เรื่องสั้น : เผ่าวรรณกรรม

“วรรณกรรมมิสมควรมีการแบ่งแยกกลุ่มเรา” เป็นการทึกทักเอาด้วยตัวผมเอง

ทว่าวรรณกรรมก็เกิดจากน้ำมือมนุษย์มีหรือจะไม่มีการแบ่งแยกแตกเป็นกลุ่มเป็นเหล่า การรวมตัวทางกลุ่มวรรณกรรมย่อมนำมาซึ่งพรรคพวกหมู่เหล่า เพื่อผลประโยชน์ที่ตามมาอันมิได้แตกต่างจากพรรคการเมืองหรือกลุ่มทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด

ดังนี้ผมจึงสมัครเป็นคนเขียนหนังสืออย่างโดดเดี่ยวหรือแปลกแยกเสียมากกว่า ด้วยการมิได้สังกัดกับเผ่าใดเผ่าหนึ่ง เมื่อเกิดเผ่าทางวรรณกรรมขึ้นมาแล้ว จำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีหัวหน้า เผ่ามีลูกน้องเผ่า และมีสัญลักษณ์ประจำเผ่าของตนเอง ด้วยการคาดคั้นว่าวรรณกรรมสำหรับเผ่าใดเผ่าหนึ่งต้องเป็นอย่างนั้นๆ สมดังความต้องการของหัวหน้าเผ่า

แน่นอน หากสมาชิกเผ่าคนหนึ่งคนใดทำเรื่องนอกกฎเกณฑ์ของเผ่า ย่อมได้รับการคว่ำบาตรและถูกไล่ออกหรืออัปเปหิตัวเองในที่สุด

นี่เป็นหลักการอย่างเบื้องต้นในการเป็นกลุ่มเผ่าทางวรรณกรรม

ทว่าวรรณกรรมย่อมมิอาจสามารถกำหนดตายตัวให้เป็นตามแบบอย่างที่เผ่าหนึ่งเผ่าใดกำหนดได้ นั่นหมายความว่า ย่อมมีการกำเนิดเผ่าทางวรรณกรรมอย่างมากมายอันแสดงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม มันเป็นไปไม่ได้เลยสักนิดหนึ่งที่จะต้องบอกกำหนดว่า วรรณกรรมต้องอย่างนี้ๆ นะ ไม่เช่นนั้นไม่ใช่วรรณกรรม

เปรียบอย่างความเป็นคนก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีคนดีคนเลว คนสวยคนขี้เหร่ คนโง่คนฉลาด คนรวยคนจน ฯลฯ

ผู้ที่กำหนดให้วรรณกรรมเป็นอย่างตนต้องการแต่ในทางเดียว ย่อมเป็นคนมองอย่างแคบๆ ด้วยการพยายามจะสร้างประวัติศาสตร์ แต่มิยอมเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อทำการเข้าใจประวัติศาสตร์ภาพรวมอย่างแท้จริง

หัวหน้าเผ่าหนึ่งๆ ยังคงต้องการแบ่งแยกประวัติศาสตร์ทางวรรณกรรมเป็นแบบยุคๆ อย่างยุคหิน ยุคโลหะ ยุคสำริด ฯลฯ แต่นั่นแหละ นี่เป็นเพียงการศึกษาหรือค้นหาในปลีกย่อยเพียงนิดเดียวเท่านั้น หาใช่การค้นหาเพื่อทำความเข้าใจในการบรรลุความจริงไม่ หัวหน้าเผ่าวรรณกรรมนั้นจึงปฏิเสธการคบหากับเผ่าวรรณกรรมเผ่าอื่น หรือกระทั่งการขับไล่กลุ่มเร่ร่อนพเนจรทางวรรณกรรม สำคัญเอาแต่ว่าเผ่าของตนยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยความศิวิไลซ์ทางอารยธรรม นอกนั้นย่อมคืออนารยชนหรือพวกป่าเถื่อนนั่นเอง

ขึ้นชื่อว่าคนด้วยกันเอง ย่อมไม่มีความแตกต่างกัน ย่อมไม่มีความสูงความต่ำต่อกัน เผ่าใดที่ดูถูกคนอื่นว่าต่ำต้อยทางวัฒนธรรมแล้วไซร้ นั่นแหละคือการทำให้เผ่าวรรณกรรมของตนเองตกต่ำล้าหลัง

