เรื่องสั้น : วันเลือกตั้ง

วันนี้เป็นวันเลือกตั้ง…

ผมบอกกับตัวเองในขณะที่ยังนอนอยู่บนเตียง ตัวตื่นแล้วแต่ตายังคงหลับนิ่ง ในสมองคิดเรื่อยเปื่อย ทั้งๆ ที่เช้าแล้วควรจะลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวออกไปเลือกตั้ง ด้วยการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญทีเดียว เพราะไม่ใช่เลือกตั้งระดับท้องถิ่น แต่เป็นระดับชาติ…เลือกตั้งนายกรัฐมนตรีผู้นำของประเทศชาติ ผู้ที่จะนำประเทศชาติไปทิศทางใด เลือกสมาชิกผู้แทนราษฎร (ผู้แทนของผมนั่นแหละ) ตัวแทนปากเสียงของประชาชน

ผมยังคงนอนเล่น ทั้งๆ ที่ตื่นแล้ว ตะวันไต่ฟ้าสูงขึ้นไปเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะความเบื่อหน่ายกับข่าวการเมืองและความประพฤติของนักการเมืองก็เป็นได้ ฟังแต่เรื่องซ้ำๆ ซากๆ ของตัวแทนประชาชนเหมือนกับละครน้ำเน่าในโทรทัศน์แทบจะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก ยังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงที่แสนจะอบอุ่นนุ่มนิ่ม กระดิกเท้าเล่นเรื่อยเปื่อยไม่รู้ร้อนรู้หนาว ปล่อยให้เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า…เหมือนมันไม่มีค่าอะไร ไม่มีความกระตือรือร้นหรือสนใจในการเลือกตั้งครั้งนี้เลย

หากเป็นเมื่อก่อนจะตื่นแต่เช้าขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ฟังข่าว แล้วก็เดินทางไปบ้านแม่ที่อยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ เพื่อไปใช้สิทธิ์ของตัวเอง แม้วันเลือกตั้งการจราจรจะคับคั่ง รถจะติดบ้างก็ต้องไปให้ถึงและทันเวลาจนได้…ไปเพื่อใช้สิทธิ์ของประชาชนคนหนึ่งด้วยความภาคภูมิใจ

แต่พอมาถึงปีนี้และวันนี้…ความตั้งใจ ความสนใจ ความกระตือรือร้นมลายหายไปเสียสิ้น เหลือแต่ความเฉยเมย…จนกระทั่งความเบื่อหน่ายสุดๆ อย่างบอกไม่ถูก ในใจมีแต่การต่อต้านและไม่อยากรับรู้เอาเสียเลย ช่างแตกต่างจากวันก่อนเก่าโดยสิ้นเชิง…เหมือนขาวกับดำ

อาจเป็นเพราะผมเบื่อนักการเมืองน้ำเน่าที่ดีแต่พูด ทำงานไม่เป็น…แทบจะไม่ได้ทำอะไรหรือพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าหรือดีขึ้นเลย…เหมือนอย่างที่เคยมายกมือไหว้เป็นฝักบัวและสัญญาว่าจะทำนั่นทำนี่ให้ดีขึ้นเมื่อตอนมาหาเสียง เบื่อที่จะเห็นนักการเมืองสวมสูทเท่แล้วก็พล่ามจนน้ำลายฟูมปากแทบท่วมจอโทรทัศน์ในวันเปิดอภิปราย

ผมอาจมองโลกในแง่ร้ายไม่สวยงามเสียทีเดียว หากเปรียบเป็นสี…ก็คงเป็นสีเทาแล้วไล่ระดับจนเป็นสีดำมืดกระมัง…เพื่อนสนิทเคยว่าผมอย่างนั้น แล้วยังทิ้งท้ายไว้ว่า นักการเมืองน้ำดีมีคุณธรรมก็มีไม่น้อยท่ามกลางเสือสิงห์กระทิงแรด…และกระซู่ เหมือนกับจุดขาวบนพื้นดำ เพียงแต่รอวันเวลาให้จุดขาวได้ขยายและกระจายไปทั่ว…เกินกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่สีดำก็ยังดี ให้น้ำดีขับไล่น้ำเน่า นั่นเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ของเพื่อนผม

