เรื่องสั้น | เรื่องของไอ้แมว

ก่อนที่อะไรมันจะย่ำแย่ไปกว่านี้ ผมขอเล่าให้คุณฟังสักเรื่องแล้วกัน

แต่เดี๋ยว…ขอเวลาผมสักครู่ ขอผมรับโทรศัพท์ก่อนที่ปลายสายจะวางไป “ฮัล…ฮัลโหล”

ลูกอมครั้งที่อร่อยที่สุดในชีวิตของผม คือเมื่อครั้งรับลูกอมจากปากของเพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกัน ตอนเรียนเราชอบเล่นอะไรกันแบบนี้ ไม่เรื่องลูกอมก็เรื่องดวดช็อตต่อช็อต หรือไม่ก็พนันขันต่อแข่งกันกินซาลาเปาใครหมดก่อนเป็นผู้ชนะ แต่ผมชอบเล่นเกมแลกลูกอมกันมากที่สุด ลิ้นต่อลิ้นส่งต่อกัน ใครทำหล่นก่อนถือว่าแพ้ ก๊วนเรามีกันอยู่ทั้งหมดสี่คน หญิงสามคน และผมครึ่งชายครึ่งหญิงอีกหนึ่งคน อาจเพราะใครต่างก็คิดว่าผมเป็นคนจำพวก “พูดจานุ่มนวล มารยาทเรียบร้อย วางตัวดี สมเป็นกุลสตรี” ครั้งหนึ่งเพื่อนเคยเย้าแหย่ผมทำนองนี้ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในความเป็นเพื่อนที่นับวันจะมากกว่าเพื่อนของผม…

ผมประทับใจใบหน้าเล็กๆ และดวงตากลมโตของ “ก้อย” เพื่อนคนที่มีหนุ่มหลายคนมาชม้ายชายตาขายขนมจีบ เช่นกันผมเองก็ผู้ชายนี่…ลึกๆ ในความรู้สึกภายในจิตใจที่เป็นชายอกสามศอก ไม่แปลกที่ผมก็ต้องตาเธอ

“อืม สบายดี”

“เออๆ ฉันก็เป็นห่วงแกอยู่ ถ้าไม่มีอะไรก็แค่นี้นะ”

“อืม” ผมวางสายจากเพื่อนที่ชื่อก้อย…มาฟังเรื่องของผมกันต่อเถอะ

กวางและเพลงเปิดเผยสุดตัวว่าชอบกันและคบหาดูใจกันอยู่ ก็นะ นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว หญิงคบหญิงไม่ถือเป็นเรื่องแปลก ผมว่าดีเสียอีก ปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรจะได้หมดไป จะไม่ดีก็ตรงที่เวลาพวกเธอนั่งเล่นจ้ำจี้มะเขือเปาะแปะกันในขณะที่ผมกับก้อยนั่งดูหนังอยู่ในห้องนั่นแหละ สยิวกิ้วสิครับไม่ใช่อะไรหรอก คราวนั้นยังจำได้ดี ผมลอบมองก้อยระหว่างที่หนังหุ่นยนต์นักรบกำลังตีเข่าฟันศอกใส่กันอยู่ ไม่รู้ว่ามีอะไรติดปากก้อย เธอจึงแลบลิ้นออกมา… “ลิ้น” …แค่ลิ้นของเธอก็ทำให้ผมถึงกับนั่งกลืนน้ำลายหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว ไม่รู้ว่าวันนั้นผมเองตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นก้อยหันมายิ้มน้อยๆ ให้ผม

แต่นั่นมันก็หลายเดือนกว่าแล้ว ความสัมพันธ์ในทางลึกเร้นของผมเหมือนคิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว ก้อย กวาง เพลง และผมยังสานความเป็นเพื่อนซี้ต่อกันเหนียวปึ้กและแปะแน่นทนนานยิ่งกว่าเนื้อกาวใดจะมาลอกล่อน แม้หลังจบการศึกษาต่างแยกย้ายไปทำงาน แต่ก๊วนเราก็ยังสม่ำเสมอในการนัดเจอ…โอ เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน…ผมข้ามช็อตหนึ่งไป ลืมเล่าเรื่องราวตอนไปเที่ยวทะเลกันได้ไง โทษที