ชนิดไม่มีทางพบเห็นแสงสว่างอันงดงามที่เป็นจุดประสงค์หลักของโลกวรรณกรรมเอาเลย

ผมได้เดินทางเข้าสู่โลกวรรณกรรมและได้พบเจอกับเผ่าวรรณกรรมอย่างมากมาย บางทีก็เป็นชนเผ่าที่มีสมาชิกไม่กี่คน กับชนเผ่าที่เป็นกลุ่มใหญ่ถึงขั้นจะสถาปนาตนเองขยายอาณานิคมเข้ายึดครองกลุ่มเผ่าวรรณกรรมเร่ร่อนหรืออิสรชนวรรณกรรมมาเป็นของตัวเอง

กระทั่งพบเจอหัวหน้าเผ่าผู้โดดเดี่ยวบ้าใบ้แก้ผ้าโทงๆ อยู่ในป่าวรรณกรรม นี่แหละทำให้ผมเริ่มคิดความไม่ชอบมาพากลในโลกของวรรณกรรม โดยเฉพาะเผ่ามหาอำนาจทางวรรณกรรมอันเป็นเครือจักรภพ ประกอบด้วยสมาพันธ์ สาธารณรัฐทางวรรณกรรม และคิดว่าตัวเองมิได้เป็นชนเผ่าวรรณกรรมหรือมีความต้อยต่ำทางวรรณกรรมอยู่แม้แต่นิดเดียว

เหล่ารัฐที่ใหญ่โตทางวรรณกรรมเหล่านี้ต่างต้องการขยายอิทธิพลสู่ส่วนต่างๆ ในโลกของวรรณกรรมอย่างมากและอาจถึงขั้นหิวกระหายบ้าคลั่ง ต้องการแผ่อำนาจไปในชนวรรณกรรมที่ด้อยกว่า กระทั่งกัดกินกลุ่มก้อนที่มีอำนาจใกล้เคียงกัน อย่างที่เราเห็นสมาพันธ์หรือสาธารณรัฐทางวรรณกรรมรุกรานโจมตีกันอยู่บ่อยๆ มาหลายยุคหลายสมัย ถึงขั้นเป็นข่าวคราวอันครึกโครมที่สร้างรอยด่างพร้อยในสันติภาพแห่งโลกวรรณกรรมอย่างน่าอับอาย

ชนชั้นผู้น้อยด้อยค่าอย่างผมในโลกวรรณกรรมก็ได้แต่รำพึงน้ำตาท่วมในใจ ปนความสังเวชของชนเผ่าทางวรรณกรรมหลายๆ เผ่าที่พยายามอวดอ้างประสิทธิภาพอันโง่เง่าอย่างเด็กๆ ให้เห็นอยู่บ่อยๆ

“โอ้โอ๋ เป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ไม่มีใครต่อต้านอำนาจของเผ่าวรรณกรรมบางเผ่าที่ทรงบารมีทรงอิทธิพลได้เลย มันเป็นอย่างที่เราพูดไม่ออกบอกไม่ได้หรือเราถูกมัดมือชกถูกจำยอมด้วยการพลีทุกอย่าง ด้วยการถูกบังคับว่ากฎเกณฑ์ ระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่เผ่านี้สร้างขึ้นมาคือความชอบธรรมคือความถูกต้องและใครห้ามคิดต่าง ใครคิดต่างคนนั้นถือเป็นขบถ สมควรถูกฆ่าให้ตาย สมควรถูกขังลืมในคุกมืดของวรรณกรรมอย่างไม่เห็นเดือนเห็นดาว

ที่แน่ๆ ไม่สามารถแสดงความคิดทางการขีดเขียนอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนวรรณกรรมได้ ผมได้นึกเห็นซากศพของชนวรรณกรรมทั้งหลายที่ถูกเผ่าอันบ้าคลั่งเมาอำนาจเหล่านี้นำศพพวกเขาไปฝังดินหรือทิ้งกลางทะเล ที่ไม่มีใครได้เห็น หรือแม้แต่สุนัขที่จมูกไวต่อกลิ่นก็ยังไม่ดมเจอ กลายเป็นซากรอวันเปื่อยเน่าเวลาต่อๆ มา