ไม่ว่าเพื่อนจะให้เหตุผลหรือชี้นำอย่างไร…ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของผมได้ เพราะความเบื่อหน่ายเข้าไปสิงในใจของผมเสียแล้ว

ช่างมันเถอะ…ปล่อยให้มันเป็นไป

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พอเห็นเบอร์ก็รู้ว่าแม่ติดต่อมา

“มาเลือกตั้งได้แล้ว” เสียงแม่ดังมาตามสาย น้ำเสียงแกมบังคับให้ผมทำตามนั้นให้จงได้ ผมคุ้นเคยกับน้ำเสียงของแม่ดี เสียงไม่ดุดันแต่ทรงพลังให้ลูกๆ เกรงใจ

“สายๆ จะไปนะแม่”

“ในซอยบ้านเรารถก็ติด สายๆ อาจไม่ทันนะลูก” เสียงแม่กระตือรือร้นและเป็นห่วงจนผมรู้สึกได้

“ครับ ไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผมตอบไปอย่างนั้นเอง ด้วยไม่แน่ใจว่าจะไปใช้สิทธิ์หรือไม่ ในใจลึกๆ แล้วไม่อยากไป เพราะเบื่อหน่ายกับการเมืองเสียเหลือเกิน

คำว่า “อย่านอนหลับทับสิทธิ์” ไม่เคยอยู่ในหัวสมองของผมมาก่อนเลย แต่มาวันนี้และขณะนี้มันเข้ามาเกาะติดในหัวได้อย่างไรและตั้งแต่เมื่อไหร่…ก็ไม่อาจรู้ได้ ทั้งๆ เมื่อก่อนผมจะเอาใจใส่และสนใจในสิทธิ์ของตัวเอง…โดยเฉพาะการเลือกตั้ง ก่อนจะถึงวันใช้สิทธิ์ใช้เสียงของตัวเอง ผมจะไปนั่งคุยและแลกเปลี่ยนทัศนะกับสมาชิกในครอบครัว เริ่มตั้งแต่พ่อแม่พี่น้องและญาติๆ ต่างเป็นตัวของตัวเอง มีเหตุผลส่วนตัว รักชอบผู้สมัครของตัวเอง บางครั้งถึงกับโต้เถียงกันด้วยความชอบที่แตกต่าง มีการพูดจาเข้าข้างลำเอียงอ้างเหตุผลให้กับคนที่ชอบเป็นการส่วนตัว แต่พวกเราไม่เคยถึงกับทะเลาะเบาะแว้งแบ่งพรรคแบ่งพวกบานปลายจนเป็นเรื่องใหญ่โตและไม่มองหน้ากัน

พ่อชอบนักการเมืองที่ตรงไปตรงมา พูดจริงทำจริง และต้องสร้างผลงานอย่างที่มาหาเสียงถึงหน้าบ้าน

แม่ชอบนักการเมืองผู้หญิง ด้วยอยากเห็นผู้หญิงมีสิทธิ์มีเสียงในสภาบ้างและเป็นตัวแทนของผู้หญิงด้วยกัน ถ้าหากเขตเลือกตั้งไม่มีผู้หญิงที่แม่ไว้วางใจหรือประทับใจ แม่จะหันไปมองนักการเมืองซื่อสัตย์เป็นพื้น

พอวันเลือกตั้งมาถึง ผมจะตื่นแต่เช้าขึ้นมาฟังข่าวคราวทางโทรทัศน์ แล้วขับรถไปบ้านแม่เพื่อไปใช้สิทธิ์ ด้วยชื่อของผมอยู่ในทะเบียนบ้านพ่อ-แม่แถวชานเมือง ต้องเข้าซอยจากถนนใหญ่ไปอีกสี่-ห้ากิโลเมตร วันนั้นรถมากมายจะเข้ามาติดในซอย ผมก็ต้องไปใช้สิทธิ์ของตัวเองจนได้ พอสายๆ ก็นั่งลุ้นตัวแทนอยู่หน้าจอทีวีจนดึกดื่น ด้วยมีความหวังให้คนที่ผมเลือกได้รับคะแนนนำหน้าแซงคู่แข่งแบบม้วนเดียวจบ ไม่ต้องหวาดเสียว

