เรื่องสั้น : พาดขาข้างหนึ่งไว้บนดวงดาว (2) (ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง)

ผมเดินไปส่งเธอจนถึงร้านอาหารริมฝั่งโขง นักดนตรีหนุ่มกวักมือเรียกเธออยู่บนเวที ลูกค้าฝรั่งหัวทองหันมองสลอน ฝรั่งพวกนั้นก็เป็นนักล่าอาณานิคมอีกแบบ ผมคิดแล้วนึกขัน นักล่าอาณานิคมหัวทองนั่งเคียงหญิงสาวซึ่งไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นหญิงลาวหรือไทย หรือบางทีอาจเป็นสาวเวียดนาม บางคนอาจเป็นหญิงจีนก็ได้ บริเวณพื้นที่ตะเข็บชายแดนแห่งนี้มีเส้นทางเชื่อมโยงกันระหว่างสามสี่ประเทศซึ่งใช้เวลาเดินทางไม่พ้นข้ามวัน มันง่ายที่หญิงสาวเหล่านั้นจะมานั่งรวมกันในร้านอาหารริมฝั่งโขง ผมกวาดตามองบรรดานักท่องราตรีอยู่สักพัก กระทั่งรอยยิ้มแทนคำกล่าวลาฉุดสายตาผมให้ตรึงอยู่กับดวงหน้าของเธอ

เธอรุดเดินเข้าไปในร้าน ผมตะโกนตามหลังไปว่าจะย้อนกลับไปรับ เธอหันมายิ้มตอบอีกครั้ง เธอใช้รอยยิ้มแทนคำตอบบ่อยจนผมแปลความหมายได้

อาหารมื้อหนักยังไม่ตกถึงท้อง ผมย้อนกลับมานั่งที่ร้านอาหารเวียดนามของเถ้าแก่ชาวลาวเชื้อสายจีน แกขยันจนทุกคนในซอยต้องยอมแพ้ ร้านอาหารเวียดนามของแกเปิดตั้งแต่เช้ามืดจนถึงสี่ทุ่ม โดยมีหลานชายเป็นพ่อครัวหลัก มีลูกจ้างชาวลาวในร้านอีกหกเจ็ดคน หลานชายของเถ้าแก่น่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับผม แต่เขาตัวใหญ่กว่าผมมาก ผิวขาวและแดงคล้ายแพ้แดด ดวงตาขุ่นเป็นน้ำข้าว ผมประเมินแล้วพ่อครัวผู้นี้ก็คงเป็นซากที่พวกนักล่าอาณานิคมทิ้งขว้างเช่นเดียวกับตึกที่เรียงรายอยู่ในซอยแห่งนี้

ตลอดหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ผมจะพบเธอ นอกจากใช้เวลาส่วนใหญ่ขังตัวเองไว้ในห้องแล้ว เมื่อออกจากห้องผมก็ไปไม่เคยพ้นซอยแคบแห่งนี้ ร้านอาหารเวียดนามประจำซอยเป็นที่ที่ผมฝากท้องบ่อยที่สุด ประการหนึ่งคือผมไม่กล้าเตร็ดเตร่ไปไหนไกล อีกประการหนึ่งคือผมเกรงว่าเถ้าแก่หัวล้านจะเคืองหากผมหิ้วท้องไปร้านอื่น

เถ้าแก่ยังคงจับจ้องด้วยสายตาเจ้าถิ่นที่มองผู้มาใหม่อย่างผมด้วยความสงสัย ทั้งที่ซอยแคบแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ในประเทศที่ผมเกิด เถอะน่า…คุณก็รู้ดีใช่ไหมล่ะ เจ้าถิ่นก็คือเจ้าถิ่น เจ้าของถิ่นไม่จำเป็นต้องเกิดในประเทศนี้สักหน่อย ผมได้แต่เตือนสติตัวเองเช่นนั้น แล้วจึงแย้มยิ้มให้เถ้าแก่ชาวลาวเชื้อสายจีนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาอาศัยในอาคารนี้ ใครจะไปคิด รอยยิ้มนั้นราวกวักมือเรียกให้แกเดินเข้ามาหา ทำให้ผมรู้สึกว่าการไปนั่งอยู่ในร้านของแกดีกว่านอนฝันเพ้อถึงเวิ้งฟ้าอยู่ในห้องอุดอู้

