ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 เมษายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | เรื่องสั้น |
ผู้เขียน | บุหลันบัณรสี |
เผยแพร่ |
คุณนายมาแล้ว…
ฉันขยับตัวจากอาสนะ ที่นั่งรับลมร้อนใกล้เพลาเพลอยู่ที่นอกชานกุฏิ ชะเง้อข้ามแนวไม้ระแนงออกไปนอกชายคา มองตามต้นเสียงเกรียวกราวของเหล่าลูกศิษย์ตัวจ้อย ไปตามทางเดินจากหอฉัน ที่มีต้นพิกุลใหญ่ให้ร่มเงาโชยกลิ่นหอมอ่อนละมุน แล้วยิ้มเรื่อยๆ ให้กับความโกลาหล ที่มีทั้งเด็ก หมา และแมวพากันไปตั้งแถวเป็นแนว ไม่ผิดจากทิวพู่ระหงริมรั้ว รอรับผู้ที่ถูกใครต่อใครขนานนามให้เป็นคุณนาย จะด้วยสง่าราศีของเครื่องประดับพราวแพรวทั้งคอทั้งแขน ราวกับตู้จิวเวลรี่เคลื่อนที่ จะด้วยบุญญาบารมีอำนาจเงินตราที่คนในชุมชนต้องพึ่งพา กู้ยืมมาต่อทุน หรือจะเป็นด้วยกัณฑ์เทศน์ซองหนา แลปัจจัยหนักที่ผู้หญิงร่างท้วมผิวขาวราวเกล็ดหิมะถวายแก่ศิษย์ตถาคต และผู้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์น้อยใหญ่ให้พลอยได้เอิบอิ่มจนพากันยกย่องได้เต็มปากเต็มคำ ไม่เว้นแม้กระทั่งท่านเจ้าอาวาสผู้เป็นใหญ่ในร่มพัทธสีมาผืนนี้
“กราบนมัสการเจ้าค่ะ หลวงพี่”
คุณนายขึ้นมาถึงก็นั่งพับเพียบ ก้มกราบตรงหน้าทันที ด้วยท่วงท่าชดช้อย แต่พอเงยมาเท่านั้นเอง หล่อนสะดุ้งเฮือก ตีหน้ายักษ์ใส่ฉันผู้ที่นั่งเลียขาหน้า ดูหรูเด่นเป็นสง่าอยู่บนอาสนะของหลวงลุง
“ต๊าย นรกจะกินหัว ไอ้หง่าวนี่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว”
พอรู้ว่าบนอาสนะเป็นแค่แมววัดตัวหนึ่ง น้ำเสียงของคุณนายก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างกับเณรบวชใหม่รีบทำวัตรเช้าลวกๆ แล้วจะรีบไปวิ่งเล่น ไม่ต้องรอให้คุณนายใช้พี่แจ๋วมาจับโยน ฉันก็เผ่นจากอาสนะ แผล็วไปนั่งบนตักของหลวงลุงที่เพิ่งออกมาจากกุฏิตอนได้ยินคำว่านมัสการ
“เจริญพรเถิดโยมคุณนาย”
หลวงลุงลูบหัวฉัน เกาคางให้พลางพยักหน้ารับความเคารพจากผู้ติดตามคุณนายซึ่งหิ้วภักษาหารคาว-หวานมาจนเต็มสองมือทั้งสามสี่คน ฉันเมินมองไปทางอื่น ไม่ค่อยชอบใจโยมคุณนายเท่าไหร่นักหรอก ปัจจัยหล่อนหนักก็จริงอยู่ แต่สาบผู้มีเล็บงามคละคลุ้งกำจายจากเรือนร่างดูมีอันจะกินอุดมสมบูรณ์นี่สิ น่ารังเกียจเสียจริง