เรื่องสั้น : ยามะ- อะคาเดีย (ตอนจบ)

ย้อนอ่าน ยามะ- อะคาเดีย (ตอนแรก)

เจนรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำและสิ้นหวัง เมื่อปีเตอร์หายตัวไปจนเกือบเที่ยงก็ยังไม่กลับมา พอลกับพวกลูกหาบกำลังเดินตามหาจนทั่วทั้งตลาด แม้แมรี่จะคอยคะยั้นคะยอให้เธอกินอะไรบ้าง แต่เธอก็ได้แต่จิบน้ำชาและนั่งซึมเซาต่อไป แมรี่รู้จักอาการแบบนี้ จึงนั่งรอเงียบๆ ให้เจนพร้อมที่จะระบายความในใจ

“ฉันไม่ควรตามใจพีท ยอมให้มาทริปนี้เลย” เจนเอ่ยขึ้น

“ไม่ใช่ความผิดของเธอน่ะ เจน เรารู้ว่าหลังจากที่พ่อแม่ของพวกเธอประสบอุบัติเหตุ พวกเธอต้องผ่านความทุกข์มามาก และเรารู้ว่าปีเตอร์อ่อนไหวขนาดไหน เขาคงต้องการเวลาปรับตัว การปลีกตัวออกมาจากสิ่งแวดล้อมเดิมก็พอช่วยได้น่ะ อย่าโทษตัวเองเลย”

“มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก ถ้าเพียงแต่…” เจนเริ่มลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา มือทั้งสองจับประสานบิดไปมา

“อืม เราลองตรวจดูข้าวของของปีเตอร์กันมั้ย เผื่อจะพอหาเบาะแสอะไรได้บ้าง”

แมรี่พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของเจน

“จริงสิ แต่ฉันว่าคงไม่มีอะไรมาก เพราะฉันเป็นคนจัดของใช้ให้เขาเอง แต่เราไปดูกันก็ได้”

ทั้งคู่ช่วยกันเปิดดูในเป้ใหญ่ของปีเตอร์ ที่นอกจากเสื้อผ้าของใช้จำเป็นส่วนตัวแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าผิดสังเกต นอกจากสมุดพกส่วนตัว ซึ่งแมรี่ยื่นให้เจนเปิดอ่าน แต่เจนสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ตอนนี้ ฉันยังไม่อยากเปิดอ่าน ไม่อยาก… ฉันยังรับไม่ได้กับสิ่งที่พีทรู้”

“เขารู้อะไร” แมรี่ถาม เจนยังสั่นศีรษะ น้ำตาปริ่ม “เรื่องที่ฉันไม่ใช่พี่สาวของเขา”

“ฉันไม่เข้าใจ พวกเราก็รู้ว่าเธอเป็นลูกติดของแม่เธอ ก่อนที่จะมาแต่งงานกับพ่อปีเตอร์ แต่ก็นับว่าเธอเป็นพี่สาวครึ่งหนึ่งได้นี่นา แม้จะไม่ได้เกี่ยวดองโดยตรง ปีเตอร์เขาก็รู้”

