เรื่องสั้น | เป็นใครก็ไม่รู้ (จบ)

มีเรื่องงานได้ถกเถียงตลอด บางครั้งเลยเถิดไปถึงเรื่องหยุมหยิมไม่เป็นสาระ ดังนั้น อาการไม่ลงรอยกันยังไม่จางหายไปจากสามี-ภรรยาคู่นี้ และยิ่งพรุ่งนี้คือวันให้คำตอบแก่ผู้ใหญ่บ้านว่าจะตัดสินใจอย่างไรกับการต้องเดินทางไปยังจังหวัดราชบุรี ก็ยิ่งทำให้หมอกควันแห่งความมึนตึงและความไม่ไว้ใจที่เธอมีต่อเกษมนั้นหนาทึบมากขึ้นอีก ยวนจิตรวบช้อน อิ่มก่อนสามี ถึงกินข้าวร่วมโต๊ะกัน แต่บรรยากาศภายในห้องครัวหรือภายในบ้านก็ยังแน่นหนาไปด้วยความอึดอัดใจ

เกษมช้อนสายตาจากชามข้าวขึ้นมองภรรยาแวบเดียว คล้ายๆ คนผวา ก่อนก้มลงมองช้อนชามของตนต่อไปเยี่ยงคนเจียมตน สัปดาห์เศษๆ แล้ว สถานการณ์ภายในบ้านเฉียดใกล้สมรภูมิสงครามเข้าทุกขณะ กลางวันดีหน่อยที่เขาทำงานเพลินๆ กับลูกชาย แต่เมื่อเลิกงานลูกชายกลับไป เนื่องจากเขาไม่ได้พักอยู่กับเกษม โดยแยกครอบครัวไปเช่าบ้านอยู่กับภรรยาต่างหาก เกษมก็รู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวอย่างรุนแรง บางขณะจิตพานคิดไปว่า ยวนจิตไม่ใช่หญิงสาวคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เป็นใครไปแล้วก็ไม่รู้ ความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอมีมากมายเหลือเกิน แน่นอนว่าเขาเข้าใจได้ เมื่อวันเวลาผ่านไปมันย่อมพัดพาสิ่งเดิมๆ ออกไปจากตัวเรา และนำสิ่งใหม่เข้ามาแทน แต่สำหรับยวนจิต เขาคิดว่าเธอไม่ค่อยจะเหลือเค้ายวนจิตคนเดิมไว้ โดยเฉพาะเรื่องความรักที่เธอมีต่อเขา มันเหือดแห้ง แทบจะหาไม่เจอ หรือเจอก็ยากมาก ดีกว่าการหาแหล่งน้ำในทะเลทรายหน่อยเดียว และถึงเขากับเธอนอนร่วมเตียงกันก็จริง แต่เรื่องอย่างว่าไม่เกิดขึ้นแล้ว นานเท่าไรแล้วเขาก็จำไม่ได้ แม้อดอยากปากแห้งเรื่องบนเตียง เพราะภรรยาไม่ยอมทอดตัวให้ เขาก็อดทน ไม่เคยนอกใจ ไม่เคยคิดหาเมียน้อย ไม่มีกิ๊ก ไม่เคยซื้อบริการทางเพศ ถึงแม้เพื่อนสนิทกลุ่มไลน์จะโทร.แนะนำมาก็ตาม โดยเฉพาะเสนอเด็กสาวในโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอมาให้เขา เขามั่นคงมากในเรื่องนี้ ทุกสิ่งที่กระทำอย่างซื่อสัตย์นี้เพื่อใครล่ะ ถ้าหากไม่ใช่เพื่อยวนจิต

“พรุ่งนี้เช้า ผู้ใหญ่บ้านจะเอาคำตอบแล้วนะ” เธอเปรยก่อนลุกจากโต๊ะอาหาร น้ำเสียงห้วนๆ เสียงวางชามข้าวในอ่างล้างดังรุนแรง เธอเจตนากระแทกให้เขาทุกข์ใจเล่น