ฉันนึกถึงคำลุงกุดขึ้นมาเชียวที่ว่าพวกมนุษย์ไม่ค่อยรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แล้วยังโง่คบแต่พวกศีลเสมอ นับเอาไอ้ตูบเป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ แทนที่จะพยายามถีบตัวมาคบสัตว์ชั้นสูงอย่างพวกเรา สายตาเขม็งที่หล่อนจับจ้องมือของหลวงลุงที่เกาคางให้ฉัน ช่างขัดการครางอย่างมีความสุขให้ชะงักงัน ฉันโก่งหลังพองขนสู้ ชิชะ! นังมนุษย์
“เอ้านังหมุย แล้วกันสิ ญาติโยมมาเยี่ยมถึงกุฏิ แทนที่จะต้อนรับกลับไล่แขกซะงั้น” หลวงลุงดุแต่เหมือนไม่จริงจังนัก ฉันว่าหลวงลุงเองคงได้กลิ่นสาบประหลาดๆ จากโยมคุณนายบ้างนั่นละ ถึงได้ดูไม่กระไรนักกับหล่อน ไม่เหมือนพระรูปอื่นที่อยู่กุฏิติดแอร์เย็นฉ่ำ…พวกมนุษย์หนีร้อนมาพึ่งเย็น ย่อมกราบไหว้สานุศิษย์ตถาคตฉันใด เราย่อมเป็นหนี้คุณของผู้มอบความเย็นให้ฉันนั้น…ลุงกุดไขข้อสงสัยว่าทำไมโยมยกมือไหว้พระ หากพระกลับยำเกรงโยม
“ขอประทานอภัยเจ้าค่ะหลวงพี่ นี่แมวตัวเมียหรือคะ แล้ว…”
โยมคุณนายจ้องฉันอีกแล้ว เกลียดสายตาไม่เป็นมิตร ทั้งยังไม่มีแววปรานีอย่างที่พวกไอ้จ่อยลูกศิษย์หลวงพี่แจ้สชื่นชม ฉันโดดลงจากตักหลวงลุง ยุรยาตรผ่านหน้าโยมคุณนาย แกว่งหางน้อยๆ เขี่ยไหล่ เป็นนัยให้หล่อนรู้ว่าไม่เท่าไหร่หรอกน่า แล้วลงมานอนทำเสียงครืดคราดข้างอ่างล้างเท้าตรงตีนบันได
“แล้วอย่างนี้หลวงพี่ต้องปลงอาบัติไหมเจ้าคะ”
“เรื่องอะไรหรือโยมคุณนาย”
“ก็ที่หลวงพี่จับเนื้อถือตัวผู้หญิงไงเจ้าคะ”
“เฮ้ย ที่ไหนกันรึโยม ทำไมกล่าวหาอาตมาอย่างนี้เล่า ตกลงนี่โยมมาถึงนี่เพราะอย่างนี้หรอกหรือ”
“ปละ…เปล่าเจ้าค่ะ ดิฉันมีเรื่องร้อนใจ ว่าจะมาทำบุญใหญ่ ถวายเพลเจ้าอาวาส แต่พอดีท่านไม่อยู่ รับนิมนต์บ้านงานไปเสียก่อน ดิฉันเลยมากุฏิหลวงพี่แทนเจ้าค่ะ”
ฉันพยักยิ้มให้ผีเสื้อที่บินท้าทายกรงเล็บ ขำโยมคุณนายเสียจนไม่อยากจะทำบาปวันนี้ แหม แค่พระอุ้มแมวตัวเมียนี่ถึงกับต้องปลงอาบัติเชียวหรือ
หลวงลุงรับถวายภัตตาหารเพลแล้วให้ศีลให้พรโยมคุณนายขนาดหนักตามคำขอ
“พักนี้ดวงตกเจ้าค่ะ หลวงพี่สะเดาะเคราะห์ให้สักหน่อยได้ไหม ว่าจะถวายปัจจัยเป็นสองเท่า จะได้ช่วยดันให้ดวงดีขึ้นบ้าง เดี๋ยวนี้ขโมยขโจรในชุมชนเราชุกชุมเหลือเกิน นี่ที่บ้านดิฉันเพิ่งโดนตีนแมวย่องเบาไป ดีแต่โดนไปไม่มาก แล้วทิดอ่ำว่า ตู้บริจาคบนหอฉันก็เกือบโดนเหมือนกัน”