ผมขอย้อนไปเล่าเรื่องนี้ก่อน เพราะมันสำคัญมากสำหรับผม

ตืด…ตืด…ตืด…อีกแล้ว โทรศัพท์มา แป๊บนะ ขออนุญาตรับสายก่อน

“ไอ้แมว แล้วตอนนี้แกอยู่ไหนวะ” เสียงเพื่อนก้อยอีกแล้ว

“ไมวะ แกมีอะไรกับฉันรึเปล่า” ผมตอบอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์ออกไป

“ไม่มีไม่เป็นห่วงแล้วจะโทร.มาหาหอกอะไรวะ” มันตะคอกใส่

“แกอยู่ไหนตอนนี้ ฉันจะไปหา” นั่นสิ แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน…

“อยู่บ้าน” มั่วไปก่อน

“ตอแหล! ฉันโทร.ไปแล้ว แม่แกรับสายบอกว่าแกลางาน เห็นออกมาตั้งแต่เช้ามืด” …แล้วผมอยู่ที่ไหน ผมเองก็บอกมันไม่ถูก เอ้า! เอาสักที่แล้วกัน

“นั่งเล่นอยู่สวนฯ”

“ตรงอนุสาวรีย์ที่เดิมใช่มั้ย งั้นรอฉันอยู่ตรงนั้นนะ เดี๋ยวฉันรีบไปหา” เสียงก้อยท่าทางร้อนรนก่อนวางสายไป ผมว่าจะไม่กดรับโทรศัพท์แล้ว เรี่ยวแรงมันพานจะหมดเอาดื้อๆ

มาที่เรื่องของผมกันต่อเถอะ

เรานัดกันว่าหลังสอบเสร็จจะไปเที่ยวเสม็ดกัน ค้างคืนกันสักสองคืน นอนรวมอยู่ในห้องเดียวกันนั่นแหละประหยัดดี ดี…วิเศษเลย! ผมแอบคิดแผนชั่วอยู่ในใจ แต่เช้าวันถัดมาก่อนไป กวางและเพลงไหว้ขอโทษผมยกใหญ่ บอกอย่าโกรธนะ หากจะขอให้ผมเปิดห้องส่วนตัวนอนคนเดียว

“มันเป็นเรื่องของผู้หญิงๆ น่ะแก” เพลงพูดขึ้นอย่างอายๆ ซึ่งก้อยเองก็เห็นด้วย ส่วนผมจะไปว่าอะไรได้ ก็ต้องยืดอกยิ้มแย้มบอกว่าไม่มีปัญหาๆ แต่ในใจแทบอยากเอาหัวจุ่มชักโครกแล้วร้องลั่นออกมา

ทะเลเสม็ด ผมต้องอธิบายภาพไหมว่า ท้องฟ้าโปร่ง น้ำใส ทรายละเอียด ฟุ่มเฟือยน่ะ คุณรู้อยู่แล้ว ภาพทะเลในใจทุกคนมี อรรถาธิบายยาวไปก็ไม่ทำให้คุณเห็นทะเลต่างจากที่เคยเห็นหรอก เอาว่าไคลแมกซ์สำคัญตะลุ้มตุ้มป่องมันอยู่ที่ตอนกลางคืนนั่นต่างหากที่ผมอยากเล่า!

กลางคืนที่ทุกสิ่งเป็นใจ เมื่อก้อยออกมายืนรับลมทะเลอยู่ตรงริมระเบียงคนเดียว เพราะอะไรนั้นผมพอจะคาดเดาได้ สองคนนั่นคงกำลังสวีตหวานกันอยู่และก้อยก็คงไม่อยากเป็นก้างขวางคอ ผมเดินมาสะกิดไหล่ก้อยและถามพอเป็นพิธี ตอนนี้ก้อยคล้ายเป็นกวีบอกเห็นพระจันทร์แล้วเศร้า

“ดูสิ ดวงดาวเกาะกลุ่มกัน แต่ทิ้งจันทร์อ้างว้างเดียวดาย” อารมณ์ศิลปินผมตามก้อยไม่ทัน จึงพูดอะไรเปิ่นเทิ่งออกไป