เรื่องความเบื่อหน่ายมาเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ตอนนั้นยังไม่มีระบบการเลือกตั้งล่วงหน้า ทุกคนต้องใช้สิทธิ์ใช้เสียงในวันนั้นเพียงวันเดียว ซึ่งวันเลือกตั้งครั้งนั้นผมติดทำงานอยู่ที่เมืองพัทยา โชคดีที่วันเลือกตั้งตรงกับวันอาทิตย์และผมก็เสร็จงานในเช้านั้น แต่ก็ต้องพักค้างอยู่ที่ชายทะเลอีกถึงสองวัน ผมตัดสินใจนั่งรถทัวร์ไปลงที่บางนา ตั้งใจไปเลือกตัวแทนที่ผมชื่นชอบ แม่ยังสำทับว่าต้องไปใช้สิทธิ์ให้ได้ ด้วยรู้ว่าการหาเสียงครั้งนี้ช่างหนักหน่วงเสียจริง นับวันคู่แข่งมีฐานเสียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และไล่ตามผู้แทนของผมมาติดๆ จนผมไม่อาจนั่งรออยู่ที่พัทยาได้ จริงๆ คิดว่าหนึ่งเสียงของผมก็ไม่ได้สำคัญอะไรนัก คงไม่มีผลพอที่จะชนะหรือแพ้ แต่คิดไปคิดมาก็ไม่อาจนั่งเฉยๆ อยู่ได้ จึงเดินทางไปที่บ้านแม่

ก่อนรถทัวร์จะถึงชานเมืองรถก็ติดยาวเหยียดเสียแล้ว เสียเวลาอยู่ร่วมชั่วโมงกว่าจึงได้ลงจากรถฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงนั่งรถสองแถวเข้าไปในหมู่บ้าน ระหว่างทางการจราจรติดขัด รถขยับไปอย่างช้าๆ ราวเต่าคลาน ระยะทางเพียงสี่กิโลเมตรต้องใช้เวลาถึงสี่สิบนาที แดดจ้าอย่างท้าทาย แทบไม่มีลมเย็นพัดผ่านมาสักวูบให้ชื่นใจ เหงื่อไหลไคลย้อย กลิ่นเหงื่อกลิ่นตัวปะปนกันนับสิบๆ คนในรถสองแถวชวนให้ต้องกลั้นหายใจเป็นช่วงๆ บรรยากาศช่างไม่เป็นใจให้เสียเลย การเดินทางเพื่อไปเลือกตั้งในวันนั้นผ่านไปอย่างทุลักทุเลเสียจริง

แล้วก็ได้เลือกตั้งสมความตั้งใจ จากนั้นก็ต้องเสียค่ารถโดยสารกลับไปพัทยา กว่าจะถึงก็ค่ำมืด ดึกคืนนั้นยังนั่งรอฟังผลอย่างใจจดใจจ่อ ลุ้นให้ผู้แทนที่ผมเลือกชนะ และก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ นึกดีอกดีใจแทนทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกัน เพียงเคยเห็นหน้ากันแวบๆ ระหว่างที่เขาเดินหาเสียงในซอยบ้านแม่ยกมือไหว้บ้านนั้นทีบ้านนี้ที

แต่ความเบื่อหน่ายครั้งนั้นยังไม่หนักหนารุนแรงกว่าครั้งถัดไป

รัฐบาลอยู่ไม่ครบสมัยก็เกิดแท้งขึ้นเสียก่อน มีการจัดให้เลือกตั้งครั้งใหม่ ครั้งนั้นผมติดงานอยู่ทางภาคเหนือที่เชียงราย จึงไม่มีโอกาสกลับไปใช้สิทธิ์เหมือนคราวที่แล้ว หรือจะให้ลงทุนมากกว่าครั้งก่อนก็ต้องนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ผมคงไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นใช่ไหม เพียงคิด…ก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าสิ้นดี