เหล่าหัวหน้าเผ่าอันทรงอำนาจทางวรรณกรรมมิได้สำเหนียกในการสร้างรอยบาปทางวรรณกรรมแต่อย่างใด ท่านยังเหย่อหยิ่งวางมาดอย่างนักบุญ พระมหาไถ่ และผู้ปลดปล่อยต่อไป พร้อมกันนี้เหล่ามวลประชากรต่างบ้าคลั่งบูชาเซ่นสังเวยบทบัญญัติอันทำลายมนุษยวรรณกรรมโดยมิขาดว่างเว้นสักวินาทีเดียว

พวกเขาจะออกปกป้องอย่างเข้มแข็งทันที เมื่อบัลลังก์ของหัวหน้าเผ่าถูกสั่นคลอน พวกเขาร่วมกันชุมนุมวางแผนออกกวาดล้างกบฏทางชนเผ่าหลังได้กลิ่นไม่นาน จะไม่มีการสั่นสะเทือนในเผ่าวรรณกรรมของพวกเขาแม้สักนิดเดียว ไม่ว่าเรื่องที่เข้ามาสร้างความกระเพื่อมกับเผ่าวรรณกรรมเหล่านั้นจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ตาม พวกเขาเพียงแต่คิดว่าต้องทำลายพวกนี้ให้สิ้นซากอย่าให้ได้ผุดได้เกิด จุดไฟเผาอย่าให้เหลือซากเป็นยิ่งดี

เหตุนี้เอง เราจึงได้เห็นการขจัดขัดขวางเสรีชนวรรณกรรมบางคนมิให้ได้เกิดทางโลกวรรณกรรม โลกแห่งความมืดดำได้ปกคลุมหัวใจของพวกเขาเสียแล้วในการที่จะยอมรับการอยู่ร่วมกัน ในความหลากหลายของจักรวาลทางวรรณกรรม พวกเขาเป็นกลุ่มบ้าคลั่งทางการครองอำนาจอันไม่ถูกต้องทางวรรณกรรมอย่างแท้จริง

เผ่าวรรณกรรมได้เจริญเติบ อย่างหลากหลายมากกลุ่ม ด้วยการยื้อแย่งกันเป็นใหญ่ในการครอบครองโลกวรรณกรรมนี้แหละ ทำให้โลกของวรรณกรรมไม่ได้เจริญรุ่งเรืองอย่างที่สมควรจะเป็น

ทว่าเหล่าเสรีชนทางวรรณกรรมหรือบุคคลนอกคอกทางวรรณกรรมก็มิได้หมดสิ้นไปทุกยุคทุกสมัยเลย คล้ายกับว่า เมื่อใดก็ตามที่มีเผ่าวรรณกรรมที่บ้าคลั่งในอำนาจเกิดขึ้นแล้วก็จะมีเหล่าเสรีชนเกิดขึ้นตามดังเงาติดตามตัว เป็นอย่างนี้อย่างอัตโนมัติเลยทีเดียว ดุจดั่งมีหมาก็ต้องมีเห็บมีเรือดมีตัวหมัดเกิดตามฉันนั้น

เสรีชนทางวรรณกรรมคือบุคคลที่มิได้สังกัดเผ่าพันธุ์ทางวรรณกรรม งานเขียนที่พวกเขาแสดงออกมาย่อมเต็มไปด้วยความพิสุทธิ์งดงามและอิสระในลักษณะการประนีประนอมโดยปลอดโปร่ง

บุคคลนอกคอกทางวรรณกรรมเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เกิดไม่มากหรืออาจจะเรียกว่าแทบจะไม่มีเลยก็ได้ บุคคลเหล่านี้ย่อมแทรกซึมอยู่ในเผ่าวรรณกรรมเพื่อดำเนินการเหมือนกลุ่มใต้ดินที่ทะลุทะลวงโจมตีผีวรรณกรรมอย่างบ้าคลั่งอย่างอุทิศตัวเอง งานเขียนของบุคคลนอกคอกทางวรรณกรรมจริงมิได้คำนึงถึงกฎเกณฑ์อันพิสุทธิ์ งดงามปลอดโปร่งแต่อย่างใด งานเขียนของพวกนี้ย่อมออกมาในลักษณะที่สังคมโลกทางวรรณกรรมมิอาจคาดฝันเลย