“เหรอ ฉันก็เห็นมันอยู่อย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่” ก้อยผลักหน้าผมอย่างหมดอารมณ์

“เฮ้อ…เธอนี่นะ! บรรยากาศเสียหมด” ผมว่าก้อยตอนนี้ ตอนที่ยืนอยู่ริมระเบียง เบื้องหน้าเป็นท้องทะเล เหนือขึ้นไปมีพระจันทร์ดวงโต ฟ้าสีครามเข้ม เรือนร่างผอมบางในชุดนอน รวมองค์ประกอบของภาพทุกอย่าง ก้อยดูสวยงามหมดจด และในขณะที่กำลังพรรณนาไปร้อยแปดอยู่ในห้วงความคิดเหมือนจับพู่กันจุ่มสีแต่งแต้มระบายจนเกือบเต็มกระดาษอยู่นั้น ก้อยก็เตือนสติผมให้รู้ว่าผมไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว

“แมว”

“หืม ไรเหรอ” เหมือนเพิ่งตื่นแล้วยังรู้สึกง่วงอยู่

“ไปนั่งเล่นห้องแกได้มั้ยวะ” โอ้ว…สวรรค์! ทำไมมันจะไม่ได้ล่ะ ผมยินดีพร้อมใจอยู่แล้ว ตอนนี้หัวใจผมเต้นแรงกว่าปกติ ตาโตๆ ของก้อยจ้องนิ่งอย่างอ้างว้างมาที่ผม ผมถอนหายใจ พยายามคลายความตื่นเต้นแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนหลุดคำสั่นๆ ออกมาจากปาก

“ด…ได้สิ”

ผู้หญิงต่อให้เป็นเพื่อนสนิทและไว้ใจกันแค่ไหน ถ้าลองมาอยู่ในห้องเพียงลำพังกับผู้ชายสองต่อสองในห้องสี่เหลี่ยมยามค่ำคืนที่มีความเหงาลึกโอบรัด ต่อให้นั่งนอนดูเคเบิล เคี้ยวขนมกรุบกรอบและเล่นไพ่กินตังค์กันตาละห้าบาทสิบบาท แต่ก็หักห้ามอารมณ์ปรารถนาภายใต้สถานะทางเพศของกันไม่ได้หรอก ผมเองคนหนึ่งละที่ตอนนี้เป็นเช่นนั้น เช่นที่ครั้งหนึ่งเคยกระหายในลิ้นแลบเลียริมฝีปากของก้อย และตอนนี้อารมณ์แบบนั้นมันกลับมาคุคั่งอีกหน

ก้อยยังหัวเราะดีใจที่เล่นไพ่กินเงินผมได้หลายสิบ แต่ผมสิ…จวนจะระเบิดอยู่แล้วตอนนี้ แล้วผมก็เริ่มโดยสัญชาตญาณ เริ่มจากสัมผัสมือก้อย…ก้อยมองตาผมอย่างงงๆ สงสัย จากนั้นผมดึงมือก้อยเข้ามาทาบลงที่หัวใจผม ตาหวานเยิ้มสบตาก้อยแน่นิ่ง

“หัวใจฉันเต้นแรงว่ะก้อย” เธอยังทำท่างงๆ อยู่ เหมือนไม่รู้ว่านายพรานกำลังวางบ่วงล่อ

“แล้วไงวะแมว นี่แกกำลังทำฉันกลัวนะ” ตอนนี้หัวใจของผมมันกำลังทำงานหนัก สูบฉีดแรงและเร็วขึ้น แล้วผมก็ตัดสินใจเผยความอัดอั้นเบื้องลึกบอกก้อยออกไปตามตรง

