ประกวดเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ : นิพพานจักร

โดย วิวรรธน์ชัย

วันหนึ่งเมื่อ 5 ปีก่อน ผมจ้องมองโฆษณาบนหน้าเว็บไซต์บริษัท ดิออจี้ส์ (The Orgies) แล้วก็ต้องทึ่งในความรู้ด้านภาษาของผู้ที่คิดชื่อบริษัทนี้ เพราะในฐานะนักเขียนที่สนใจศึกษาเทพปกรณัมและประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก ผมรู้ประวัติคำนี้ว่ามาจาก “พิธีกรรมลับ” การดื่มกินและเฉลิมฉลองของเหล่าเทพเทวีกรีกที่มีเทพ “แบคคัส” หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ ไดโอนิซุส บุตรแห่ง “ซูส” เทพราชาเป็นตัวตั้งตัวตี

แม้ในยุคหลังแบคคัสจะโด่งดังในฐานะเทพแห่งไวน์ ความคิดสร้างสรรค์ และแรงดลบันดาลใจทางดนตรีและบทกวี แต่เดิมนั้นแบคคัสเคยเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์แห่งเพศพันธุ์ ฉะนั้น จึงออกจะน่าจินตนาการว่า งานเลี้ยงของแบคคัสจะสนุกสุดขั้วและน่าเข้าร่วมมากเพียงใด เรื่องนี้ก็ยิ่งเข้ากันได้กับนวัตกรรมของบริษัทที่เขานั่งมองอยู่ตอนนี้นั่นเอง มันคือ ออแกสทรอน (Orgastron) ซึ่งพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ อุปกรณ์ที่ทำให้คุณถึงความสุขสุดยอดแบบเดียวกับจุดสุดยอดทางเพศ ได้อย่างไม่หยุดหย่อนตามแต่ปรารถนา!

ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าจะมีคนสร้างอุปกรณ์แบบนี้ขึ้นในโลกได้ และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือไม่น่าเชื่อว่า นักเขียนโนเนมอย่างเขาจะต้องมาเกี่ยวข้องกับเครื่องที่ว่าด้วย

 

ออแกสทรอนมีหน้าตาคล้ายกับที่คาดผมสองอันที่วางตั้งฉากกันอยู่ เมื่อผู้ใช้สวมใส่มันเข้ากับศีรษะก็จะมีสิ่งที่คล้ายกับซี่ล้อจักรยานอีกราว 10 เส้นยื่นออกมาเชื่อมกับแกนหลักของอุปกรณ์ทั้ง 2 แกน จนดูคล้ายกับเป็นหมวกกันน็อกทรงตาข่ายแบบหลวมๆ

บริษัทผู้ผลิตเครื่องนี้อธิบายหลักการทำงานไว้ว่า แรกสุดเจ้าเครื่องนี้จะสำรวจตำแหน่งของสมองโดยอาศัยสัญญาณเสียงก่อน ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่กี่วินาที จากนั้นมันจะสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดอ่อนๆ เป็นโครงข่ายที่เรียกว่า “กริด (grid)” ที่ตามองไม่เห็นซึ่งละเอียดขนาดเศษเสี้ยวของมิลลิเมตร ก่อนไปกระตุ้นสมองส่วนศูนย์กลางความสุข และสมองส่วนอื่นๆ อีกราว 50 จุดให้ทำงานพร้อมกันจนเกิดการหลั่งกระแสประสาทที่รุนแรงคล้ายการถึง “ไคลแมกซ์” ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์

บริษัทโฆษณาว่าหมดยุคแล้วกับการเหน็ดเหนื่อย เพราะคุณสามารถถึงจุดสุดยอดได้ซ้ำๆ ด้วยเครื่องมือนี้ โดยไม่ต้องเหนื่อยแม้สักน้อย!

สรรพคุณที่ว่านี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ “คุณตู้” ประมุทธ์ ทิวาโอชะ เจ้านายคนปัจจุบันของผม ซีอีโอบริษัท “สุขสันต์” จะสนใจมันอย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งก็เป็นช่วงเดียวกับที่ความฝืดเคืองของเศรษฐกิจออกฤทธิ์อย่างหนัก จนผมต้องพับอาชีพนักเขียนฟรีแลนซ์ และโดนดึงตัวมาเป็นมือขวาของพี่ตู้

เนื่องจากผมเป็นรุ่นน้องมหาวิทยาลัยที่เคยทำกิจกรรมด้วยกันมาก่อน

 

ตอนที่บริษัทยุโรปเปิดขายเครื่องออแกสทรอนเป็นครั้งแรกเมื่อ 5 ปีก่อนนั้น มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไปแต่ละประเทศ