นั่นไงเหตุผลที่โยมคุณนายทำบุญหนัก ยิ่งปัจจัยเยอะ บุญยิ่งหนุนส่ง ใครๆ ก็ชอบทำบุญกับเจ้าอาวาส ลุงกุดว่า
ได้บุญเยอะกว่าทำบุญกับพระลูกวัด
โยมคุณนายเดินนำพี่แจ๋วลงจากกุฏิ นวยนาดวางท่าจนเกือบจะเหยียบหางฉันเข้าให้ เสียงหล่อนสั่งให้พี่แจ๋วนำผู้ติดตามไปขนอาหารแมวมาแจก ตามที่หลวงลุงแนะนำ
“โดนตีนแมวขึ้นบ้าน โยมก็ทำทานแก้เคล็ดสิ ส่วนปัจจัยไว้ค่อยถวายท่านเจ้าอาวาสเองดีกว่า ศักดิ์สูงกว่า บุญจะเยอะกว่าตามที่โยมว่านั่นแหละ”
โยมคุณนายยืนมองทั้งแมวทั้งหมาวัด พากันกระโจนใส่อาหารแมวชั้นหนึ่งรสปลาแซลมอนอย่างพออกพอใจ ส่วนฉันน่ะหรือ…ฉันไม่กินอะไรแบบนี้หรอก พวกมนุษย์เอาส่วนไหนมาคิดกันนะถึงฝังใจว่าแมวต้องกินปลา
“ฉันชอบกินไก่” ฉันเคยบอกกับลุงกุดด้วยสีหน้าเนือยๆ ในคืนหนึ่งที่กำลังท่องราตรีกันหลังจากทำวัตรเย็น ลุงกุดตะปบหนูได้ก็ดีอกดีใจชวนฉันเข้าร่วมสังฆกรรม
“เอ็งควรจะเกิดเป็นเหี้ยนะนังหมุย” ลุงกุดใช้ตาข้างเดียวที่เหลือจากคมเขี้ยวของไอ้หูตูบหมาแก่เจ้าสำนักใต้ถุนหอฉัน ค้อนฉันดังขวับ
นี่ก็อีกเหมือนกัน ความคิดของพวกมนุษย์ล้วนๆ ที่ว่าอะไรกินไก่ต้องเป็นเหี้ย วันก่อนหลวงพี่แจ๊สใช้ให้ไอ้จ่อยซื้อไก่ย่างสองไม้ไปถวายเจ้าอาวาส ไม่เห็นมีใครเรียกท่านว่าไอ้เหี้ยเลยสักที
มีแต่ไหว้กันหัวผงกเป็นกิ้งก่า มือเป็นฝักถั่ว เรียกท่านมหากันเป็นแถว
หลวงลุงเข้ากุฏิ ปิดประตูดับไฟแล้ว ท่าทางจะกลัวลืมวัดเหมือนที่หลวงพี่แจ๊สชอบอำเณรบวชใหม่ ท่านเจ้าอาวาสก็ท่าจะไม่ต่างกันนัก ทั้งที่ยังเป็นพระหนุ่มแน่นแท้ๆ ไม่น่าที่โรคอัลไซเมอร์จะเล่นงานเอาได้ ฉันเห็นท่านเข้ากุฏิ ปิดประตูเงียบหายไปตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ผียังไม่ทันตากผ้าอ้อมด้วยซ้ำ ตอนที่โยมคุณนายให้พี่แจ๋วกลับมาถวายปัจจัยนั่นละ ส่วนฉันกับลุงกุดก็ตามประสาแมวๆ ที่สืบเชื้อสายเจ้าป่านักล่า เราพากันลัดเลาะไปตามริมรั้ว ออกนอกเขตอภัยทาน เที่ยวหาไล่นกหนูตามประสา ไปทางบ้านร้างท้ายซอย ที่โยมคุณนายว่าจะให้ลุงจ่าพากำลังมากวาดล้าง
ไม่ให้เป็นที่ซ่องสุมโจร
เดินผ่านบ้านโยมคุณนาย เจอชาวต่างชาติท่าทางสติไม่เต็มเต็งเท่าไหร่ อากาศร้อนอ้าว ลมเล่นว่าวพัดพรูยังบ้าจี้ใส่เสื้อขนสัตว์ฟูฟ่อง เห็นพวกมันถูกขังอยู่ในกรง ลุงกุดเลย เลยร้องเมี้ยวทักทาย ฉันมองค้อนลุงแกขวับใหญ่ๆ พวกเราบางทีก็บ้าจี้ มีแต่มนุษย์เท่านั้นแหละที่คิดว่าพวกแมวทักทายกันด้วยการร้องเมี้ยว
