3 เม็ดยังเอาไม่อยู่ นอนไม่หลับเพราะใจไม่สงบนิ่ง สมองไม่หยุดคิด กลางวันว่างคิดมาก ต้องหาอะไรทำ เลี้ยงหลานสาวตัวน้อยช่วยได้บ้าง พอหลานหลับก็ว่าง ลูกไปทำงานกันหมด 18.00 น.เศษจึงเข้าบ้านพร้อมหน้าพร้อมตา หาอะไรทำจนไม่มีอะไรทำ ว่างก็คิดอะไรต่ออีก ความเหงาความเศร้าถึงสามีเข้าครอบคลุมจนหมด กลางคืนลูก-หลานต้องนอนเป็นเพื่อน

น้องชายอารมณ์อ่อนไหว ติดพ่อ ยึดพ่อเป็นฮีโร่ ซึมเซาไม่น้อยกว่าแม่ ย่าเริ่มทรุดโทรมเสียใจเรื่องลูกชายตายเพิ่มอีกคน นั่งเหม่อลอย ถามคำ ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง เอต้องทำโอทีหารายได้ให้พอรายจ่าย แม่บอกเอว่าหลานสาวตัวน้อยตาเหมือนเหล่ เปลือกตาหย่อน…พลังความสุขสดชื่นจากน้องขวัญ ไม่มากพอจะขจัดความเศร้าเหงาคนในครอบครัวได้หมดสิ้น เรื่องราวทั้งมวลเข้ามารุกเร้าเอแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มเครียดจนเพื่อนที่ทำงานสังเกตเห็น แนะนำให้เอเลิกจมจ่อมในความทุกข์โศก ลดความเครียดโดยเร็วก่อนเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า

เอนั่งคิดอยู่หน้าบ้านในตอนเย็น ลองทำกิจกรรมลดเครียดแล้วไม่ได้ผลสักวิธี ใจไม่สงบทำไม่ได้ เอเห็นพ่อกับลูกชายคู่หนึ่งวิ่งผ่านไป ท่าทางกระปรี้กระเปร่า คุยกันปนหัวเราะขณะวิ่งไปตามถนนหมู่บ้านจัดสรร เอหันกลับเปลี่ยนชุดคว้ารองเท้าผ้าใบแล้ววิ่งจ๊อกกิ้งไปตามถนน วิ่งไปเรื่อยๆ ใจเริ่มจดจ่อต่อการวิ่ง ปลดปล่อยความคิดไประหว่างทาง เริ่มหายใจแรง วิ่งได้พักหนึ่ง เหงื่อชุ่มทั่วกาย รู้สึกสบายเนื้อตัวและสดชื่น เหมือนร่างกายหลั่งสารอะไรบางอย่าง

เอหยุดพักวิ่งหน้าบ้าน เดินไปมา รู้สึกผ่อนคลายปลอดโปร่ง ปัญหาทั้งหลายดูจะถอยห่างไกลออกไป ไร้พลังคุกคาม ไม่มีอะไรหนักใจต่อไป