ส่วนใหญ่ผู้นำศาสนาและลัทธิจะออกมาต่อต้านว่า ผลิตภัณฑ์แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับผลงานของซาตาน ที่จะทำให้มนุษย์หมกมุ่นอยู่กับเรื่องความสุขผิวเผิน จนห่างไกลจากพระเจ้าหรือหลักธรรมของตน

เสียงต่อต้านจากกลุ่มหัวอนุรักษ์และคนเคร่งศาสนาประสานเสียงกันหนักแน่นกว่าที่เคย นักการเมืองและคนดังหลายคนก็ออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างเผ็ดร้อน

สรุปสั้นๆ คือส่วนใหญ่จะเห็นว่ามันเป็นอุปกรณ์ลามกจกเปรตแบบเดียวกับดีวีดีโป๊หรือหนังสือโป๊นั่นเอง แต่สังเกตได้ว่าส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านสเป๊กมันด้วยซ้ำว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกิจกรรมทางเพศหรืออวัยวะเพศเลย

กระนั้นในยุโรปบางประเทศ ผลิตภัณฑ์นี้ก็วางขายอยู่ในร้านเฉพาะทางที่ขายของอย่างว่า ส่วนประเทศที่เปิดกว้างขึ้นไปอีก ถึงกับวางขายในร้านขายเครื่องไฟฟ้าด้วยซ้ำไป มีคดีแปลกๆ จำพวก “คดีเด็ด” ที่โจรจี้เอาอุปกรณ์นี้จากคนซื้อตรงหน้าร้านกันตอนกลางวันแสกๆ เรียกว่า ความอยากถึงสุขสุดยอดนี่ ไม่ปรานีใครจริงๆ

ในประเทศไทย ความคิดเห็นต่างๆ นานาประเดประดังขึ้นในโซเชียลมีเดีย มีตั้งแต่เรียกร้องให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งของลามกจัดการกับมัน ในอีกปีกหนึ่งพวกคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งก็เขียนเสียดสีคนกลุ่มแรก และสนับสนุนให้รัฐจัดมันเป็นแค่ “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” ทั่วไปชิ้นหนึ่งเท่านั้น และยังมีคนกลุ่มที่ 3 ที่เฉยๆ เพราะถึงไม่ห้ามก็ใช่ว่าทุกคนจะซื้อไหว จากราคาเปิดตัวเท่ากับรถยนต์ญี่ปุ่นครึ่งคัน แต่ตอนนี้ราคาพุ่งไปที่เกือบเท่ากับราคารถยุโรปแล้ว แต่จนแล้วจนรอดออแกสทรอนก็ยังเป็นสินค้าผิดกฎหมายของประเทศอยู่ต่อไป

ช่วงนั้นผมจำได้ว่า ต้องติดตามเจ้านายวิ่งเข้าวิ่งออกบ้านผู้มีอำนาจเพื่อขออนุญาตนำเข้าเป็นเรื่องเป็นราว สุดท้ายหลังจากคุยกับผู้มีอำนาจจนครบหมดแล้ว (ซึ่งก็เสียเวลาไปหลายเดือนเต็มที) เราก็ได้รับคำแนะนำให้นำเข้าแบบ “เนียนๆ” และใช้กับ “สถานที่จำเพาะ” บางแห่ง เช่น คลับชั้นสูง เท่านั้น ซึ่งแม้ว่าสมาชิกมีเงินพอซื้อของพวกนี้ แต่สมาชิกแต่ละรายก็ไม่อยากจะมีปากเสียงกับคู่ครองเรื่องมีอุปกรณ์แบบนี้ในครอบครอง!

หลังจากนั้นอีกเพียง 2 ปีต่อมา หลังจากที่ผมและ “กองทัพมด” วิ่งเข้าหาผู้เกี่ยวข้องและหน่วยงานต่างๆ อย่างแข็งขันอยู่ตลอด แน่นอนว่าพร้อมกับมี “อะไรเล็กๆ น้อยๆ (ไปจนถึงมากๆ)” ติดมือไปด้วยตลอด

อธิบดีบางคนที่ฝีปากดีคุยกับภรรยารู้เรื่อง ก็ได้รับบรรณาการเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุดจากเราไปใช้งานที่บ้านเลยทีเดียว ในที่สุด อุปกรณ์นี้ก็ได้ตลาดใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมคือ โรงพยาบาล!