“ไปไงมาไงถึงถูกขังล่ะ”
ลุงกุดเกร่เข้าไปใกล้ ลืมมองปฏิกิริยาของชาวต่างชาติทั้งสอง ที่ดูจะผยองในความเป็นชาวตะวันตก พวกมันปรายตามองเย่อหยิ่ง เบ้ปากมองบน ตอนที่ลุงกุดบอกว่าเรามาจากวัดต้นซอยโน่น
“พวกแมววัด เฮอะ กระจอกจัง” แมวฝรั่งขนสีขาวฟูฟ่องเชิดใส่ ทำทีเกาคอให้กระดิ่งสีทองอร่ามส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง
“กระจอกกว่าพวกแกตรงไหนวะ” ลุงกุดชักฉุน เริ่มโก่งหลังขนตั้ง ฉันก็เหมือนกันแหละ แต่เพราะสาบหมาหึ่งมากกว่าจะฉุนพวกต่างด้าว
“ก็ตรงพวกแกไม่มีทาส แล้วก็ไม่มีที่ซุกหัวนอนน่ะสิ” เจ้าแมวพกกรีนการ์ดสัญชาติอเมริกัน แบะปากใส่พวกเรา “ทำตัวตกต่ำ ไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้ พวกแกรู้บ้างไหมว่าพวกมนุษย์เคารพแล้วเชิดชูว่าแมวจะเป็นสัตว์ประเสริฐที่ยึดครองโลกได้ในอนาคต พวกเราจะยิ่งใหญ่ แล้วดูพวกแกสิ กระทั่งแขน คอกระดิ่งสักอันประดับกายยังไม่มีจะแขวนอวด …ไร้วัฒนธรรม ออกล่าหนู ตะครุบกิ้งก่ากินไปวันๆ เสื่อมเสียมาก”
“พวกแมววัด มันจะรู้อะไร” ไอ้เผือกขนฟูทำท่าผยอง ชวนให้คันขาหน้า อยากจะตบให้หน้าแหกเสียจริง
ลุงกุดหันมาพยักหน้าชวนให้ฉันเอาตัวถูกรง ที่พวกนั้นอ้างว่าเป็นที่ซุกหัวนอนซึ่งพวกทาสจัดหามาเป็นราชบรรณาการ เพื่อวางแลนด์มาร์กเอาไว้ แต่ยังไม่ทันจะรอบก็ต้องแผ่นแผล็วทั้งคู่เพราะเจ้าตัวโตที่ทำกลิ่นสาบติดตัวโยมคุณนายมันคำรามใส่ ฉันหันไปดูอีกทีตอนโกยมาไกลพอควรแล้ว เห็นแมวฝรั่งติงต๊องสองตัวนั่นนั่งจ๋องอยู่ในกรง
ไม่เหลือท่าทางของสัตว์ชั้นสูงผู้คิดจะครองโลกเลยสักนิด
เรานั่งอยู่บนหลังคาผุพังของบ้านร้างที่เป็นซ่องโจร มองเสี้ยวพระจันทร์แขวนกะรุ่งกะริ่งบนฟ้ากะดำกะด่าง ตาเดียวของลุงกุดกลอกไปมาดูลอยไกลไร้จุดหมาย
“ลุงคิดอะไรอยู่เหรอ”
ฉันถามทั้งที่มั่นใจว่ารู้คำตอบ ไม่มีแมวตัวไหนไม่คิดถึงการครองโลกหรอก ก็โดนพวกมนุษย์กรอกหู ล้างสมองกันเองจนพวกเราพลอยคิดตามไปด้วย พวกเขาช่างเป็นสัตว์มีน้ำใจเผื่อแผ่เสียจริงเชียว เที่ยวคิดแทนผู้อื่นไปเสียหมด คิดได้กระทั่งว่าพระประธานในโบสถ์ชอบฉันไข่ต้ม แล้วก็ชอบให้จุดประทัดเสียงดังๆ …ให้ตายเถอะ ทำไมไม่มีใครคิดจะถามฉันบ้างนะ ฉันว่าท่านน่าจะชอบกินไก่ย่างร้านป้าเรืองแบบที่ใส่สีส้มแช้ดมากกว่า อร่อยดีออก
