เรื่องสั้น : คุณพี่ใจดี

เขาย่างก้าวฉับๆ เพราะวัยหนุ่มจึงคล่องแคล่วในท่วงท่า เขาส่งรอยยิ้มทักทายแต่ไกลเมื่อเห็นเธอ คุ้นเคยดีเนื่องจากไปมาหาสู่เธอเป็นประจำ เมื่อเข้าไปใกล้ในระยะพูดคุยกันได้ยินถนัด เขารีรอให้เธอทักทายก่อนเช่นทุกครั้ง แต่เธอกลับเหม่อลอย เขาจึงต้องเอ่ยปากทักเธอ รู้สึกได้ถึงความผิดปกติวิสัย “อ่ะ…เอ้า หวัดดี ชะ…เชิญๆ” เธอตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก ธรรมดาแล้วเธอแจ่มใสร่าเริงเสมอยามเขามาพบเธอที่บ้าน

“เป็นอะไรไปเหรอ วันนี้ดูแปลกๆ ไปนะพี่” เขาถาม เธออายุแก่กว่าเขาหกเจ็ดปี เธอมองหน้าเขา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “น้องรู้ยังว่า เร็วๆ นี้จะมีคนมาอยู่ใหม่อีกคนนะ”

เขาส่ายหน้า

สองวันถัดมา เขาพบเธออีก คราวนี้ไม่ได้มีเธออยู่บ้านคนเดียว มีคนอื่นอยู่ด้วยสองคน เป็นพวกไปมาหาสู่เช่นกัน เมื่อเห็นเขาเธอก็ชะงักการสนทนากับอีกสองคนนั่น แล้วหันมากล่าวคำทักทายเขา เขาก็ทักทายตอบตามปกติ จากนั้นยิ้มให้แก่สองคนนั้น ซึ่งเป็นหญิงทั้งคู่ เพราะเคยเห็นหน้าเห็นตาหลายครั้ง “คุยอะไรกันอยู่ครับ” เขาถามเธอ

“ฉันน่ะกำลังบ่นกับสองคนนี้อยู่” เธอบอกเขา

“บ่น?”

“ใช่ เธอกำลังบ่นกับพวกเราเรื่องคนที่จะมาอยู่ใหม่น่ะ” หล่อนตอบแทน เป็นหญิงสาวร่างอ้วน สูงไม่มาก ซึ่งผิดกับเพื่อนอีกคนที่สูงและเพรียวบาง

เขาเห็นสีหน้าของเธอตอนนี้ รู้ได้เลยว่าเธอเป็นกังวล

“แต่ฉันบอกเธอไปแล้วว่า คุณพี่เขาท่าทางใจดี ไม่เห็นต้องทุกข์ร้อนใจอะไรเลย” หญิงร่างสูงเพรียวบางพูด

“แน่นอน…คุณพี่เขาใจดี” หญิงร่างอ้วนพูด ตัดคำว่า “ท่าทาง” ทิ้งอย่างตั้งใจ

“แต่ฉันแย่แน่ หรืออีกหลายคนที่นี่ก็แย่เหมือนกัน” เธอหันมาบ่นกับเขา

หายหน้าไปสี่วัน เพราะมีธุระที่ต่างจังหวัดต้องสะสาง และเมื่อกลับมาแล้วเขาก็ไปมาหาสู่เธอที่บ้าน ตอนนี้เธออยู่คนเดียว “ไม่เห็นหน้าหลายวันเลยนะ ไปไหนมาล่ะ” เธอถาม น้ำเสียงเป็นห่วงอย่างจริงใจ ซึ่งเขารู้สึกได้ เขาบอกเธอเรื่องธุระ และสังเกตว่าเธอไม่ค่อยชื่นบานสักเท่าไร หงอยๆ คล้ายคนอมทุกข์

“เออ นี่ น้องจำเรื่องจะมีคนมาอยู่ใหม่ได้ไหม” เธอถามขึ้นทำลายความเงียบ

“ฮือ…ทำไมหรือ” เขาสงสัย

“ฉันยังกลุ้มกับเรื่องนี้ไม่หายเลยนะ” เธอเผยความรู้สึกที่แท้จริงด้วยความไว้ใจเขา ซึ่งทำให้เขารู้แจ้งว่าที่เธอมีสีหน้ากังวลอยู่นี้ก็เพราะเรื่องเดิมนี่เอง “ฉันกับเพื่อนอีกสองสามคนไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านมาแล้วนะ ก็เรื่องคนมาอยู่ใหม่นี่แหละ แต่ผู้ใหญ่บ้านเขาไม่เห็นด้วยกับพวกฉัน”