เรื่องนี้ต้องชมลูกพี่ เอ๊ย เจ้านายของผมจริงๆ เพราะเราแค่เปลี่ยนชื่อจาก “ออแกสทรอน” เป็น “รีแล็กเซอร์ (relaxer)” ก็ได้รับอนุญาตให้แพทย์ใช้ประกอบการรักษาผู้ป่วยที่มีความเครียด ความกดดัน หรือบาดแผลจากเหตุร้ายแรงในชีวิตที่เรียกว่า พีทีเอสดี (PTSD) ได้แล้ว แม้บริษัทของเราจะเติบโตเร็วมาก เริ่มจากทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท แต่ก็ก้าวกระโดดจนมีสินทรัพย์กว่า 500 ล้านบาทในเวลาเพียง 2 ปี เรียกว่าคุ้มค่ากับมูลค่าของกำนัลที่ต้องจ่ายไปแบบสุดๆ แต่ถึงจุดนี้ก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่พี่ตู้คิดว่าน่าจะเป็นหรอกครับ

แผนการของแกยิ่งใหญ่กว่านั้นมากครับ

 

สามปีหลังจากเปิดโฉมเครื่องออแกสทรอนเป็นครั้งแรก เราก็ก้าวข้ามไปถึงจุดสำคัญอีกจุดหนึ่ง

ถึงตอนนั้นกระแสต่อต้านเบาบางลงไปตามเวลา เพราะไม่พบข้อเสียหรือผลข้างเคียงจริงจัง ออแกสทรอนก็หลุดจากการเป็นสินค้าต้องห้ามในประเทศต่างๆ มากขึ้นๆ แต่ก็ยังต้องห้ามในประเทศไทยอยู่ มี “คดีเด็ด” อีกกรณีเกิดขึ้นคือ มีคนสั่งเครื่องเทียมที่ผลิตเลียนแบบโดยประเทศจอมก๊อบในเอเชีย แล้วเครื่องเกิดลัดวงจรจนทำให้ผู้ใช้งานเอ๋อไปหลายวัน ก็ยังดีที่เป็นแค่อาการชั่วคราว ไม่งั้นคงกระทบกับผลิตภัณฑ์นี้ ซึ่งแน่นอนว่าเราอาจจะซวยไปด้วย

ช่วงนี้มีคนลักลอบถือเข้าประเทศอยู่ตลอด คนที่ไม่อยากเสี่ยงหิ้วเองก็อาจสั่งซื้อออนไลน์เอา แต่ก็ไม่ง่ายเพราะการตรวจเอ็กซเรย์กล่องสินค้าจากต่างประเทศทำกันอย่างเข้มงวด บริษัทของเรากลายเป็นผู้จัดจำหน่ายที่ผูกขาดอยู่รายเดียว แม้จะมีค่าใช้จ่าย “ข้างหลัง” สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่คำนวณดูก็ยังคุ้มครับ เพราะเอาไปโขกราคาเพิ่มเข้าไปในราคาบริการ ซึ่งไม่มีทั้งบริษัทคู่แข่งและผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบ

การผูกขาดสินค้าและบริการได้นี่มันสวรรค์ชัดๆ สำหรับเราเลยครับ!

 

เมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 ผมจำได้ว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเรา มีการถกกันกว้างขวางในเมืองไทยอีกครั้งว่า ควรจะปล่อยให้เป็นสินค้าที่ถูกกฎหมายได้แล้วหรือไม่

วันนั้นผมยังจำได้ดีเมื่อพี่ตู้พบกับท่านรัฐมนตรีคนใหม่ การพูดคุยในคืนวันนั้นเกิดขึ้นในคลับลับเฉพาะที่ไฮโซสุดๆ กลางใจเมือง (คงไม่ต้องบอกว่าใครจ่ายนะครับ) เมื่อจบการเจรจาที่ราบรื่นมาก ผมก็แปลกใจจนต้องถามกับพี่ตู้

“พี่ตู้ ผมไม่เข้าใจ ทำไมแทนที่จะผลักให้กระทรวงเค้าดันให้ออแกสทรอนขายได้ตามกฎหมาย พี่ถึงได้ขอให้ท่านรัฐมนตรียืนยันให้เป็นสินค้าต้องห้ามอยู่อีกล่ะครับ ถ้าเปิดกว้างเมื่อไหร่ เราคงทำตลาดได้อีกมหาศาล”

พี่ตู้ ยิ้มๆ ก่อนตอบ “เออ ไม่อยากเชื่อเลยว่ะว่าที่ 1 ของรุ่นอย่างเอ็ง จะมองเรื่องนี้ไม่ออก”

ผมทำหน้าปูเลี่ยนๆ ไม่ได้พูดตอบอะไรออกไป

พี่ตู้ “คิดดูสิ ตอนนี้นอกจากเรา ใครเอาของพวกนี้เข้าประเทศแล้วไม่โดนจับ แล้วถ้าในอีก 1 ปี เรายังทำตลาดแบบนี้ได้อยู่อีก นึกดูสิ ปีหน้าพอเปิดตลาดให้สินค้าตัวนี้ เราก็เป็นเจ้าตลาดที่โค่นไม่ลงไปแล้ว-หรือไม่จริง?”