ยวนจิตออกจากห้องครัวมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดูไฟล์งานออกแบบป้ายไวนิล เธอเก่งเรื่องป้ายประเภทนี้ ส่วนเกษมชำนาญเรื่องป้ายเมทัลชีท แกะตัวอักษรบนแผ่นไม้กระดาน และตัดสติ๊กเกอร์ เมื่อก่อนยวนจิตทำงานกับบริษัทผลิตสิ่งทอ มีเจ้านายเป็นคนญี่ปุ่น ส่งสินค้าไปยังประเทศนั้น เธอเป็นคนหัวใส ติดต่อกับคนเมืองนอกเมืองนาอย่างคล่องแคล่ว แต่พอเศรษฐกิจไม่ดีบริษัทปิดเธอจึงออก และมาทำงานร่วมกันกับสามี ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีการรับทำงานป้ายไวนิลเลย

จู่ๆ วินาทีหนึ่งยวนจิตนึกคิดเสียใจที่แกล้งวางชามเสียงดังและพูดจาแห้งแล้งแบบมะนาวไร้น้ำ เธอไม่น่าจะแสดงกิริยาอย่างนั้นกับสามีเลย แต่ยอมรับว่ามีอารมณ์รุนแรงเมื่อนึกถึงว่าเขายึดมั่นในความคิดเดิมมากเกินไป โดยไม่สนใจว่าความคิดของเขาจะส่งผลกระทบด้านลบกับธุรกิจครอบครัวแค่ไหน ฉะนั้น สมควรแล้วที่เธอต้องแสดงอาการต่อต้านให้ชัดเจน สั่งสอนให้เขารู้บ้าง เธอปริยิ้มอย่างหยันๆ

ยวนจิตคิดฟุ้งซ่านอยู่นาน ต่อมาพยายามสลัดไล่ความคิดต่างๆ ออกไปจากหัว ดึงสมาธิมาจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ครู่ใหญ่เธอได้ยินเสียงโทรทัศน์ แน่ใจว่าเขาเปิดช่องสารคดี เขาชอบอย่างนี้มานานแล้ว และไม่เปลี่ยนแปลง

เกษมเงยหน้ามองนาฬิกาโบราณ สี่ทุ่มกว่าแล้ว หาวน้ำตาเล็ด รู้สึกง่วงเต็มแก่ แต่ภรรยายังทำงานอยู่ ระยะสองเดือนมานี้แทบทุกคืนเธอจะเข้านอนราวตีสอง เร็วสุดก็เที่ยงคืน เกษมปิดโทรทัศน์ อยากออกไปดูเธอสักนิด แต่ก็ลังเลใจ ความรู้สึกบางอย่างรั้งขาของเขาไว้ไม่ให้ก้าวเดินไปทางนั้น เขาจำเป็นต้องเข้าห้องนอน และทิ้งตัวลงบนฟูกอย่างอิดโรย

“พรุ่งนี้แล้ว” เขาพึมพำ กลับนอนไม่หลับทั้งที่ก่อนหน้ารู้สึกง่วงจัด เขาเอามือก่ายหน้าผาก เพ่งสายตาไปยังเพดานห้อง ความมืดของวิกาลเข้าครอบครองและห่อคลุมร่างของเขาให้เลือนหาย แต่ทว่าลึกลงไปข้างใน ก้อนเนื้อก้อนหนึ่งมืดมิดสนิทยิ่งกว่า มันคือหัวใจของเกษมนั่นเอง