“งั้นเหรอพี่”

เธอพยักหน้าและพูดอย่างเสียใจว่า “ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า เรื่องนี้จะห้ามไม่ให้เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง มันขัดหลักการเสรีภาพนะ แต่ฉันก็แย้งไปว่า หากผู้ใหญ่บ้านไม่มีมาตรการใดๆ ป้องกัน พวกฉันคนเก่าก็เดือดร้อนแน่ ต่อไปจะเหลือกี่คนที่ยังยินดีไปมาหาสู่พวกฉัน แล้วผู้ใหญ่บ้านว่ายังไงรู้มั้ย”

เขาสั่นหน้า เดาไม่ออกหรอกว่าผู้ใหญ่จะกล่าวอย่างไร

“ผู้ใหญ่บ้านพูดหน้าตาเฉยเลยว่า ไอ้เรื่องการไปมาหาสู่นี้ จะทำการผูกขาดแต่พวกฉันฝ่ายเดียวไม่ได้ ใครๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะยินดีให้คนอื่นไปมาหาสู่ตนได้อย่างเต็มร้อยกันทั้งนั้น ไม่เว้นคนที่จะมาอยู่ใหม่…”

เขานิ่งฟังอย่างตั้งใจ เธอมีความกดดันสูงมาก อันที่จริงแล้วเขาก็เห็นคล้อยตามความคิดของผู้ใหญ่บ้าน แต่ด้วยว่าเขาไปมาหาสู่กับเธอบ่อยๆ จึงไม่ต้องการออกความเห็นอะไรซ้ำเติมให้เธอเสียใจไปมากกว่านี้ พูดกับเธอเพียงแต่ว่า

“เอาเถอะนะ ถึงไงฉันก็ยังจะไม่เลิกไปมาหาสู่กับพี่หรอกนะ สัญญา”

วันที่คนมาอยู่ใหม่เปิดบ้านหลังใหญ่ และติดป้าย ยินดีต้อนรับ 25 ชั่วโมง นั้น ผู้คนได้ไปมาหาสู่อย่างล้นหลาม ทุกคนที่ออกมาจากบ้านหลังใหญ่หลังจากการไปมาหาสู่เสร็จสิ้นลงก็พกเอาใบหน้าบานเบ่งกลับไปด้วย พวกเขาได้รับความพึงพอใจสูงส่ง เนื่องจากว่าอากาศภายในบ้านแห่งนั้นเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศ และมีกลิ่นหอมเพราะปรุงแต่งด้วยสารระเหย สิ่งของภายในบ้านก็สวยงามสะอาดตาน่าจับต้องยิ่งนัก อีกทั้งคนรับใช้ในบ้านก็พูดจาปราศรัยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเสนาะเพราะพริ้งโสต ซึ่งแตกต่างจากบ้านของเธออย่างลิบลับราวฟ้ากับเหว เขาเองก็ไม่พลาดโอกาสสำคัญนี้ ความจริงไม่มีหรอกที่ใครจะไม่รู้ว่า คนมาอยู่ใหม่ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นและมีเสียงพูดที่ดังก้องปานเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า และพวกเขาก็ไม่ได้ฉุกคิดในบุคลิกอันผิดมนุษย์มนานั้น จะเปิดบ้านให้ไปมาหาสู่กันในวันนี้ เนื่องจากว่าได้มีการป่าวประกาศชวนเชิญไปทั่วหมู่บ้าน และกินเวลายาวนานหลายวันล่วงหน้าแล้ว

เขากำลังก้าวออกมาจากบ้านหลังใหญ่ด้วยความอิ่มเอมใจไม่ผิดกับคนอื่นๆ แต่เขาต้องชะงักตรงประตูทางออก เมื่อเห็นเธอยืนหน้าบึ้งอยู่ไม่ไกล เขาไม่อยากก้าวออกไปจากบ้านหลังใหญ่ในทันที มิหนำซ้ำรีบถอยหลังฉาก เพื่อหลบซ่อนตัว ทั้งหมดนี้เขาทำไปเพราะไม่ต้องการให้เธอเห็นเขา และไม่ต้องการให้เธอเสียอกเสียใจหนักขึ้นไปอีก ที่เขาผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเธอในวันนั้นนั่นเอง