ก่อนการเลือกตั้งก็มีกฎหมายออกมาว่า หากผู้ใดไม่ไปเลือกตั้งจะตัดสิทธิ์ในการสมัครเป็นผู้แทนราษฎรหรือทางการเมือง ทางการต้องการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้เสียงให้มากที่สุด นั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่เคยคิดถึงหัวอกหัวใจของประชาชนธรรมดาๆ ทั่วไป เพียงผมไม่ไปกาเบอร์เลือกตั้งเพียงครั้งนั้นครั้งเดียว ผมต้องเสียสิทธิ์ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ หามิได้…ไม่เคยนึกอยากจะเล่นการเมืองแม้สักน้อย…หรือนิดเดียวก็ไม่เคยคิด

นับว่าเป็นการรังแกและลิดรอนสิทธิ์ของประชาชนอย่างไร้เหตุผล…ผมเป็นคนหนึ่งที่คิดคัดค้านและต่อต้านขึ้นมาในใจ เริ่มเบื่อและเกลียดชังการเมืองตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ผมตั้งคำถามกับตัวเองอยู่นานว่า ทำไมเขาไม่คิดจะออกกฎหมายเอาผิดกับนักการเมืองบ้าง บ่อยครั้งที่ ส.ส.ลาออกจากตำแหน่งอย่างไร้เหตุผล หรือเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ทางการก็ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ ต้องเสียงบประมาณอีกมากมาย แล้วยังต้องมาเดือดร้อนให้ประชาชนไปเลือกตั้งซ่อมใหม่อีก อย่างนี้ทำไมไม่คิดจัดการกับเหล่านักการเมืองที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้บ้าง

วันเลือกตั้งจะตรงกับวันอาทิตย์เสมอเพื่อให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันหยุดได้ ถนนที่จะไปบ้านแม่ที่ชานเมืองมักจะไม่ติดขัดในวันสุดสัปดาห์ ผมขับรถไปด้วยความสบายใจเสมอ…ไม่รู้สึกหงุดหงิดเลย แต่พอวันเลือกตั้งถนนสายนี้ที่เคยมีรถราบางตาก็กลับมาคับคั่งมีชีวิตชีวาขี้นมาทันที ด้วยทางเท้าหรือหน้าปากซอยระหว่างทางจะมีคูหาเลือกตั้งมาตั้งอยู่เป็นระยะๆ ผู้คนออกมาใช้สิทธิ์จนรถติด

ผมขับรถตรงไปบ้านแม่ ในใจคิดอะไรเรื่อยเปื่อย คิดว่าจะเลือกพรรคใดหรือผู้แทนคนไหนดี ตั้งคำถามกับตัวเองว่าพรรคการเมืองใดเลวร้ายน้อยที่สุดและโกงกินประเทศชาติน้อยที่สุด แต่พอจะพาให้ประเทศชาติรอดได้และฝ่าฟันวิกฤตต่างๆ ไปได้ ผมอาจจะเลือกพรรคนั้น…หรืออาจจะไม่เลือกใครเลย เพราะความเบื่อมีอยู่ในใจมากเกินกว่าครึ่ง และการเลือกตั้งครั้งหลังๆ ที่ผ่านมาผมนอนหลับทับสิทธิ์ไปหลายต่อหลายครั้งและไม่นึกใส่ใจหรือสนใจเหมือนเมื่อก่อน แม้ภายหลังทางการจะออกกฎหมายให้มีเลือกตั้งล่วงหน้า ผมก็ไม่เคยนึกสนใจหรือกระตือรือร้น หากช่วงจังหวะที่ผมทำงานอยู่ต่างจังหวัด ไม่ว่าจะอยู่ภาคเหนือหรือภาคใต้ ก็ไม่เคยคิดจะใช้สิทธิ์ล่วงหน้า ปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนสายลม หรือบางครั้งที่อยู่กรุงเทพฯ และไม่ได้ทำงาน ผมก็ไม่ได้ไปเลือกตั้งเสียหลายหนจนแม่เอ็ดว่าผมทุกครั้ง ผมก็จะอ้างนั่นอ้างนี่ไปว่าไม่ว่างบ้างหรือติดธุระบ้าง…รู้สึกไม่ยี่หระกับการเลือกตั้งเอาเสียเลย