“ผู้ใหญ่หนอผู้ใหญ่ มาพูดให้เราช้ำใจเล่นทำไมว่า การไม่ไปราชบุรีด้วยเป็นการขัดขวางความเจริญ” เกษมเพ้อด้วยความมัวหมอง เปรียบตัวเองว่ามายืนอยู่ที่ทางสองแพร่งแล้ว ต้องเลือกไปในทางใดทางหนึ่ง ไม่อาจเสี่ยงไปทางอื่น หรือถอยหลังกลับเส้นทางเดิมได้เลย แต่ถึงกระนั้นครั้งนี้ไม่ว่าเลือกทางใดทางหนึ่ง ผลเสียก็ย่อมเกิดขึ้นทั้งนั้น ทว่าหากจะให้ความร่วมมือไปราชบุรีกับพวกเขา เขาอาจมีกำไรในเรื่องยวนจิต เธอคงดีใจและคงไม่มึนตึงกับเขาอีกต่อไป

“เขาให้เขียนตัวเลขขนาดนั้นทำไม” คำพูดของยวนจิตในวันนั้นทวนย้อนเข้าในหัวของเขา

“นั่นน่ะสิ ประเด็นนี้ร้ายแรงมากนะ ฉันจึงร้องถามดาบO พิชัยไปไง แต่เขาว่าไม่รู้ แถมว่า เขียนไปหนึ่งล้าน หรือกี่ล้าน มันก็แค่ตัวเลขตัวหนึ่งในกระดาษ จะเปลืองน้ำหมึกสักกี่หยดเชียว สำหรับวัดบ้านเราได้มากกว่าที่เขาได้รับ ไอ้แค่ใบอนุโมทนาบัตรใบเดียวมันมีปัญหาอะไรนัก น้ำเสียงที่พูดนั้นโอหังมาก ฉันไม่ชอบเลย ตำรวจนายนี้” เขาบอกภรรยา เธอก็ไม่พูดอะไรเรื่องการเขียนใบอนุโมทนาบัตรที่เกินจริง ทว่าเขาเดาได้ไม่ยากหรอกว่าเธอคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

นาฬิกาดิจิตอลสีเงินเรือนเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานบอกเวลาตีหนึ่ง ยวนจิตยกมือจากเมาส์ ดันเก้าอี้ออกห่างจากโต๊ะเล็กน้อย เอนหลังพิงพนัก ผ่อนคลายร่างกาย

“คงหลับไปแล้ว” เธอกล่าวถึงสามีด้วยเสียงพึมพำ “คนอะไร ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย จะว่าเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปีก็ไม่ผิดนัก”

ยวนจิตส่ายหัว ยอมรับว่าหลายครั้งเธอเอือมระอากับอาการเถรตรงของสามีมาก แต่ครั้นคิดดีๆ ได้สติ ก็ทำให้ระลึกได้ว่า เขาเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยเฉพาะการไม่ยอมก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้อง ความไม่ชอบมาพากล

และนิสัยอย่างว่านี้เองที่ทำให้ยวนจิตได้พบเกษมและนึกรักเขาเมื่อสามสิบปีก่อน

อันที่จริงวันนี้ยวนจิตต้องตื่นสายเช่นเคย แต่ด้วยว่าสามีต้องไปประชุมตอนเก้าโมงที่วัดเรื่องการเดินทางไปดูงานสมโภชพระพุทธรูปที่จังหวัดราชบุรี จึงตั้งนาฬิกาปลุกเจ็ดโมง เธอพกความงัวเงียออกมาจากห้องนอน พร้อมเสื้อชุดนอนชนิดหนาและสวมเสื้อคลุมทับอีกชั้น ล้างหน้าแปรงฟันก็ไม่ต้องพูดถึง ยังไม่ได้ทำหรอก เธอเห็นสามีสวมเชิ้ตทับด้วยแจ๊กเก็ตยีนส์นั่งกินข้าวเช้าอย่างเงียบๆ ในห้องครัว บนโต๊ะมีลาบเนื้อถ้วยหนึ่งกับข้าวเหนียวจานหนึ่ง “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ” เกษมพยายามทักภรรยาด้วยน้ำเสียงปกติ จริงๆ ไม่ปกติเท่าไหร่หรอก แถมใบหน้าของเขายับยุ่งเหมือนผ้ารีดไม่เรียบร้อยด้วย