“จริงเว้ย!” ผมตะโกนอยู่ในใจ ทำไมผมไม่เคยมองมุมนี้มาก่อนเลยนะ

ช่วงนั้นเราเน้น “ขายบริการ” ให้กับร้านสปาระดับหรูๆ ที่ว่าขายบริการก็เพราะเราไม่ได้ขายตัวเครื่องออแกสทรอนโดยตรง แต่เราเปิดให้ร้านสปาพวกนี้ “ยืม” และกินเปอร์เซ็นต์จากการให้บริการลูกค้า และแน่นอนว่าเพื่อให้แนบเนียน เราก็ผลักให้มีกฎกระทรวงว่าต้องมีแพทย์เป็นผู้ดูแลการใช้งานด้วย เพราะมันเป็น “อุปกรณ์การแพทย์” ที่ใช้ผ่อนคลายและบริหารกล้ามเนื้อประสาท แน่นอนเงินค่าจ้างแพทย์เวร (หรือบางทีก็แค่พยาบาล) ที่จะส่งไปประจำก็คำนวณร่วมไว้ในค่าบริการเรียบร้อยแล้วครับ

วิธีนี้ป้องกันการโกงเวลาของร้านได้อีกทางด้วย

 

ในที่สุดวันนี้ออแกสทรอนก็กลายเป็นสินค้าถูกกฎหมายในเมืองไทยในที่สุด และบริษัท “สุขสันต์” ก็กลายเป็นบริษัทระดับหลายพันล้าน ร่ำๆ จะข้ามไปเป็นบริษัทหมื่นล้านเต็มที

เรื่องวิสัยทัศน์นี่ผมยกให้พี่ตู้จริงๆ นะครับ ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าบุญหล่นทับให้ได้เป็นซีอีโอบริษัทวันนี้พรุ่งนี้ ผมจะทำตลาดอย่างไรต่อ แต่ที่ผมคิดออกกลับทาบไม่ได้เลยกับกลยุทธ์ของพี่ตู้ แกทำตลาดออแกสทรอน แบบเดียวกับกลยุทธ์มือถือร่วมกับร้านสะดวกซื้อ

ถ้าใครยังจำได้ ระยะแรกที่มือถือเริ่มแพร่หลาย แม้ว่าเครื่องจะถูกลง แต่ราคาค่าโทร.ก็ยังแพงมหาโหดทั้งที่มีต้นทุนเพียงไม่กี่สตางค์ ยุคนั้นมีคนตั้งโต๊ะตามถนนให้บริการโทรศัพท์ผ่านมือถือ ทำนองเดียวกัน เราไม่ได้ขายตัวเครื่อง แต่เรา “ขายบริการการใช้เครื่อง” ครับ ซี่งจะทำแบบนั้นได้ ต้องพยายามจูงใจร้านสปาทั่วไปให้มาร่วมกับเรา นอกจากนี้ เรายังเปิดร่วมทุนให้คนที่มีทำเลดีๆ มาเปิดร้าน “สวรรค์ชั้น 7” ที่เรามีแบบแปลนร้านและทุกสิ่งทุกอย่างแบบสำเร็จรูป

ครับ โมเดลของร้านสะดวกซื้อนั่นแหละครับ!

ถึงตอนนี้ร้าน “สวรรค์ชั้น 7” ของเราก็มีอยู่แทบจะทุกถนนหลักๆ เรียกว่ารวมแล้วจะน้อยกว่าก็แต่ร้านสะดวกซื้อกับร้านกาแฟเท่านั้นแหละครับ พี่ตู้กลายเป็นนักธุรกิจผู้มีวิสัยทัศน์เยี่ยมยอดที่สุดคนหนึ่ง คนที่เคยใช้เครื่องออแกสทรอนต่างก็ติดใจและกลับมาใช้กันอีกทุกคน บางคนถึงขนาดแทบจะเรียกว่า “ติด” กันเลยทีเดียว แต่คงติดมากไม่ได้หรอกครับ เพราะค่าบริการที่เราตั้งไว้สูงพอสมควร

อันที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจหรอกครับ กว่าบริษัทจะรอดมาได้ 5 ปี มีค่าใช้จ่าย “หลังบ้าน” อยู่ไม่น้อยเลย