ไม่นานนักเขาก็สนิทสนมกับเจ้าของบ้านหลังใหญ่นั้น ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนอีกจำนวนมาก และยิ่งไปมาหาสู่บ่อย ทำให้รู้ชัดอีกว่า คนที่มีบุคลิกผิดมนุษย์มนานั้นเป็นคนใจดีเอามากๆ ฉะนั้น แทนที่พวกเขาจะเรียกเขาว่าผู้มาอยู่ใหม่ตลอดกาล กลับพากันพร้อมใจขนานนามใหม่ให้ว่า คุณพี่ใจดี และความใจดีมีเมตตาของคุณพี่นี้เองเป็นเสน่ห์เย้ายวนใจให้เขาหลงใหล โดยเริ่มห่างเหินการไปมาหาสู่เธอมากขึ้นทุกวันๆ และวันนี้ตั้งใจว่า หลังจากเสร็จงานการตัดหญ้าในสวนผลไม้แล้ว ตอนเย็นเขาก็จะไปยังบ้านหลังใหญ่ แต่ก่อนจะเข้าไปทำงานในสวนผลไม้ เขาต้องลับใบมีดตัดหญ้าให้คมกริบเสียก่อน

ขณะที่นั่งลับใบมีดตัดหญ้าอยู่นั้น สมาธิของเขาก็ไม่อยู่กับตัว คิดนั่นคิดนี่ตลอด เรื่องที่ทำให้เขาฟุ้งซ่านหนีไม่พ้นเรื่องการไปมาหาสู่กับคุณพี่ใจดี และในวินาทีหนึ่ง เขาเผลอพลั้ง นิ้วของเขาเลื่อนไถลจนโดนใบมีดตัดหญ้าบาดเอา

เขาสะดุ้งเฮือก หลุดออกจากความฟุ้งฝัน น้องสาวของเขาเห็นเหตุการณ์เข้า ถลาเข้ามาดู แต่เธอต้องประหลาดใจยิ่งยวด เมื่อเห็นบาดแผลนั้น “พี่ต้องไปเย็บแผลที่โรงพยาบาลแล้วนะ แผลลึกมาก แต่…เอ้ ทำไมมีเลือดออกน้อยจังเลย”

เขามองดูบาดแผลบนนิ้วของตนก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร แถมพูดกระเซ้าน้องสาวว่า “ก็ดีแล้วนี่ เลือดออกน้อย หรือแกอยากจะให้เลือดออกเป็นกะละมังๆ หา”

“เลือดเขาหายไปไหนนะ” น้องสาวของเขาคิดกังขาอยู่ในใจ

วันหนึ่งเขาตกใจเมื่อเห็นว่ามีฝูงชนจำนวนมากออล้นอยู่หน้าบ้านของคุณพี่ใจดีและส่งเสียงตะโกนเอ็ดอึงราวโลกจะแตกดับ “เกิดอะไรขึ้น” เขาถามกับผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อนจะเหลือบไปเห็นเธอเข้าอย่างจัง เขาเกิดความตะขิดตะขวงใจขึ้นมาในความรู้สึกที่จะพบหน้าเธอ แต่สายไปแล้วที่จะปลีกหลีกตัวหนี เธอปรี่เข้ามาหาเขา และโยนคำพูดใส่เขาอย่างเร็วพลัน “เห็นไหม ในที่สุดก็ดีแตกจนได้”

เขาไม่รู้ว่าเธอพูดถึงเขาหรือถึงใคร แต่ถึงยังไงก็ต้องถามอยู่ดี “ใครดีแตก”

“โน่นไงล่ะ ไม่เห็นหรือว่า คุณพี่ใจดีของใครๆ ขึ้นป้ายประกาศ ไม่ว่าใครก็ตามที่ไม่ได้ไปมาหาสู่เขาจะมายืนหรือนั่งเล่นหรือทำอะไรให้เกะกะหน้าบ้านเขาไม่ได้ และยังเขียนอีกว่า หากไม่เชื่อกันก็จะดำเนินการทางกฎหมาย เห็นไหม อย่างนี้ไม่ใช่ดีแตกแล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเย้ยหยันสะใจ