เจนน้ำตาไหลพราก สิ่งที่เก็บซ่อนไว้เนิ่นนานก็หลั่งไหลออกมา เจนถูกพ่อเลี้ยงบังคับขืนใจตั้งแต่อายุน้อย แม่ของเธอก็รู้ แต่ความที่ไม่อยากสูญเสียสถานะของภรรยามหาเศรษฐี แม่ของเธอก็ปล่อยเลยตามเลย ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนบางครั้งสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ จนเจนเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นและตั้งท้อง เธอถูกส่งไปคลอดลูกที่ยุโรป และเมื่อเธอกลับมาพร้อมลูกชาย ปีเตอร์ก็ถูกจดทะเบียนเป็นลูกตามกฎหมายของพ่อ และกลายเป็นน้องชายของเธอ เจนตกอยู่ในสภาพจำยอม จนกระทั่งเธอสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัย ปีเตอร์เริ่มเข้าโรงเรียน เธอก็ขัดขืนสภาพที่เป็นอยู่ด้วยการไปอยู่หอพักที่มหาวิทยาลัยและหางานทำนอกอาณาจักรของพ่อเลี้ยง แต่ความรักลูกไม่เคยจางหาย เธอจึงหวนกลับไปที่บ้านในบางโอกาสเพื่อให้ได้ใกล้ชิดปีเตอร์ ซึ่งกลายเป็นลูกสุดที่รักของพ่อเลี้ยงและแม่ของเธอ ปีเตอร์เพิ่งรู้ความลับนี้ เมื่อพ่อและแม่ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินส่วนตัวตกขณะเดินทางไปกับเพื่อนๆ นักธุรกิจ ไฟคลอกจนต้องมีการตรวจดีเอ็นเอเพื่อระบุตัวตน ปรากฏว่าดีเอ็นเอของแม่ไม่ตรงกับปีเตอร์ เลยเกิดข้อสงสัย จนเจนต้องยอมเผยความจริง ปฏิกิริยาของปีเตอร์นอกจากจะเจ็บปวดจากอุบัติเหตุแล้ว ยังต้องช็อกกับเรื่องที่ไม่คาดคิดนี้อีก ทำให้เขาเปลี่ยนไป จนเจนวิตกกังวล และยอมตามใจเมื่อปีเตอร์ประกาศว่าต้องการเดินทางมาที่เอเวอเรสต์ โดยเจนมีเงื่อนไขยืนกรานจะมาด้วย

เมื่อได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นออกไปแล้ว ดูเหมือนเจนจะสงบลงได้

“โธ่ เจน แล้วนี่สามีฉัน พอล ทนายประจำบ้าน เขารู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

“เขาน่าจะรู้นะ แต่เรื่องนี้คงไม่เปลี่ยนแปลงสถานะที่เป็นอยู่หรอก ตอนนี้ฉันอยากหาตัวพีทให้เจอ แล้วเราจะได้กลับบ้านกันเสียที บางทีเราอาจจะลืมอดีตแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กัน”

“ใช่ ใช่ นั่นแหละดีที่สุดเลย”

เจนยื่นสมุดบันทึกให้แมรี่เก็บใส่เป้เดินทางใบใหญ่ แต่แมรี่รับพลาดทำให้สมุดตกลงที่พื้นและโปสการ์ดแผ่นหนึ่งหลุดออกมา เจนก้มลงเก็บโปสการ์ด ขณะที่แมรี่เก็บสมุดบันทึก

“อ้าว แล้วพวกคณะของนายไม่เจอมิสเตอร์ปีเตอร์ที่วิหารเทงโบเชตามที่ได้ข่าวหรอกหรือ” นายตำรวจซักต่อ

“นั่นสิครับ เราเดินกันไปเกือบทั้งวัน เพราะคุณผู้หญิงสองคนไปได้ช้ามาก กว่าจะถึงวัดก็เกือบค่ำ เรายังไม่ทันเข้าที่พักก็รีบเข้าไปหาเจ้าอาวาสกันก่อนเลย ปรากฏว่าเจ้าอาวาสไม่อยู่ พวกลูกวัดบอกว่าออกธุดงค์ แล้วยังบอกว่ามีพวกต่างชาติมาที่วัดกันแทบทุกวัน เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ชื่ออะไรกันบ้าง พระท่านแนะนำให้ลองไปคุยกับพวกนักท่องเที่ยวกันเองหรือพวกไกด์คณะอื่นๆ ก่อน คณะของเราเลยต้องกลับเข้าที่พักก่อน แล้วค่อยเริ่มหากันใหม่ในวันถัดไป”

“แล้วได้ความว่ายังไงล่ะ”

“ก็ไม่ได้ความอะไรน่ะสิครับ คุณปีเตอร์เหมือนหายไปในอากาศ หรือป่านนี้อาจจะเดินไปที่จุดพักต่อไปก็ได้ ทางคณะเลยยืนยันให้มาแจ้งความกับตำรวจไว้ก่อน เผื่อจะมีหนทางหาตัวเขาอีกทาง”

“เข้าใจละ แกก็น่าจะอธิบายให้ลูกทัวร์แกรู้ว่า เรื่องคนหายหรือแม้แต่ตายระหว่างทางเดินในภูมิประเทศแถบนี้น่ะเป็นเรื่องธรรมดา บางคนศพหาไม่เจอก็ถมไป แล้วแกมีรูปของนายปีเตอร์นี้หรือเปล่าล่ะ”