ยวนจิตพยักหน้า “ฉันมีเรื่องจะพูดกับพี่น่ะ” ก้าวเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร

“มีอะไรเหรอ เรื่องสำคัญเหรอ” เขาเลิกคิ้วสงสัย ประหลาดใจมากในกระแสเสียงของภรรยาที่สุภาพนุ่มนวลกว่าที่ผ่านมา

“คือว่า ไม่ว่าพี่จะตัดสินใจยังไงกับการไปดูงานสมโภชพระ ฉันไม่ขอก้าวก่ายนะ ให้พี่ตัดสินใจเองอย่างอิสระ ฉันต้องเชื่อในเหตุผลของพี่ ไม่ว่ามันจะออกมาถูกใจฉันหรือไม่ก็ตาม”

เกษมรู้สึกเหมือนว่าตนอยู่ผิดที่ผิดเวลาเมื่อได้ยินวาจาของภรรยาแบบนั้น “จริงหรือ ยวนจิตพูดจริงๆ หรือ” เขาถามอย่างอดใจไม่ไหว

“จริงสิ” เธอตอบหนักแน่น ผลิรอยยิ้ม ซึ่งเกษมไม่ได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสแบบนี้มานานแล้ว

“ว่าแต่ว่า พี่ตัดสินใจยังไง บอกฉันก่อนได้ไหมล่ะ”

อารมณ์ของเกษมเปลี่ยนไป เขายิ้มแย้ม มองภรรยาด้วยดวงตาแจ่มใส ขยับปากจะพูด แต่ด้วยว่าเขายังลิ้มรสอาการปราโมชอยู่ไม่เลิก ทำให้ยังไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกจากปากของเขา

“พี่ยังยืนยันจะไม่ไปเหมือนเดิมใช่มั้ย” เธอไม่รอคำตอบจากสามี จึงถามนำไปอย่างนั้น

“ไม่…” เขาตอบ

สีหน้าของเธอไม่แปรเปลี่ยนเมื่อได้ยินคำของสามี เนื่องจากเธอเตรียมใจมาอย่างดีแล้ว “ไม่ งั้นพี่ตัดสินใจไปราชบุรีน่ะซี”

“เปล่า…เปล่า ไม่คือไม่เปลี่ยนแปลงความคิดเดิมไงล่ะ” เขาหัวร่อ ดีใจที่สามารถยั่วล้อภรรยาได้สำเร็จ

ยวนจิตนึกขันในอาการขี้เล่นของสามี “พี่นี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ รู้ไหม”

เกษมยิ้ม จากนั้นถามอย่างใคร่รู้ “แล้วอะไรทำให้ยวนจิตเปลี่ยนใจในเรื่องนี้ล่ะ”

“ฉันน่ะมาคิดได้ว่า ตอนฉันรักพี่ครั้งแรกก็เพราะพี่มีนิสัยแบบนี้ และเรื่องร้านของเรา ฉันอาจจะวิตกกังวลมากไปก็ได้ คือตีตนไปก่อนไข้น่ะ เรื่องมันอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ และที่สำคัญคือ จริงๆ แล้วฉันไม่ควรเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงินไปมากกว่า…เอ่อ…มากกว่าความเป็นครอบครัวเรา” ยวนจิตสารภาพอย่างบริสุทธิ์ใจ

ภายนอกอากาศค่อนข้างหนาว และนกตัวหนึ่งส่งเสียงร้องขึ้น ทว่าเกษมกลับรู้สึกว่าภายในบ้านอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แถมยังฟังออกว่าสำเนียงของนกบ่งบอกว่ามันสดใสร่าเริงอิ่มเอมกับชีวิตในวันใหม่ของหน้าหนาวนี้มากแค่ไหน