เขามองป้ายประกาศนั้น เกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีต่อคุณพี่ใจดีขึ้นมาเล็กน้อย คุณพี่ใจดีทำอะไรรุนแรงไปหรือเปล่าหนอ เขาตั้งคำถาม ความเห็นใจที่มีต่อผู้ประท้วงก่อตัวในตัวเขานิดๆ แต่ความคิดนั้นถูกปัดทิ้งไปอย่างเร็วพลัน เพราะป้าย ยินดีต้อนรับ 25 ชั่วโมง ซึ่งเห็นเป็นฉากหลังของป้ายห้ามนั้น เขายังปักใจเชื่อว่า คุณพี่ใจดียังมีน้ำใสใจจริงในการต้อนรับขับสู้ผู้คนที่จะไปหามาสู่เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เรื่องนี้ไม่แปลกอะไร มันก็เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของเจ้าของบ้านหลังใหญ่ที่จะจัดการกับบริเวณหน้าบ้านของตนเองอย่างไรก็ได้

“น้องเอง หลังๆ มานี้หายเงียบ ไม่เคยเห็นหน้าเลยนะ ไม่เห็นไปมาหาสู่พี่เลย เฮ้อ…อย่าว่าน้องเลย อีกหน่อยก็จะไม่มีใครไปมาหาสู่กับพี่อีกแล้วละ” เธอพูดบ่นปัญหาชีวิตหนักๆ แต่เสียงของเธอถูกรบกวนด้วยเสียงตะโกนของผู้คนที่ไม่พอใจคุณพี่ใจดี เธอจึงหยุดพร่ำ ซึ่งช่วยเขาได้มากทีเดียวที่ไม่ต้องฝืนทนฟังเธอนานๆ และก่อนจากกันเธอเอ่ยทักเขาเกี่ยวกับสุขภาพว่า “เออ ไปทำอะไรมา รู้สึกว่าผอมๆ ไปนะน้อง” เขายกมือยกแขนก้มมองสำรวจตัวเองแล้วพูด “ก็ปกติดีนี่” แต่หลังจากนั้นสองวันน้องสาวของเขาก็สร้างความงวยงงให้กับเขา โดยเปรยขึ้นว่า “เอ้ พี่รู้ตัวหรือเปล่าว่า ช่วงนี้พี่ดูซูบผอมลงไปนะ”

เขาเอามือข้างขวากำข้อมือข้างซ้าย และลูบคลำย้อนขึ้นไปบนท่อนแขนซ้าย “ผอมอะไรกัน เนื้อหนังก็ยังเต็มอยู่ แกนี่พูดเพ้อเจ้ออะไร” เขาต่อว่าน้องสาว ทั้งสองเป็นโสด อาศัยบ้านเดียวกัน และเรื่องนี้น้องสาวของเขากลับได้ประหลาดใจเมื่อพบว่าอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา พี่ชายกลับมามีเนื้อหนังเหมือนเดิม แต่ทว่าไม่กี่วันต่อมา เธอกลับเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับพี่ชายใหม่ คือเขาผ่ายผอมลง

เธอสะกิดใจมาก การหายไปและการกลับมาของเนื้อหนังมังสาของเขาเป็นไปราวกับกลลวง แสดงโดยยิ่งกว่านักมายากลเชี่ยวชาญชำนาญฝีมือคนหนึ่ง

เช้าวันหนึ่งเขาต้องสะดุ้งตื่น เนื่องจากเสียงเอะอะโวยวายของน้องสาว เธอตกใจมากเมื่อเห็นร่างกายอันผ่ายผอมและซีดเหลืองเหมือนคนขาดเลือดไม่มีผิด “ทำไมเป็นแบบนี้ หา…พี่”

เขาขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอน เสียงกระดูกเลื่อนลั่น แต่เขาไม่ได้สำเหนียก น้องสาวของเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายวิตกทุกข์ร้อนใจ “ทำไมพี่จึงผอมโซมากขนาดนี้ พี่ไปโรงพยาบาลเถิด ไปให้หมอตรวจร่างกายนะ”

เขาอารมณ์เสียที่น้องสาวปริวิตกอย่างนั้น จึงตวาดเธอ “พูดจาไม่เข้าเรื่อง ฉันยังปกติดี บ้าหรือเปล่าที่เสือกไสไล่ส่งให้พี่ชายไปโรงพยาบาล นี่ขืนพูดอีกนะ คนที่จะไปโรงพยาบาลไม่ใช่ฉันหรอก แกนั่นแหละต้องไป”