“เรามีอะไรกันเถอะก้อย” ทันทีที่ประโยควัดใจของผมหลุดจากปาก ก้อยก็ลุกพรวดขึ้น ร่างบอบบางภายใต้ชุดนอนเบาบางนั้นก็เผยให้เห็นเรือนร่างภายในเมื่อก้อยเหมือนว่าจะเอาด้วยโดยค่อยๆ ถอดชุดนอนออก…บราสีชมพูผมยังจำได้ กางเกงในก็สีเดียวกันผมยังจำได้ แต่ที่สะท้านสะเทือนเสียดใจและจดจำได้แม่นมั่นที่สุดและผมอยากลืมก็คือ เมื่อก้อยสวมชุดคืนกลับอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า

“เป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้วแมว ถ้าแกอยากก็จำภาพเมื่อกี้ไว้ไปช่วยตัวเองในห้องน้ำแล้วกัน” แล้วก้อยก็อ้าปากหาว “ฉันว่าฉันกลับห้องดีกว่า”

น่าขัน…ขื่นไหมล่ะครับ ให้จำภาพแล้วไปปลิ้นออกเอาเอง

ผมนั่งเคว้งอยู่ในห้องจนเกือบเช้า ออกจากห้องมานั่งกินอาหารเช้าร่วมกับเพื่อนๆ เหมือนผีซอมบี้ ต่อจากนั้นก็นั่งมองเพื่อนๆ เล่นน้ำทะเลกัน กินอาหารทะเลตอนกลางวัน คุยเรื่องความหลังในห้องเรียน ผมมีอาการคล้ายคนละเมอตลอดสองวันที่เพื่อนๆ สนุกร่วมกัน ไม่รู้ว่ากวางกับเพลงจะสังเกตเห็นอาการนี้ของผมหรือเปล่า…แต่ก้อยสิเต็มๆ

ใครว่าเวลาเดินช้าเหมือนเต่า เร็วปานจรวดละสิไม่ว่า! เผลอแป๊บๆ จากเป็นนักเรียน ดูสิ ตอนนี้มาเป็นพนักงานกินเงินเดือนกันแล้ว และเพียงปีเดียว เพื่อนกวางและเพลงก็ตัดสินใจพาตัวเองหนีออกจากความโกลาหลของตัวเมืองไปปักหลักใช้ชีวิตกันอยู่ต่างจังหวัด ทิ้งผมกับก้อยมานั่งพร่ำรำพันคืนหลังเก่าก่อนอยู่สองคนทุกสิ้นเดือน ซ้ำสิ้นเดือนนี้ข่าวดีจากปากก้อยก็ทำเอาน้ำต้มยำหม้อไฟแทบพรวดทะลักออกจากปาก เมื่อก้อยบอกว่าจะ “แต่งงาน” กับเจ้านายของตัวเองที่แก่กว่าเท่าตัว…บ้าไปแล้ว!

“เฮ้ย! แกจะไปเป็นเมียน้อยเขาหรือไง”

“บ้าสิ! เขาหย่ากับเมียไปตั้งนานแล้ว” แต่ผมไม่เชื่อ! เอาหัวกระแทกฝาอย่างไรผมก็ไม่ยอมเชื่อ

หลังจากวันนั้น ผมจึงตัดสินใจลาพักร้อนและพาตัวเองมาทำภารกิจลับคือการเป็นนักสืบ สะกดรอยตามหัวหน้าของก้อยคนนั้น เช้า-เย็นแอบมองรถเข้า-ออกในบ้านหลังใหญ่นั่น เห็นมีแต่รถเบนซ์สีดำคันเดียวเท่านั้นที่วิ่งเข้า-ออก

ในเช้าวันถัดมา หลังจากที่รถแล่นออกไปแล้ว ผมจึงเนียนเข้าไปกดออดและเห็นหญิงแก่คนหนึ่งเดินออกมา ผมบอกอยากพบกับคุณหัวหน้าติดต่อธุระเรื่องงานด่วน แกบอกนายเพิ่งจะออกไปเมื่อตะกี้ ผมถามหาคุณผู้หญิง นั่นไง โป๊ะเชะ! แล้วผมก็ได้คำตอบว่า “คุณผู้หญิงอยู่ต่างประเทศ” ดูแลกิจการอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหน…หน็อยแน่ะ ที่แท้ไอ้หัวหน้าบ้านี่คิดหลอกก้อยนั่นเอง ซึ่งผมยอมไม่ได้!