ภาษาไทยอีสานเนิบช้าสำเนียงจีนของแกฟังยาก ต้องตั้งใจฟังถึงจะรู้ว่าแกสื่อความอะไร แกตะล่อมถามว่าผมมาจากไหน เหมือนแกจะสงสัยว่าผมคือกลุ่มคนที่ฝ่ายปกครองต้องการตัว ในช่วงเวลาที่พื้นที่ความคิดถูกควบคุมโดยฝ่ายปกครอง เครือข่ายสังคมออนไลน์มีเจ้าหน้าที่คอยพิทักษ์ตรวจสอบการทำผิดทางความคิด การดักฟัง การคัดกรองข้อความถือเป็นอำนาจของฝ่ายปกครองที่กระทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ สิทธิ์นั้นยังคงเป็นของพลเมืองตราบเมื่อประพฤติตนอยู่ในกฎเกณฑ์ ในช่วงเวลาเช่นนี้ใครจะกล้าเปิดเผยตัวตน แม้แกจะเป็นเถ้าแก่ชาวลาวเชื้อสายจีนก็ตาม แต่เรื่องเปราะบางในประเทศ เจ้าถิ่นอย่างแกย่อมรู้ บางทีเรื่องการเข้มงวดการปราบปรามผู้อยู่ฝ่ายตรงข้ามฝ่ายปกครองนั้น แกอาจรู้ดีกว่าผมก็เป็นไปได้ ผมลงทุนทำบัตรประชาชนปลอม เปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ แล้วเดินทางไกลมาฝังตัวอยู่ที่เมืองชายแดนแห่งนี้ ไม่มีทางที่ผมจะเผยความลับโดยง่าย แม้ร่างเล็กแกร็นจะเป็นลักษณะเด่นจนเป็นอุปสรรคในการพรางตัว แต่โชคดีอย่างหนึ่งคือผมไม่ได้ทำผิดรุนแรงถึงขนาดเป็นปฏิปักษ์คิดล้มล้างระบอบการปกครอง ผมแค่ต่อต้านคณะคนคณะหนึ่งเท่านั้น จึงไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองคนใดสนใจตามจับตัวผมเป็นพิเศษ

ผมไม่ได้เล่าให้เถ้าแก่เจ้าของร้านอาหารเวียดนามฟังว่าผมเป็นใครมาจากไหน แต่ผมเอาตัวรอดมาได้ด้วยการฉีกยิ้ม

ตอบคำถามด้วยรอยยิ้มเหมือนกับสาววัยรุ่นผู้ซึ่งผมหลงรักดวงตากลมโตของเธอ

หลังจากนั้นผมกลับขึ้นห้องพัก หลับตาฝันถึงก้อนเมฆ กวาดมือไปบนผืนฟ้า แบมือออกดูว่ามีดวงดาวติดมือมากี่ดวง สูดกลิ่นหอมของดวงดาวเหมือนเช่นเคย แต่กลิ่นเหงื่อในยามที่เธอเร่งเร้ากามารมณ์และกลิ่นแอลกอฮอล์ในยามจูบกับเธอเหมือนตรึงอยู่กับปลายจมูก ผมพยายามสลัดภาพเรือนกายรูปนาฬิกาทรายออกจากหัว เพื่อไม่ทำให้ตัวเองเสียความมั่นใจว่าเหตุผลอันดับหนึ่งที่ยังต้องการเธอนั้นไม่ใช่เรื่องบนเตียง

คงจะจริงที่ว่าอดีตมีรสหวาน และก็จริงที่ว่าอดีตมีรสขม ทุกอย่างจริงสำหรับผม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะทางอารมณ์ของผู้ลิ้มรส อดีตอันขมขื่นก็หวานชื่นได้เช่นกัน อย่างไรน่ะหรือ…คุณลองนึกวาดภาพตามก็แล้วกัน

นอนไขว่ห้าง กอบเอาดวงดาวมาหนุนต่างหมอน อดีตที่ผมไม่กล้าเล่าให้เถ้าแก่เจ้าของร้านอาหารเวียดนามฟังเรียงภาพอยู่บนผืนฟ้า คล้อยเคลื่อนไปช้าๆ ทีละภาพ ก่อนที่ผมจะถูกถีบส่งมาถึงเมืองชายแดน ผมอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของประเทศ

ที่นั่นผมมีเพื่อนรักเพียงคนเดียว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อเขา ไม่สำคัญถึงขนาดต้องลงรายละเอียด เอาเป็นว่าคนที่ผมพึงระลึกถึงก็มีเพียงสักคนเดียวก็คือเขา ครั้งแรกที่ผมตกเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับสีของน้ำตา เขาถูกจับทรมานด้วยการให้แก้ผ้านั่งบนก้อนน้ำแข็ง ผมรู้ว่าเขาทนได้จึงข่มอารมณ์ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เมื่อไม่มีน้ำตาให้พิสูจน์ ผมถูกจำคุกอยู่แรมเดือน หลังจากนั้นเขาย้อนกลับไปให้ฝ่ายปกครองทรมานอีกครั้ง ด้วยหวังว่าจะปลดปล่อยผมสู่อิสรภาพ ความตื้นตันใจทะลักล้นเต็มอก ผมควรจะร่ำไห้ตั้งแต่ก่อนที่เขายังไม่ถูกทรมานด้วยซ้ำ แต่กว่าน้ำตาจะไหล เขาก็ถูกลนไฟจนเนื้อตัวไหม้ เมื่อผมหลั่งน้ำตา รอยยิ้มพลันปรากฏบนดวงหน้าเขา