รถผมติดอยู่ตรงสี่แยกใหญ่มาสองไฟแดงแล้วก็ยังไม่พ้น รถติดไปแถวยาว ขยับไปได้เพียงเล็กน้อย ด้วยผู้ที่มีอำนาจเปิดไฟแดงไฟเขียวตั้งไว้เพียงสามสิบวินาทีเท่านั้น หลายแยกจราจรกลางเมืองหลวงที่ตั้งเวลาไว้น้อยกว่านั้นมีนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าคนอื่นจะหงุดหงิดเหมือนผมบ้างหรือเปล่า ผมคงเป็นคนไม่ดีที่เบื่อหน่ายง่ายและหงุดหงิดอยู่เป็นนิจ

อีกสาเหตุหนึ่งที่รถขยับไปไม่ได้มากก็เป็นเพราะพวกที่เห็นแก่ตัว ไม่ยอมขับรถเข้าแถวเป็นระเบียบ กลับแซงขึ้นมาและปาดรถแทรกเข้ามาให้เสียจังหวะ บางรายหน้าด้านหน้าไม่อายขับรถขนานขึ้นไปช้าๆ รอลักไก่เลี้ยว แต่ไฟยังแดงอยู่อีกนาน รถที่ตามมาจะเลี้ยวก็เลี้ยวไม่ได้ เสียงแตรดังไล่ตามหลังมาก็ยังจอดนิ่งเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

ท้องฟ้าสดใสเมื่อเช้านี้เริ่มแปรเปลี่ยนไป ฟ้าครึ้มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมฆฝนลอยตัวอยู่เหนือกลางเมืองหลวงทำท่าจะเทฝนลงมาในไม่ช้า บ่อยครั้งที่ฝนตกโปรยปรายในวันเลือกตั้ง ทำให้ผู้คนออกไปใช้สิทธิ์น้อยลง

ผมรอต่อไปไม่ได้แล้วกับไฟแดงที่ยังคงอยู่อีกนาน แล้วเปลี่ยนเป็นไฟเขียวเพียงชั่วอึดใจเดียว ตัดสินใจขับรถแซงขึ้นไปเหมือนคนมักง่ายพวกนั้นบ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่พ้นสี่แยกไปได้ง่ายๆ หรอก คงต้องติดอยู่อีกเป็นสิบกว่านาทีเป็นแน่

แล้วผมก็เลี้ยวขวาได้ดังใจเหมือนพวกที่ชอบขับรถลักไก่ไม่มีระเบียบวินัย รู้สึกสะใจที่ได้ทำเช่นนั้น

ลมพัดแรงจนเห็นต้นไม้ข้างทางโบกกิ่งเคลื่อนไหว ใบไม้กระดิกตัวไปมาเหมือนจะล้อเลียนผมที่อยู่ในรถก็ยังรู้สึกถึงแรงลมพัดแรง…เร็ว ผสมกับเสียงดังหวีดหวิวอย่างมีอำนาจซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งคนเราไม่เคยได้มองห็นตัวตนของมันเลย…แม้เพียงสักน้อย

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พอเห็นเบอร์ที่ปรากฏก็รู้ว่าแม่ติดต่อมา

“ว่ายังไง ถึงไหนแล้ว” เสียงแม่ดังมาตามสาย น้ำเสียงเป็นห่วง

“อีกสักพักก็คงถึง”

“รีบๆ หน่อย ฝนก็ทำท่าจะตก เดี๋ยวไปเลือกตั้งไม่ทันหรอก”

“ถ้าไม่ทันก็ไม่ต้องเลือก” ผมตอบไปอย่างนั้น ซึ่งรู้ว่าแม่ไม่ชอบใจแน่

“ไม่ได้ ต้องมาให้ทันเลือกนะ” น้ำเสียงแม่สั่งแกมบังคับ “ตรงไปที่คูหาเลือกตั้งเลย ไม่ต้องเข้าบ้าน เพราะที่บ้านไปเลือกกันหมดแล้ว พ่อกับแม่เลือกไม่ตรงกัน น้องสองคนของเราก็เลือกกันคนละฝ่าย เหลือลูกคนเดียวจะเลือกใครล่ะ” แม่ถามอย่างใคร่รู้