“ถามจริง เอ็งว่าไอ้ตาน้ำข้าวพวกนั้นมันคิดผิดจริงๆ หรือเรื่องครองโลก”
“ไม่หรอกลุง ฉันว่าใครๆ ก็มีสิทธิ์คิดนะ แต่ฉันขำตรงที่พวกมันถูกหลอกยังไม่รู้ตัวอีก มีกระดิ่งห้อยคอแบบนั้น แค่จะจับหนูคงไม่เคยได้ แถมที่ซุกหัวนอนที่มันว่าที่จริงก็คือกรงขังไอ้ยักษ์ไว้ข้างนอกไม่ให้เข้าไปขย้ำพวกมันต่างหาก แล้วแบบนี้มันจะเอาอะไรไปครองโลกกันเล่า แค่อิสระจะคิดเหมือนพวกเรายังไม่มีเลย”
“แน่ะ งั้นเอ็งก็คิดจะเป็นเจ้าโลกเหมือนกันละสินังหมุย” ลุงกุดเย้ากลั้วหัวเราะ ฟังคล้ายเสียงเด็กทารกร้องเพราะปวดมวนท้องไม่มีผิด
“ไม่หรอกลุง ฉันไม่ใช่พวกใฝ่สูงเกินตัว เป็นแค่แมววัดจะอยากครองทำไมกัน โลกของมนุษย์กว้างใหญ่ สับสนเกินไปสำหรับแมวตัวเล็กๆ อย่างเรา ลุงไม่คิดบ้างเหรอ โลกของฉันก็แค่วัด ลุงน่าจะเดาออกว่าฉันอยากจะเป็นอะไรถึงจะครองโลกของตัวเองได้”
ลุงกุดทำตาเดียวเหลือก ร้องเมี้ยวดังลั่น “นี่เองหรือที่ทำให้เอ็งขยันทำวัตรเช้า-เย็นศึกษาพระไตรปิฎก”
ฉันพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มอายๆ …ยากอยู่เหมือนกัน ขนาดหลวงลุงยังได้แค่เปรียญสี่ ที่จริงฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่า ในการจะครองวัด ฉันควรจะเป็นใครดี ต้องศึกษาพระธรรมหรือไม่ ระหว่างเจ้าอาวาสที่ใครๆ เรียกว่าท่านเจ้าวัด กับโยมคุณนายที่ทั้งวัดยำเกรงกระทั่งทิดอ่ำ มรรคนายก
จนหลายวันก่อนนั่นแหละฉันถึงได้มีดวงตาเห็นธรรมกระจ่าง
เมฆก้อนโตเคลื่อนเข้าบังแสงจันทร์เสี้ยว ในวูบที่เกิดเงาดำวาบ ภาพในภวังค์ย้อนกลับเข้ามาในหัว บ่ายที่ร้อนอ้าว ฉันนั่งอยู่บนหลังคากุฏิหลวงลุง มองไปที่กุฏิเจ้าอาวาส ม่านผ้าโปร่งพลิ้วตามลม สะบัดพรึบ สิ่งที่ฉันเห็นทำให้มั่นใจว่า ต้องไม่ใช่โยมคุณนายแน่ๆ ที่เป็นเจ้าวัด เพราะเจ้าอาวาสอยู่เหนือคุณนาย
แต่ที่เห็นเมื่อบ่ายนี้ขุดความกังขาขึ้นอีกปมแล้ว นี่ฉันควรจะเป็นพี่แจ๋วดีไหม หากอยากจะครองวัด แกน่าจะมีอำนาจสูงกว่าใครสิ ในเมื่ออยู่เหนือเจ้าอาวาส ระหว่างที่ฉันกำลังว้าวุ่นใจ เสียงกุกกักดังมาจากชั้นล่าง ฉันกับลุงกุดย่องเบาลงมาดู เสียงซี้ดซ้าดสูดปากของพี่แจ๋ว ที่นอนล่อนจ้อนหงายผลึ่งอยู่ข้างใต้ร่างบึกบึน ทำให้ฉันมั่นใจเต็มร้อย
หากคิดจะครองวัด ฉันควรจะเป็นตีนตัวเองนี่แหละวะ…ดีที่สุด