น้ำตาเปลี่ยนสีได้ ฝ่ายปกครองว่าอย่างนั้น…

หลังจากนั้นไม่นานฝ่ายปกครองประกาศว่าเพิ่งตรวจพบว่าน้ำตาเปลี่ยนสีได้ ตอนนั้นแผลพุพองตามตัวของเขายังไม่ทันหายดี ผมก็ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองไล่ล่าอีกครั้งทั้งที่ไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ได้ร้องเพลงต้องห้าม ไม่ได้แสดงความคิดอันเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายปกครองเหมือนกับที่เด็กหนุ่มนับร้อยคนถูกจับกุม ไม่แน่ชัดว่ามีอะไรเป็นต้นเหตุที่ผมต้องถูกฝ่ายปกครองพิสูจน์สีน้ำตาอีกครั้ง

“มึงหนีไปเถอะ” เขาเอ่ยโดยไม่สบตา

“ก็แค่อยากอยู่พิสูจน์ ชุมชนนี้เป็นถิ่นของพวกที่อ้างว่ามีน้ำตาสีอะไรใครๆ ก็รู้ ทำไมพวกนั้นไม่มีใครถูกจับไปพิสูจน์สีน้ำตาสักคน ทำไมมีแต่คนอย่างกู” ผมตั้งข้อสงสัย คับข้องใจที่สุด

“เออน่า มึงหนีไปเถอะ พิสูจน์แล้วได้อะไร แล้วหากถึงคราวซวย ถ้าครั้งนี้สีน้ำตาของมึงไหลออกมาเป็นสีของฝ่ายตรงข้ามกับผู้คนในชุมชนนี้ มึงก็อยู่ที่นี่ไม่ได้อยู่ดี อีกอย่างนะ ตอนนี้กูชักไม่แน่ใจแล้วว่าพวกที่น้ำตาไม่มีสีจะอยู่ในชุมชนนี้ได้ ถ้าฝ่ายปกครองไม่จับมึงไปพิสูจน์สีน้ำตา สมาชิกส่วนใหญ่ในชุมชนนี้ก็จะจับมึงไปพิสูจน์ว่ามึงเป็นพวกเดียวกับพวกเขาหรือเปล่า มึงหนีไปเถอะ ปล่อยกูตายอยู่นี่แหละ เชื่อกู”

ทว่าไม่ทันจะหนี เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองก็จู่โจมจับกุมผม หลังการพิสูจน์สีของน้ำตาครั้งนั้นจบสิ้น ผมตัดสินใจออกจากชุมชนแออัดใจกลางเมืองหลวงอย่างเงียบๆ กระโจนขึ้นรถไฟมุ่งหน้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ทิ้งศพของเพื่อนรักไว้เบื้องหลัง

ผมบิดกายอันเมื่อยล้าก่อนลุกนั่ง คว้าดวงดาวที่ใช้หนุนต่างหมอนขึ้นมา ปาไปบนผืนฟ้าทีละดวงสองดวง กระโจนลงจากก้อนเมฆ กลางดึกคืนนั้นก่อนออกไปรับเธอ ผมเข้าไปยืนเผชิญหน้ากับชายร่างเล็กแกร็นในกระจกเงา สำรวจรอยช้ำที่ลำคอของร่างที่ปรากฏต่อหน้า เหมือนกับว่ารอยสีน้ำตาลไหม้จะเข้มขึ้นเรื่อยๆ ผมจ้องมองแววตาที่เหมือนถูกความโดดเดี่ยวขโมยความสดใสไปสิ้น หลังสำรวจร่างกายและความหม่นหมองในดวงตาของชายร่างแกร็นแล้ว ผมก็พรวดออกจากห้อง เวลาคืบใกล้เที่ยงคืนไปทุกขณะ ผมเร่งฝีเท้าไปถึงหน้าร้านอาหารริมฝั่งโขง เธอไม่ได้ยืนอยู่บนเวที ผมชะเง้อมอง ไม่กล้าเดินเข้าไปด้านใน สักพักเธอรุดเดินออกมาจากหลังร้าน ฉุดแขนผมให้เดินตามไปอย่างว่าง่าย