 

แต่เรื่องยังไม่หมดครับ เริ่มมีเสียงค่อนแคะว่าออแกสทรอนนี่ไม่ต่างอะไรจาก “ฝิ่น” ในสมัยก่อนเลยทีเดียว

คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์บางคนถึงตั้งทฤษฎีสมคบคิดว่า ฝรั่งเค้าคิดเทคโนโลยีพวกนี้มามอมเมาคนเอเชียแบบเดียวกับที่สมัยก่อนเอา “ฝิ่น” มามอมเมานั่นเอง ก็ว่ากันไป แต่ไม่กระทบกระเทือนอะไรกับเราหรอกครับ เพราะอำนาจในการตัดสินไม่ได้อยู่ที่คนพวกนี้สักหน่อย อันที่จริงช่วงนี้ก็เป็นตอนที่ผมได้ใช้ความสามารถในฐานะนักเขียน เขียนตอบโต้และเผยแพร่สรรพคุณสินค้าผ่านสื่อหลักและโซเชียลมีเดีย

เรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็คือหลังจากเปิดเสรีเครื่องออแกสทรอน สถิติอาชญากรรมก็พุ่งขึ้นใน 2-3 เดือนแรกถึง 300-400% บ้างก็ว่าอาจจะมาจากการปล้นชิงหาเงินมาซื้อหรือใช้บริการเครื่องนี้ แม้ว่าจะไม่มีใครหาหลักฐานมายืนยันให้ได้ชัดเจนก็ตาม (แต่เรารู้ว่าจริง เพราะยอดการใช้งาน และประวัติผู้ใช้งานแล้ว ส่วนใหญ่ลูกค้าของเราจะเป็นพวกคนชั้นกลางและล่าง ซึ่งไม่น่าจะใช้ได้บ่อย แต่ก็ใช้บ่อยมาก) แต่หลังจากนั้นสถิติอาชญกรรมก็ค่อยๆ ลดกลับมาเกือบเป็นปกติอีกครั้งนะครับ

วันนี้ ผมตามพี่ตู้มายังสถานที่ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพี่ตู้จะชวนมา – วัด ครับ!

วัดที่เรามาก็คือ “วัดธรรมะไกล” วัดใหญ่ที่ทำกิจกรรมใหญ่โต มีพุทธศาสนิกจำนวนมากมายทั้งในและนอกประเทศเป็นลูกศิษย์ลูกหา บางกระทรวงถึงกับขนเอาคนในกระทรวงและลูกหลานมาที่นี่เพื่อเข้าคอร์สอบรมธรรมะ ทั้งที่มีค่าใช้จ่ายมิใช่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าแม้จะแจ้งว่าพี่ตู้ขอพบ แต่เราก็ต้องรอคิวนัดท่านเจ้าอาวาสนานถึง 3 สัปดาห์ ผมกับทีมงานคนอื่นๆ ไม่มีโอกาสเข้าไปฟังการพูดคุยด้วย

มีแค่เจ้าอาวาส “ธรรมชยันโต” กับผู้ใกล้ชิดอีก 2-3 คน กับพี่ตู้เท่านั้นที่ได้ “ประชุมลับ” นี้

หลังการประชุมที่กินเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงดี พี่ตู้ก็เดินยิ้มร่าออกมา หลังจากขึ้นรถเก๋งยุโรปคันหรู พี่ตู้ก็พูดกับพวกเราว่า นี่จะเป็นก้าวกระโดดอีกครั้งของบริษัทเรา คราวนี้บริษัทเราอาจจะกลายเป็นบริษัทระดับหลายๆ หมื่นล้านหรือแม้แต่แสนล้านก็เป็นได้ เพราะงานวิจัยในต่างประเทศและที่บริษัทของเราทำเองชี้ให้เราเห็นว่า แค่ปรับแต่งเครื่องออแกสทรอนนิดเดียวมันก็ให้ผลแบบเดียวกับความสุขที่ได้จากการนั่งสมาธิ หรือทำวิปัสสนากรรมฐานได้

นี่จะเป็นครั้งแรกที่พุทศาสนิกชนชาวไทยสามารถเข้าใกล้เป้าหมายสูงสุดทางศาสนาคือ “พระนิพนาน” ได้ (โฆษณาเว่อร์ไปนิดนึง แต่ก็ทำกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือครับ) ผ่าน “เครื่องมือ” ที่อาศัย “เทคโนโลยี” จำเพาะของเรา

อุปกรณ์ที่อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็น…นิพพานจักร…ดีๆ นี่เอง!