บุคคลเร่ร่อนทางวรรณกรรม กลุ่มทางวรรณกรรมกลุ่มนี้เป็นอย่างกลุ่มที่มิอาจระบุตัวตนของการมีการเป็นได้ แต่ในทางนามธรรมของโลกวรรณกรรมย่อมตระหนักแน่ว่ายังมีกลุ่มเร่ร่อนทางวรรณกรรมอย่างมากมาย กลุ่มนี้ย่อมมีผลงานทั้งแบบอิสรชนทางวรรณกรรม ทั้งแบบนอกคอกทางวรรณกรรม จุดร่วมของบุคคลทั้งหลายแหล่ของกลุ่มนี้คือ การยากแก่การระบุจำนวน เป็นลักษณะการมีอยู่อย่างกระจัดกระจายเสียมากกว่า

หัวหน้าเผ่าแต่ละเผ่าต่างตระหนักถึงภัยคุกคามของกลุ่มเหล่านี้อยู่เสมอ แน่นอน หัวหน้าเผ่าแต่ละเผ่าในทางวรรณกรรมต่างหาทางกำจัดพวกนี้อยู่เสมอมา

หะแรก หัวหน้าเผ่าหรือผู้นำมิได้ออกโรงต่อต้านกลุ่มเหล่านี้หรอก เป็นแต่เหล่าสาวกเผ่าวรรณกรรมนั้นๆ เองที่ออกล่า หลังจากท่านผู้นำส่งสัญญาณว่ามีตัวบ่อนทำลายเผ่าทางวรรณกรรมเกิดขึ้น เหล่าสาวกย่อมแยกย้ายออกล่าอย่างเอาเป็นเอาตายชนิดตัดรากถอนโคนเลยทีเดียว ด้วยการเสนอความคิดเห็นโจมตีกลุ่มเอียงซ้ายในการไม่เห็นด้วยกับเผ่าทางวรรณกรรม เราจึงเห็นได้แต่แรกว่านักปฏิวัติทางวรรณกรรมนั้นเกิดขึ้นเหมือนดาวตก วูบขึ้นมาแล้วก็หายไปในบางราย อิสรชนทางวรรณกรรมที่มีปณิธานอันแรงกล้าทางวรรณกรรมบางคนแต่ขาดศรัทธาอันแรงกล้าอย่างมั่นคงถึงกับเกิดการสั่นไหวในจิตใจ และกระทำการฆ่าตัวตายในโลกวรรณกรรมอยู่ออกบ่อย ด้วยการทิ้งผลงานอันอมตะทางวรรณกรรมไว้อย่างมิมีการลืมเลือนได้เลย ตัวอย่างการฆ่าตัวตายได้ลุกลามไปสู่บุคคลนอกคอกบ้างในบางราย

แต่น่าแปลกที่ไม่ค่อยมีสถิติการทำลายตัวเองในกลุ่มเร่ร่อนทางวรรณกรรมแต่อย่างใด

การปราบปรามทำลายล้างชนชั้นปฏิปักษ์ต่ออำนาจเผ่าเป็นไปในแต่ละเผ่าทางวรรณกรรม เพื่อสถาปนาความเป็นเผ่าของตัวเองอย่างถึงที่สุด เพื่อความอิ่มเอมในอำนาจความมืดดำทางวรรณกรรมนั่นเอง แต่หัวหน้าเผ่าย่อมมิได้สำเหนียกเลยว่าอำนาจทางวรรณกรรมนั้นย่อมเกิดแต่ความชอบธรรมทางธรรมชาติเท่านั้น หาใช่การทำลายเผ่าพันธุ์ทางวรรณกรรมด้วยกันเองไม่

กลุ่มต่อสู้เพื่อเอกราชทางวรรณกรรมบางกลุ่มบางยุคสมัยในฝ่าฟันเหล่าสาวกเผ่าวรรณกรรมอันบ้าคลั่ง และเข้ามาสั่นคลอนความมั่นคงของหัวหน้าเผ่าวรรณกรรม ถึงตอนนั้นนั่นแหละที่ความเป็นอยู่อย่างสุขสบายของหัวหน้าเผ่าวรรณกรรมได้ถูกกระทบกระเทือน การสร้างลัทธิความเชื่อแบบใหม่ทางวรรณกรรมทำให้ผู้นำเผ่าทางวรรณกรรมทั้งสุภาพสตรีทั้งสุภาพบุรุษเริ่มสีหน้าจืดจาง เพราะความเชื่อมั่นตระหนักแน่กับแนวทางของตัวเองอย่างสุดโต่งว่า ไม่มีวรรณกรรมชนิดใดที่ดีกว่าตน แต่ครั้นบัลลังก์หลักที่ตนเองสร้างมาได้ถูกต่อเติมหรือเสนอแนะแล้ว ใบหน้าของเขายิ่งดำเคร่งเครียดขึ้นทุกที ด้วยการมิเข้าใจกฎทางไตรลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงนี้เอง ทำให้ผู้นำทางชนเผ่าวรรณกรรมต้องออกโรงต่อต้านเหล่าทรชนทางวรรณกรรม