…แต่โจรย่อมรู้นิสัยของตำรวจดี ผมไม่ทันคิดว่าตลอดสองวันที่ผมมาแอบด้อมๆ มองๆ จะมีกล้องวงจรปิดสอดส่องพฤติกรรมผมอยู่และยายแก่นั่นก็รู้เห็นเป็นใจอยู่ก่อนแล้ว

ผมถูกชายในชุดดำสองคนหิ้วปีกเข้าไปในรถโดยไม่ทันตั้งตัว ถูกปิดตาและเปิดตามองเห็นอีกทีก็มาอยู่ในห้องมืดๆ นี่แล้ว ชายตัวใหญ่สองคนยืนขนาบข้างชายร่างท้วมซึ่งตัวเท่าๆ กับผม ความมืดทำให้ผมมองเห็นชายคนนี้ไม่ชัดนัก เห็นแต่กำปั้นและเท้าทุบถีบถองระยะประชิดตามเนื้อตัวและหน้าตาอยู่หลายจังหวะระรัวกลองจนร่างกายผมนอนอ่อนระทวยไปหมด และขณะที่นอนบอบช้ำอยู่นั้น เสียงวางอำนาจเข้มขรึมก็พูดข่มขู่ผมยกใหญ่ มันคงคิดว่าผมเป็นมือปืนมาซุ่มดูลาดเลาและหาจังหวะลอบทำร้ายมัน และก่อนที่อะไรมันจะเลวร้ายไปมากกว่านี้ ก่อนที่ความตายจะมาฉุดพรากร่างของผมไปจริงๆ ผมจึงสารภาพความจริงทั้งหมดให้มันฟังว่าผมเป็นเพื่อนของก้อย ทำตัวเป็นผู้หวังดีมาสืบเรื่องของหัวหน้าเธอ!

น้ำเสียงขึงขังของมันเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ ชายตัวใหญ่สองคนก็ช่วยกันขำก๊ากตามนายไปด้วย มันเป็นการเข้าใจผิดครั้งใหญ่และผมเกือบถูกปืนดับขมองนอนเละอยู่ในห้องมืดนี้ ผมขยาดกลัวไปหมด กลัวเหลือเกินเมื่อมาล้อเล่นกับความตาย หวาดสะท้านเยือกไปทุกรูขุมขน แต่เพื่อความชัวร์ให้แน่ใจ มันกับลูกน้องจึงขอขังผมไว้ชั่วคราวก่อนและกลับออฟฟิศไปไถ่ถามเพื่อนผมให้แน่ใจ ที่สำคัญหากสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงก็จะกลับมาปล่อยตัวผมไป และหากยังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร เรื่องที่ผมรู้ก็อย่าได้แพร่งพรายเด็ดขาด! โถ…ผมกลัวจนเยี่ยวแทบราดแล้วตอนนี้ ดูหนังเจ้าพ่อยังลุ้นยังตื่นเต้นยังสนุกกว่า แต่พอมาเจอของจริง เจอเข้ากับตัวเอง เล่นจริง เจ็บจริง และอาจได้ตายจริงๆ มันไม่คุ้มกันเลย

“ไอ้แมว ไอ้บ้า แกอยู่ไหนกันแน่วะ” เสียงก้อยดังกระหึ่มเหมือนตะโกนอยู่ข้างหูผม

“กูก็ไม่รู้ว่ะก้อย” ตอนนี้ผมเริ่มตลกไม่ออก นอนอ่อนปวดระบมอยู่ในความมืด อยากมองเห็นแสงสว่าง อยากเล่นเกม อยากดูหนังตลก และยังอยากทำอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ ไม่น่ามาแส่หาเรื่องเลย และแล้วผมก็ทนไม่ไหว

“ช่วยกูด้วยก้อย กูคิดถึงแม่ กูคิดถึงมึง”

ผมร้องไห้โฮเหมือนเด็กขี้แยร้องขอความช่วยเหลือตอนลูกโป่งสีแดงในมือลอยขึ้นฟ้า…

ผมเข็ดขยาดแล้วจริงๆ กับการแกว่งเท้าหาเสี้ยนของตัวเอง