“อ้อ มีครับ ผมถ่ายไว้ในมือถือของผมด้วยรูปหนึ่ง เป็นรูปถ่ายคณะกับเทพยามะที่จัตุรัสเดอร์บาร์ในภัคตาปูร์ คนตัวสูงๆ นี่แหละครับคุณปีเตอร์”

ปีเตอร์รู้สึกตัวว่านอนอยู่ใต้ผ้านวมหนาในห้องคูหาเล็กๆ แสงจากเทียนในถ้วยดินเผาช่วยให้มองเห็นได้เพียงรางๆ มีพระลามะชรานั่งอยู่ข้างเขา กำลังเทน้ำชาใส่ถ้วยแล้วยื่นให้เขา ปีเตอร์ขยับตัวลุกขึ้นดื่มชาร้อนๆ ช่วยให้รู้สึกอบอุ่น

“คุณควรนอนต่ออีกสักหน่อยนะ ร่างกายจะได้ปรับตัวกับความสูงได้ดีขึ้น”

“เอ้อ ท่านพูดภาษาอังกฤษได้ หรือว่าผมฝันไปว่าเข้าใจคำพูดของท่าน”

“คุณปีเตอร์ สมัยนี้ใครๆ ก็ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ทั้งนั้นแหละ พอคุณมาอยู่ที่นี่แล้ว คุณก็คงต้องเรียนภาษาทิเบตของเราแล้ว”

“ทำไมผมต้องมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ ผมคงต้องกลับบ้านเร็วๆ นี้”

“เรื่องนั้นคงต้องคุยกันทีหลัง ตอนนี้คุณพักผ่อนก่อน”

ปีเตอร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อแสงแดดส่องเป็นประกายเข้ามาในห้อง สุนัขสีเทาตัวใหญ่วิ่งเข้ามาหาและเลียหน้าปีเตอร์ “เฮ้ นี่แกหรือเปล่า ริชชี่” ปีเตอร์ส่งเสียงเรียกชื่อ มันกระดิกหางรับแล้วก็หันกลับวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว แล้วปีเตอร์ก็นึกขึ้นได้ว่า ริชชี่ที่เป็นสุนัขตัวโปรดที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก แต่มันตายไปตั้งแต่ตอนเขาอายุ 13

ลามะชราคนเดิมเดินเข้ามานั่งข้างๆ ปีเตอร์รีบลุกขึ้นนั่ง

“เอาละ คุณปีเตอร์ เราคงได้คุยกันจริงจังแล้วทีนี้”

“ทำไมท่านทราบชื่อผมล่ะครับ”

“ไม่ลึกลับหรอก ก็ดูจากพาสปอร์ตในกระเป๋าเป้ของคุณนั่นแหละ ฮึฮึ”

ปีเตอร์พลอยหัวเราะไปด้วย

“เอาละ คุณปีเตอร์ ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญในโลกนี้หรอก ทุกอย่างถูกวางไว้เหมาะเจาะตามห้วงเวลาและสถานที่แล้ว คุณเองก็ถูกวางไว้แล้วที่จะต้องมาอยู่ที่นี่ มาเกิดใหม่ที่นี่ เพราะคุณมีภารกิจอยู่ที่นี่ ศาสนาของเราเชื่อในเรื่องการตายและเกิดใหม่”

ปีเตอร์นั่งนิ่ง ฟังพระลามะชราที่เริ่มบทภาวนาสรรเสริญพระพุทธคุณ

เจนพลิกดูโปสการ์ดที่ปีเตอร์เก็บไว้ในสมุดพก

เป็นภาพวาดแนวนีโอคลาสสิคของนิโกลา ปูแซ็ง ในภาพเป็นรูปกลุ่มคนเลี้ยงแกะสามคนกับหญิงสาวมาพบหลุมฝังศพที่จารึกถ้อยคำว่า “Et in Arcadia Ego” ซึ่งเป็นชื่อของภาพวาด

ข้างหลังภาพ เป็นลายมือของปีเตอร์ แปลชื่อภาพไว้ว่า “แม้ในแดนอะคาเดีย ข้าก็อยู่ ณ ที่นั้น”*