“ฉันนั่นรึ” เธองวยงง

“ใช่ ฉันจะจับแกส่งสวนปรุง” เขาหมายถึงโรงพยาบาลรักษาอาการบ้าแห่งหนึ่ง

ช่วงเย็นของวันนั้นเขาก็ไปยังบ้านของคุณพี่ใจดี นับได้ว่าเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ไปมาหาสู่คุณพี่ใจดีถี่ยิบ ก่อนออกจากบ้าน น้องสาวร้องเตือนด้วยความห่วงใยว่า สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง น่าจะพักผ่อนอยู่กับบ้าน เพลาๆ การไปมาหาสู่พี่ใจดีบ้าง แต่เขาก็ตวาดน้องสาวอย่างเอาเรื่อง

“เอ๊ะ อะไรของแกวะ นับวันแกจะหนักข้อเข้าไปใหญ่แล้วนะ แกไม่ใช่แม่ฉันนะเว้ย จะได้ห้ามโน่นห้ามนี่ อีกอย่างหนึ่ง ฉันสบายดี ไม่ป่วยไม่ไข้อะไรสักอย่าง เพี้ยนแล้วแก”

และขณะที่อยู่ในบ้านของคุณพี่ใจดี เขาเกิดความรู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมากะทันหัน

“เอ๊ะ เป็นอะไรหรือเปล่าเรา” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางลองขยับมือขยับไม้ดู รู้สึกว่าไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงสักเท่าใด แถมยังมีอาการวิงเวียนศีรษะผสมด้วย

“หรือว่าเราป่วยเหมือนกับที่น้องสาวว่า”

เขาฉุกคิดและตัดสินใจกลับบ้าน เพื่อจะไปหาหมอที่โรงพยาบาล ขณะนั้นเองเขาเดินผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ได้เห็นเงาของตนเองในกระจกเงาบานนั้น

“โอ๊ะ” เขาผงะร้องลั่น ชะงักฝีเท้า ตรึงตัวเองหน้ากระจกเงาบานนั้น

“เฮ้ย เป็นไปได้ไงเนี่ย” เขาพูดเสียงสั่นๆ

ภาพที่เขาเห็นขณะนั้นคือ ชายคนหนึ่งที่ร่างกายมีแต่หนังติดกระดูก ซ้ำผิวเหลืองซีดแห้ง แต่ถึงยังไงก็ยังมีเค้าให้เดาได้ว่านั่นคือตัวเขาเอง แต่ถึงกระนั้นก็ตามเขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่า เขาคือโครงกระดูกที่เดินได้ชิ้นนั้น สายตาของเขาต้องฝาดไปแน่นอน อาการวิงเวียนศีรษะทำให้เขาตาลาย เห็นภาพบิดเบี้ยวอุจาดตาแบบนั้น หรือไม่ก็กระจกเงาบานนั้นต้องเป็นกระจกหลอกตาแน่ๆ เขารีบก้าวออกมาจากกระจกเงาบานนั้น ประหนึ่งหนีผีชั่วร้ายที่หลอนเขาอยู่ อันที่จริงเขาไม่อาจตระหนักได้ว่าอะไรกำลังหลอนหลอกเขาอยู่ และเขายิ่งไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้แล้ว เนื่องจากว่าเมื่อก้าวมาถึงประตูทางออก ซึ่งเหนือประตูบานนั้นมีเครื่องปรับอากาศติดตั้งอยู่หนึ่งตัว กายเขารู้สึกเบาโหวงขึ้นมาเฉียบพลัน สิ่งที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย ไม่ใช่สิ สิ่งแผ่ซ่านออกมาจากโครงกระดูกต่างหาก เป็นเหมือนควันสีขาว มันค่อยๆ ลอยขึ้นสูง แผงกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศกำลังดึงดูดมันขึ้นไปนั่นเอง และไม่ถึงหนึ่งวินาทีก่อนที่วิญญาณของเขาจะถูกกลืนหายเข้าไปในเครื่องปรับอากาศของบ้านของคุณพี่ใจดี ร่างของเขาก็ทรุดลงตรงธรณีประตูพอดี มองไปก็ไม่ต่างจากพรมเช็ดเท้าราคาถูกๆ ผืนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันที่คนรับใช้ภายในบ้านคนหนึ่งร้องทักทายเสียงใสต่อผู้ไปมาหาสู่คนหนึ่งว่า

“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ”

แน่นอนที่สุด ตรงธรณีประตูนั่น ผู้ไปมาหาสู่คนนั้นก็ทำความสะอาดเท้ากับพรมเช็ดเท้าราคาถูกๆ ด้วยลักษณะอาการเคยชินก่อนก้าวเข้าบ้านของคุณพี่ใจดี