หลังร้านเป็นห้องครัว เป็นที่พักของเด็กเสิร์ฟและนักร้อง เป็นที่เก็บเครื่องดื่มและวัตถุดิบประกอบอาหาร เจ้าของร้านผายมือเชิญให้ผมนั่ง มีอาหารอีกชุดถูกยกมาวางที่โต๊ะ นักดนตรีอีกสามคนเดินเข้ามาสมทบ การสนทนาราบรื่นเป็นกันเอง เหมือนว่าเธอจะเล่าเรื่องผมให้ทุกคนฟังหมดแล้ว ไม่มีใครประหลาดใจกับการไปเยือนของผม ล่วงเลยไปจนถึงเวลาตีหนึ่งก็ยังไม่มีทีท่าว่าเธอจะกลับ เธอยกแก้วเบียร์เทพรวดลงคอไปเรื่อย ๆ พ่นคำสนทนาไม่หยุด จนกระทั่งเธอบอกกับเจ้าของร้านพุงพลุ้ยว่า สักวันหนึ่งเธอจะร้องเพลงต้องห้ามบนเวทีร้าน การสนทนาจึงหยุดชะงัก

เธอเฉไฉว่าเป็นการแกล้งพูดหวังให้ทุกคนเห็นเป็นเรื่องตลก แต่ชายเจ้าของร้านกลับตีสีหน้าจริงจัง เขาไม่ชอบพวกน้ำตามีสี ไม่ว่าสีไหนก็ไม่ชอบ เขาไม่อยากยุ่งเรื่องการเมือง ถ้าเขารู้ว่าใครเป็นพวกน้ำตามีสี เขาจะจัดการด้วยมือเขาเอง เธอพูดคุยต่อเพื่อไกล่เกลี่ยอารมณ์ให้คืนสู่ภาวะปกติ จนสิ้นสุดความพยายาม ชายเจ้าของร้านยังหน้าบึ้งตึง เธอจึงเอ่ยชวนผมกลับ

ก่อนเดินออกจากร้าน ชายเจ้าของร้านตะโกนบอกเธอให้พาผมไปเริ่มงานได้ทันทีที่พร้อม ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าเธอหางานให้ผมทำแล้ว

นับจากนั้นเธอแจ้งคืนห้องเช่าแล้วย้ายมาอยู่กับผมถาวร ห้องคับแคบที่เพิ่งมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาไม่ได้ดูเล็กลงเลย ตรงกันข้ามมันกลับแลดูกว้างขึ้นในความรู้สึก เธอทำให้ก้อนเมฆ ดวงดาว และดวงจันทร์ห่างหายไปจากชีวิตผมทีละน้อย ขยายโลกในห้องคับแคบไปสู่อีกโลกซึ่งกว้างใหญ่! เถ้าแก่เจ้าของห้องเช่าไม่ใช่คนที่ผมคุ้นเคยที่สุดในซอยเล็กๆ แห่งนี้อีกต่อไป เธอทำให้ผมได้รู้ว่าไม่ใช่แค่ซอยเล็กๆ แห่งนี้ที่มีซากของนักล่าอาณานิคม แต่มีร่องรอยของนักล่าอาณานิคมอยู่ทั่วเมืองชายแดนแห่งนี้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อเธอพาผมข้ามสะพานเชื่อมระหว่างสองประเทศไปสู่อีกฟากฝั่ง ผมจึงได้เห็นสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของนักล่าอาณานิคมโดยแท้

ทุกคืนเรานอนกอดกัน แม้ในห้องจะร้อนอุดอู้สักเพียงใดก็ตาม ใครจะเชื่อว่าสาววัยรุ่น หุ่นเพรียวบางอรชรอ้อนแอ้นอย่างเธอจะคว้าชายตัวเล็กแกร็นอย่างผมเป็นคู่นอน ผมไม่กล้าใช้คำว่าคู่ชีวิต ใช้คำว่าคู่นอนจะเหมาะกว่า อยู่ในห้องเรานอนร่วมเตียงเดียวกัน นอกห้องเราเป็นเหมือนเพื่อน

เธอเป็นนักร้องประจำร้านอาหารริมฝั่งโขง ผมเป็นเด็กเสิร์ฟ ช่วงหัวค่ำเราเดินออกจากซอยเล็กๆ แห่งนี้พร้อมกัน แล้วเดินกลับห้องพักพร้อมกันเมื่อถึงเวลาเลิกงาน ท่าทางชีวิตคู่ของเรากำลังดำเนินไปได้สวย แต่แล้วปัญหาเรื่องสีน้ำตาก็เกิดขึ้นในร้านอาหารริมฝั่งโขงจนได้