มีรอยปากกาขีดใต้คำว่า “ข้า” และเขียนคำว่า “ความตาย”

“ตํารวจพบร่างปีเตอร์แล้ว” พอลเดินเข้ามาบอกกับภรรยาและเจนในห้องพักที่กาฏมาณฑุ หลังจากเจนล้มป่วยจากอาการแพ้ความสูงมากขึ้นและแมรี่ยืนยันให้คณะกลับไปรอฟังข่าวที่กาฏมาณฑุ โดยปล่อยให้พิหารสืบหาปีเตอร์ต่อ และตำรวจท้องที่ก็ยืนยันคำแนะนำให้กลับไปเมืองใหญ่ “ศพอยู่ที่โรงพยาบาล เราต้องไปชี้ตัว”

แมรี่กอดเจนที่ตัวสั่นเทาและทำท่าเหมือนเป็นลม

“คุณควรจะค่อยๆ บอกนะ แทนที่จะโพล่งมาแบบนี้” แมรี่ส่งเสียงดัง

“ผมขอโทษนะเจน เราต้องรีบให้เรื่องนี้จบลง ไม่ว่าจะเป็นไปแบบไหน คุณกับแมรี่อยู่ที่โรงแรมนี้แล้วให้ผมจัดการเองก็ได้นะ เราแค่เช็กดีเอ็นเอ และให้ตำรวจลงบันทึก”

“ไม่ ไม่ ไม่เอาเรื่องดีเอ็นเอ ฉันจะไปดูเอง ฉันต้องไปดูเขา”

เมื่อคณะเข้าไปในห้องเย็นเก็บศพ ก็พบกับร่างถูกวางอยู่บนเตียงมีผ้าขาวคลุม ตำรวจพาคณะเดินไปที่เตียง “เอาละครับ พวกคุณคงต้องเตรียมใจไว้หน่อย เพราะร่างที่เราพบไม่ค่อยน่าดูนัก แม้ว่าอากาศที่นี่จะเย็นและช่วยไม่ให้ศพเน่าเปื่อย แต่ก็มีฝูงอีแร้งมาช่วยกันจัดการ ชาวทิเบตถือเป็นพิธีศพแห่งท้องฟ้า บางทีก็มีสัตว์ป่าอื่นๆ มาช่วยด้วย ผมว่าคุณผู้หญิงไม่ต้องดูก็ได้ เรามีเอกสารพาสปอร์ตของคุณปีเตอร์เป็นหลักฐานอยู่ในกระเป๋าเสื้อ”

เจนส่ายหน้า และยืนยันที่จะดู เมื่อผ้าถูกเลิกขึ้น เจนยกมือปิดหน้าหันไปอยู่ในอ้อมแขนของแมรี่

พอลทำหน้าผะอืดผะอม “ผมว่าน่าจะใช่นะ เสื้อผ้าชุดนี้ก็ดูคล้ายๆ กับของปีเตอร์ พาสปอร์ตที่อยู่ในเสื้อก็ระบุว่าเป็นของปีเตอร์ ถึงแม้หน้าตาจะดูไม่ออก แต่ผมว่าแค่นี้ให้คุณตำรวจลงบันทึกไว้ได้เลย ผมจะขอบคุณมากถ้าจะได้รับเอกสารเร็วที่สุด เราต้องรีบขึ้นเครื่องบินส่วนตัวพรุ่งนี้แต่เช้า มีเรื่องต้องทำอีกเยอะ”

นายตำรวจยิ้มรับ เมื่อพอลยื่นซองขาวให้ “อ้อ ให้ได้บ่ายวันนี้เลยนะ 24 เมษายน 2015” พอลย้ำ

คณะของพอลไม่รู้ล่วงหน้าเลยว่า หลังจากที่เครื่องบินส่วนตัวทะยานขึ้นจากสนามบินตรีภูวันในเช้าของวันที่ 25 เมษายน เบื้องล่างคือหายนะจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

สามปีต่อมา

เมื่อเจนกำลังตรวจดูอีเมล เธอก็พบข้อความที่ระบุชื่อผู้ส่งแต่ไม่สามารถอ่านออก ข้อความนั้นเขียนสั้นๆ ว่า

“แม้ในความตาย ก็อาจเป็นดินแดนแห่งอะคาเดีย”