“เรื่องอย่างนี้บอกกันไม่ได้หรอกแม่” ผมแกล้งหยอกแม่ไปอย่างนั้นเอง “แล้วแม่เลือกพรรคไหน”

“บอกไม่ได้เหมือนกัน” แม่ย้อนศรผมเข้าบ้าง ผมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว มือยังบังคับพวงมาลัยรถ ทั้งๆ ที่รณรงค์คุยไม่ขับ แต่ก็ยังฝ่าฝืน

“ง่ายนิดเดียว ผมก็ไปถามพ่อว่าเลือกใคร ก็จะรู้คำตอบว่าแม่เลือกพรรคไหน”

“เจ้าเล่ห์นะเรา รีบๆ ไปเลือกตั้งซะ”

ทั้งๆ ที่แม่ไม่เคยเรียนหนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่หัวใจของแม่มีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าผมเสียอีก รู้จักคำว่า “สิทธิ์และเสียง” มากมายกว่าผมนักต่อนัก

แม่บอกกับทุกคนในบ้านเสมอว่า แม้พวกเราจะมองเห็นต่างกัน มีความชอบในพรรคการเมืองต่างกัน มีทัศนะที่ไม่เหมือนกัน แต่ขอให้ทุกคนไม่แตกแยกกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ต้องถึงกับแบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งฝ่ายกันไป

“อย่าต้องให้ถึงกับผ่าบ้านออกเป็นสองส่วนแบ่งกันไปเลยนะ” แม่พูดอย่างขำๆ

ฝนโปรยเม็ดบางตา ตกไม่รุนแรงดังที่นึกไว้ คงเป็นเพราะลมพัดพาเมฆฝนลอยไปยังทิศทางอื่น แล้วฝนก็หยุดตกอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เพียงแต่ฟ้ายังครึ้มๆ อยู่

ผมตรงไปที่คูหาเลือกตั้ง แสดงบัตรประชาชนและรับบัตรเลือกตั้งมาอยู่ในมือ เมื่ออยู่ในมุมเลือกตั้ง ผมคลี่กระดาษใบโตออก มองตัวเลขเรียงตัวเป็นแถวยาว ไม่รู้จะเลือกใครดี หรือจะกาในช่องไม่เลือกใครเลย นึกไปนึกมา…ทำให้คิดถึงครั้งก่อนมีคนฉีกบัตรเลือกตั้งซึ่งมีความผิดถึงกับต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาล

ผมคงไม่ทำอย่างนั้นหรอก…

หากจะทำ…ต้องทำให้แตกต่าง ในใจนึกขึ้นมาทันทีทันใด ผมอยากเขียนข้อความสั้นๆ หยาบๆ บนกระดาษใบโตที่อยู่ตรงหน้า พอตอนเปิดหีบนับคะแนนคนอ่านคงจะตกใจอ้าปากค้างอย่างไม่ต้องสงสัย และคงเป็นข่าวใหญ่บนหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ฉบับวันรุ่งขึ้น

ถ้าเพื่อนรู้ว่าผมมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัว พวกเขาต้องว่าผมเป็นคนที่มีความคิดชั่วร้ายสุดๆ เป็นแน่ ช่างเถอะ…คนเราย่อมมีความคิดที่สร้างสรรค์ บางครั้งก็ต้องคิดชั่วร้ายกันบ้าง ไม่อย่างนั้นโลกคงเป็นสีชมพูและสวยงามกว่าทุกวันนี้ไปแล้ว

ผมคงไม่ทำอย่างนั้นหรอก…หรือว่าจะทำ

เดินออกจากคูหาเลือกตั้ง เสร็จสิ้นหน้าที่ของประชาชนทั่วๆ ไปแล้ว จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของคนอื่น…คนที่จะนำพาประเทศชาติไปทิศทางใด ได้แต่ภาวนาขอให้ประเทศชาติไปรอดและผ่านไปด้วยดี

ท้องฟ้ากลับสว่างขึ้นมาอีกครั้ง…

ผมมองเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง

ขอให้สวยสดและงดงามอย่างท้องฟ้าในขณะนั้น…