ทรชนทางวรรณกรรมมิอาจสามารถต้านทานอำนาจอันยิ่งใหญ่ของหัวหน้าเผ่า ในบางรายได้หายสาบสูญไปในเวลาไม่นาน บางรายเกิดการเบื่อหน่ายปลีกตัววิเวกออกจากโลกทางวรรณกรรมอย่างเดียวดาย แน่นอน กลุ่มเร่ร่อนทางวรรณกรรมมิได้มีความหมายสำหรับหัวหน้า เปรียบดังว่ากลุ่มนี้เป็นแค่เสียงเห่าหอนของสุนัขก็มิปาน

โลกส่วนมากต่างดำรงและเป็นไปตามความต้องการแห่งผู้ต้องการอำนาจเป็นส่วนมาก หัวหน้าเผ่าแต่ละเผ่าทางวรรณกรรมต่างเสวยอำนาจทางวรรณกรรมอย่างหลายนวลมาทุกยุคทุกสมัย ชนชั้นทางวรรณกรรมต่างทราบดี แต่ไม่มีใครสามารถลบล้างความเป็นหัวหน้าเผ่า อันกระหายอำนาจทางวรรณกรรมได้ พวกมันต่างเสวยสุขกันบนอาณาจักรที่ตนได้พากันสร้างขึ้นมาด้วยกามาอย่างมิอิ่มเอม ชื่อเสียงเกียรติยศเงินทองต่างมากมายชนิดท่วมท้นเกินกว่าบุคคลทั้งหลายจะมี อภิสิทธิ์ในคนด้วยกันเองย่อมสูงส่ง

เช่นนี้ หัวหน้าเผ่าจึงเปรียบได้กับเทพเจ้าที่ไม่มีใครสามารถไปแตะต้องได้ ไม่สามารถกล่าวถึง อย่าว่าแต่การจาบจ้วงลบหลู่เลย

ทว่าปรมัตถ์ความจริงแท้แห่งโลกเช่นเดียวกันที่บอกสัจธรรมอยู่ในก้นลึกว่า ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนเที่ยงแท้ชนิดถาวรสืบตลอดไป โลกย่อมดำเนินบนความเปลี่ยนแปลง ไม่มีอำนาจใดสามารถครอบครองโลกไว้ได้

เช่นนี้เอง บุคคลนอกคอกทางวรรณกรรม อิสรชนทางวรรณกรรม คนเร่ร่อนทางวรรณกรรมก็มิได้เสื่อมสูญไปตามโลกทางวรรณกรรมเช่นกัน พวกเขายังคงสร้างงานด้วยความเชื่อมั่นด้วยความศรัทธาอย่างถึงที่สุดว่า อิสรภาพเท่านั้นคือวรรณกรรมโดยแท้จริง บุคคลนอกคอกทางวรรณกรรมยังแทรกซึมในเผ่าวรรณกรรมอย่างมิได้เผยตัวตนออกมา อิสรชนก็เช่นเดียวกันยังทำงานออกสู่โลกวรรณกรรมอย่างสม่ำเสมออย่างมิขาดสาย แม้ว่าผลงานจะถูกต่อต้านจากเผ่าวรรณกรรมก็ตาม

ดังนี้แล้ว ผู้เร่ร่อนทางวรรณกรรมก็มิได้สูญสิ้นความทรงจำในหน้าที่ของตัวเช่นเดียวกันว่า ตัวเองนี้เกิดมาเพื่อจะเขียนหนังสือหรือสร้างงานวรรณกรรม แม้ว่างานเขียนของตนจะมิได้ปรากฏบนสาธารณชนทางวรรณกรรมเลยก็ตาม และแม้ว่าตัวเองจะตายไปอย่างสายลมที่ประวัติศาสตร์ไร้การบันทึกหรือจดจำ กระทั่งว่ามีหลายคนที่ตายไปอย่างหมาข้างถนนตัวหนึ่ง

โดยเหตุอย่างที่เขียนมานี้เอง โลกของวรรณกรรมจึงมีเผ่าวรรณกรรมเพียงแต่ในนามเท่านั้น แต่ความจริงแท้หาได้มีไม่เลย